เมื่อวาน เวลา 09:55 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

F-16 ยอดอากาศยานแห่งกองทัพอากาศไทย EP.4 ก้าวไป F-16 ไม่ได้จบที่ฝูงแรก

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน หลังจากความสำเร็จของ 12 เครื่องแรกไปในปีพ.ศ.2531 (ค.ศ.1988) ต่อมาในปีพ.ศ.2534 (ค.ศ.1991) F-16A 6 เครื่องล็อตหลังเข้าประจำการจนครบ 18 เครื่อง สำหรับที่มาของ 6 F-16A นี้มีที่มาจากกองทัพอากาศไทยตรวจสอบชัดเจนพบว่าจำนวน 12 เครื่องที่มีในตอนนั้นยังไม่เพียงพอต่อความจำเป็นในการจัดอัตราฝูงบิน 1 ฝูงบิน ซึ่งจะต้องบรรจุจำนวน 18 เครื่อง
จึงได้ร้องขอต่อสภาครองเกรสสหรัฐฯ และรัฐสภาของไทย ในความจำเป็นที่กองทัพอากาศจะต้องมีเครื่องบินขับไล่ F-16A ครบ 18 เครื่องที่ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราชเพื่อทดแทนเครื่องบินโจมตีแบบ T-28D ที่ปลดประจำการลงไปจำนวน 2 ฝูงบิน ประกอบกับภัยคุกคามด้านตะวันออก
เมื่อแหล่งข่าวยืนยันว่าเพื่อนบ้านประจำการด้วยเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงที่สุดในภูมิภาค คือ เครื่องบินขับไล่แบบ MiG-23 จำนวนหนึ่งภายหลังพบว่า "ไม่เกี่ยว ประเทศฉันไม่มี MIG-23 กองทัพอากาศสหภาพโซเวียตต่างหากที่นำมาประจำการในฐานทัพอากาศใกล้อ่าวคัมราม" ซึ่งนี่น่าจะมีผลต่อการเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อภูมิภาคนี้เป็นอย่างมากพ.ศ. 2530 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กองทัพอากาศ จัดซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ F-16A เพิ่มอีก 6 เครื่อง
ภายใต้โครงการ “PEACE NARESUAN II” หรือ PN II โดยอยู่ระหว่างการต่อรองเรื่องการผ่อนชำระ ต่อมาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2530 กองทัพอากาศไทย ลงนามในการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่แบบที่ 19 (F-16A) รุ่นที่ 2 ภายใต้โครงการ PEACE NARESUAN 2 อีก 6 เครื่อง มูลค่า 93.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,475 ล้านบาทโดยวิธีการ FMS หรือการขายด้วยการให้ความช่วยเหลือทางทหาร
F-16 กองทัพอากาศไทยจำนวน 9 เครื่อง
โครงการ “PEACE NARESUAN III” แนวโน้มของภัยคุกคามทางอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมากขึ้น รวมไปถึงการเสริมกำลังรถถังของเพื่อนบ้านตามแนวชายแดนด้านตะวันออกประกอบกับ ในปีพ.ศ. 2537 กองทัพอากาศมีความจำเป็นที่จะต้องปลดประจำการเครื่องบินโจมตีแบบ A-37B และเครื่องบินฝึกขับไล่แบบ T-33A/RT-33A
นี่คือความจำเป็นที่ทำให้กองทัพอากาศจะต้องทำการจัดหาเครื่องบินขับไล่เพิ่มอีก 1 ฝูงบินเป็นอย่างน้อย โดยมีโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 A/B ฝูงที่ 2 อีกจำนวน 1 ฝูง 30 ธันวาคม พ.ศ. 2534 รัฐบาลได้อนุมัติให้กองทัพอากาศจัดซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ F-16A อีก 18 เครื่อง ภายใต้รหัสโครงการว่า Peace Naresuan III เพื่อจัดตั้งเป็นฝูงบินขับไล่ F-16 ฝูงที่สอง ณ กองบิน 4 ตาคลี โดยแบ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ F-16A รุ่นที่นั่งเดียว 12 เครื่อง และ F-16 B รุ่นสองที่นั่ง 6 เครื่อง
โครงการ “PEACE NARESUAN IV” เนื่องมาจากหน้าที่และความรับผิดชอบของกองทัพอากาศ ที่จะต้องดำรงขีดความสามารถในการป้องกันอธิปไตยของชาติจากภัยคุกคามภายนอกประเทศให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น กองทัพอากาศจึงได้กำหนดแนวทางความต้องการกำลังของเครื่องบินรบหลักขั้นต่ำสุดที่สามารถตอบสนองภารกิจได้
จำนวนทั้งสิ้น 9 ฝูงบิน ซึ่งประกอบด้วยฝูงบินเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์จำนวน 5 ฝูงบิน และฝูงบิน เครื่องบินขับไล่/โจมตีจำนวน 4 ฝูงบิน ในปีพ.ศ. 2539 กองทัพอากาศได้ดำเนินการจัดหาเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ F/A-18D ชุดแรกจำนวน 8 เครื่องจากสหรัฐฯ โดยเดิมนั้นกองทัพอากาศได้ปรับลดกำลังรบอากาศยานลงจากเดิม 36 ฝูงบิน เป็น 24 ฝูงบิน
ท่านผู้บัญชาการทหารอากาศกับ F-16 แพนหางครบรอบ 30 ปีที่เข้าประจำการ ณ กองบิน 4 ตาคลี
ในจำนวนนี้ได้กำหนดความต้องการกำลังฝูงบินขับไล่อเนกประสงค์ ขั้นต่ำไว้ 5 ฝูงบิน ซึ่งกองทัพอากาศได้มีประจำการไว้แล้ว 4 ฝูงบิน คือ บ.F-16 A/B จำนวน 2 ฝูงบิน และ บ. F-5 E/F จำนวน 2 ฝูงบิน สำหรับบ.ขับไล่อเนกประสงค์อีก 1 ฝูงบินนั้น เดิมทอ.มีโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ F/A-18 C/D เข้าประจำการ แต่เนื่องจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปีพ.ศ. 2540 ทำให้กองทัพอากาศไม่สามารถ ดำเนินการตามโครงการต่อไปได้
จึงได้ขอยกเลิกการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ F/A-18 C/D ดังกล่าว การยกเลิกโครงการในครั้งนี้ส่งผลให้กองทัพอากาศยังคงมีเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์เพียง 4 ฝูงบิน ไม่ครบ 5 ฝูงบิน ตามความต้องการกำลังรบขั้นต่ำสุดในแผนโครงสร้างกำลังรบกองทัพไทย
อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพอากาศสหรัฐ ฯ ได้เสนอขายเครื่องบินขับไล่ F-16A ที่เคยประจำการใน ทอ.สหรัฐ ฯ และได้หมดความจำเป็นด้านยุทธการ ให้กับมิตรประเทศ ซึ่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ใช้เครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์แบบนี้ ในภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense Fighter) ปัจจุบันได้เก็บรักษาสภาพไว้เพื่อสามารถนำกลับมาใช้งานได้อีกเมื่อมีความจำเป็น
เครื่องบินขับไล่ F-16A/B ADF นี้เป็นแบบเดียวกับ เครื่องบิน F-16 A/B ที่ประจำการอยู่ในกองทัพอากาศไทย แต่มีขีดความสามารถในการใช้อาวุธทางอากาศสูงกว่า เพราะสามารถใช้อาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยปานกลาง (Beyond Visual Range) แบบ AIM-7 (Sparrow) และแบบ AIM-120 (AMRAAM)
F-16 ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช (ฝูงแรก)
ในขณะเดียวกันจะสามารถใช้อะไหล่ และอุปกรณ์สนับสนุนร่วมกับ เครื่องบินแบบ F-16 A/B ของกองทัพอากาศไทยได้เกือบทั้งหมด ทำให้ประหยัดงบประมาณในการเตรียมอุปกรณ์ และเจ้าหน้าที่สนับสนุน เครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ F-16 A/B ADF ที่พิจารณาจัดหาเพิ่มเติมนั้น จะได้รับการปรับคืนสภาพใหม่ โดยทำการปรับปรุงโครงสร้าง และทำการปรับปรุงเครื่องยนต์
ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วจะทำการบินได้อีก 4,000 ชั่วโมงบิน หรือใช้งานได้อีก 15 - 20 ปี รัฐบาลสหรัฐ ฯ เสนอขายเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ F-16 A/B ADF ที่ใช้แล้ว ให้กองทัพอากาศจำนวน 16 เครื่อง พร้อมอะไหล่ บริภัณฑ์สนับสนุน การฝึกอบรม การบินส่ง บรรณสารเทคนิค ระบบอาวุธ และการบริการเทคนิคด้านต่าง ๆ ใน ราคา 132.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รวมกับเงินที่ได้จากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ช่วยเหลือรับซื้ออะไหล่บางส่วน เมื่อกองทัพอากาศได้ขอยกเลิกโครงการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ F/A-18D ซึ่งในขั้นต้นมีมูลค่า 27.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ จึงจะไม่คืนให้เป็นเงินสด แต่จะคืนให้เป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบิน F-16 หรือใช้ในการจัดหาเครื่องบิน F-16 เพิ่มเติม
กองทัพอากาศมีความจำเป็นต้องจัดหาเครื่องบิน F-16 A/B ADF ที่ใช้แล้วจาก กองทัพอากาศสหรัฐฯ จำนวน 16 เครื่อง พร้อมอะไหล่ อุปกรณ์สนับสนุนการฝึกเจ้าหน้าที่ และอื่น ๆ ในวงเงิน 132,770,000 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ แต่เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 29 มีนาคม พ.ศ. 2537 ให้การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่ใช้งานแล้ว และต้องมีการปรับปรุงสภาพในวงเงินที่สูงกว่า 100 ล้านบาท ให้กระทรวงกลาโหมเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการ
ดังนั้นกองทัพอากาศจึงขออนุมัติคณะรัฐมนตรีอในเรื่องขออนุมัติซื้อยุทโธปกรณ์เก่า ที่ต้องนำมาปรับปรุงสภาพ ได้แก่ เครื่องบินขับไล่ F-16ADF ใช้แล้วจำนวน 16 เครื่อง พร้อมอะไหล่ขั้นต้นบริภัณฑ์สนับสนุน การบินส่ง การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ระบบอาวุธ บรรณสารเทคนิค และการบริการทางเทคนิคต่าง ๆ ในวงเงินเกิน 100 ล้านบาทจากกองทัพอากาศสหรัฐ ฯ ขออนุมัติหลักการให้กองทัพอากาศ ใช้เงินที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การช่วยเหลือรับซื้ออะไหล่บางส่วน
เครื่องบินขับไล่ F-16ADF ฝูงบิน 102 กองบิน 1 โคราช
ในการยกเลิกโครงการจัดซื้อเครื่องบินแบบ F/A-18 C/D ทั้งหมดมาดำเนินการจัดหาเครื่องบิน F-16 A/B ADF ใช้แล้ว ตลอดจนอะไหล่ บริภัณฑ์ สนับสนุน และระบบอาวุธได้ตามความจำเป็น สำหรับเครื่องบินขับไล่ F-16 A/B ADF ที่กองทัพอากาศ จัดซื้อ เป็น Block 15 ที่ปรับปรุงขีดความสามารถ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับเครื่องบิน F -16 A/B ที่มีประจำการอยู่ในประเทศไทย สามารถใช้อาวุธของเครื่องบิน F-16A/B ที่กองทัพอากาศมีอยู่เดิมได้ทั้งหมด
นอกจากนั้นเครื่องบิน F -16 A/B ADF ยังมีขีดความสามารถในการใช้อาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยปานกลางระยะยิงไกลเกินสายตา Beyond Visual Range (BVR) แบบ AIM-120 (AMRAAM) ซึ่งเป็นอาวุธอากาศสู่อากาศที่ทันสมัยที่สุดที่ประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐ ฯ ในปัจจุบัน F-16ADF คือ F-16 A เก่าจำนวน 272 เครื่อง ที่เคยบรรจุประจำการในกองกำลังรักษาดินแดนของสหรัฐฯ (AIR NATIONAL GUARD: ANG)
ปัจจุบันกองบินในสังกัดหน่วยงานนี้กำลังทะยอยรับมอบ F-16 C/D แทน เครื่องบินเหล่านี้กองทัพสหรัฐฯ จึงนำเข้าปรับปรุง และเสนอขายประเทศพันธมิตรต่าง ๆ ซึ่งได้รับความสนใจจาก กองทัพอากาศหลายประเทศ ซึ่งมีบางประเทศได้จัดซื้อไปแล้ว ได้แก่ จอร์แดน จำนวน 20 เครื่อง และอิตาลี จำนวน 34 เครื่อง นอกจากนี้ ประเทศฮังการี และโปแลนด์เคยจัดซื้อไปแล้วแต่ทว่าฮังการีหันไปเลือกกริพเพนแทนที่จะเป็น F-16A ส่วนโปแลนด์ได้ Block 50 ซึ่งเป็น F-16 ที่ทันสมัยกว่า
สำหรับเครื่องบินขับไล่ F-16A/B แบบ ADF ที่กองทัพอากาศไทยจัดซื้อได้เข้ารับการปรับคืนสภาพใหม่โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ ณ ฐานทัพอากาศ Hill มลรัฐ Utah เมื่อดำเนินการปรับคืนสภาพแล้วเสร็จ เครื่องบินชุดนี้จะทำการบินได้ถึง 4,000 ชั่วโมงบิน หรือประจำการได้ประมาณ 15-20 ปี ซึ่งสามารถตอบสนองต่อภารกิจหลักของกองทัพอากาศในการป้องกันประเทศได้เป็นอย่างดี F-16ADF เป็นหนึ่งในเครื่องบินที่เข้ารับการปรับปรุงตามโครงการระยะที่ 2 ภายใต้ชื่อ FALCON STAR ให้มีขีดความสามารถปฏิบัติภารกิจด้วยความปลอดภัยจนถึง 8,000 ชั่วโมง
F-16MLU ฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี
สำหรับการอัพเกรดเครื่องบิน F-16 มีการอัพเกรดตามโครงการ Falcon UP และ Falcon STAR ไปแล้วทั้ง 3 ฝูง จนต่อมาเมื่อมีโครงการ F-16MLU เกิดขึ้นจึงได้เครื่องบินเดิมเพิ่มเติมคือมีความสามารถสูงในการรบ พร้อมที่จะไปได้ไกลกว่าเดิมกล่าวคือบินต่อไปได้อีก 20-30 ปี
MLU ย่อมาจาก Midlife Upgrade (MLU) ซึ่งแปลเป็นไทยว่าการอัปเกรดช่วงกลางอายุการใช้งาน ว่ากันว่า F-16MLU คือแบบที่ไม่ธรรมดาของเครื่องบิน F-16 การอัปเกรดนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อยกระดับ F-16A/B ซึ่งเป็นรุ่นเก่า ให้กลายเป็น F-16AM/BM การอัปเกรดนี้ทำให้ขีดความสามารถของ F-16 รุ่นเก่าทันสมัยเทียบเท่ากับ F-16C/D บล็อก 50 หรือ บล็อก 52
แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบกับเครื่องบินขับไล่ยุคใหม่ล่าสุดอย่าง F-35 หรือ Gripen E/F ได้โดยตรง แต่มันก็พอมีประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งในการปกป้องน่านฟ้าไทยไปสักระยะหนึ่ง เนื่องจากเครื่องบินรบสมัยใหม่รุ่นอะไรต่ออะไรมีราคาสูงมาก เดี๋ยวนี้ราคาเครื่องละหลักพันล้านบาท และเทคโนโลยีทางการทหารก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การที่เราจะเปลี่ยนไปซื้อเครื่องบินขับไล่ใหม่ในทันทีทันใดจึงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นการอัปเกรดเครื่องบินเก่าจึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่กองทัพทั่วโลกใช้
อย่างที่ทุกท่านทราบดีว่าโครงการ F-16 MLU ของกองทัพอากาศไทยมีเป้าหมายเพื่ออัปเกรดเครื่องบินขับไล่ F-16A/B บล็อก 15 OCU (ซึ่งเคยผ่านการอัปเกรดมาแล้ว) จำนวน 18 เครื่องจากฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี จ.นครสวรรค์
เริ่มต้นโครงการเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) ดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะละ 6 เครื่องตั้งแต่ปีพ.ศ.2554-พ.ศ.2560 ปัจจุบันอัปเกรดเสร็จสมบูรณ์ทั้ง 18 เครื่องแล้ว
F-35 ที่กองทัพอากาศไทยคาดว่าจะมาทดแทน F-16MLU
มูลค่าโครงการอยู่ที่ประมาณ 540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17,145 ล้านบาทในขณะนั้น
มีอายุการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 20-30 ปีหรือใช้งานต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปีพ.ศ. 2580 โดยมีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้นเครื่องละ 8,000 ชั่วโมงบิน
อนึ่งการดำเนินงานนี้แม้จะเป็นความร่วมมือกับสหรัฐฯ แต่ไม่ได้นำเครื่องไปอัปเกรดที่สหรัฐฯ แต่เป็นการซื้อชุดอัปเกรดมาติดตั้งในไทย
ดำเนินการโดยบริษัทอุตสาหกรรมการบินแห่งประเทศไทยจำกัด (TAI) โดยใช้บุคลากรและช่างชาวไทยทั้งหมด ภายใต้การดูแลของวิศวกรจาก Lockheed Martin และการควบคุมมาตรฐานจากหน่วยงาน DTMA ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งวิธีนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายและยังเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาขีดความสามารถด้านการซ่อมบำรุงให้กับบุคลากรไทยด้วย
การอัปเกรด MLU นี้เน้นไปที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบต่าง ๆ ทำให้เทคโนโลยีโดยรวมเทียบเท่ากับ F-16C/D อาทิเช่น เรดาร์รุ่น AN/APG-68(V)9 จาก Northrop Grumman ซึ่งเป็นระบบ Radar Pulse Doppler ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ไกลกว่าเดิม ถึง 296 กิโลเมตร และมีระบบสร้างภาพภาคพื้นดินความละเอียดสูง (Synthetic Aperture Radar หรือ SAR)
ห้องนักบิน มีการอัปเกรดเป็น "Glass Cockpit" โดยเปลี่ยนการแสดงผลในห้องนักบินทั้งหมดเป็นระบบหน้าจอสีแบบดิจิทอล ซึ่งช่วยลดภาระงานของนักบินได้เป็นอย่างดียิ่ง มีการติดตั้งหมวกนักบินใหม่ที่เป็น Mounted Display HUD ใช้ระบบ JHMCS (Joint Helmet Mounted Cueing System) ของ Boeing ซึ่งทำให้นักบินสามารถล็อคเป้าหมายด้วยสายตาได้
หมวกบิน JHMCS กับนักบิน F-16MLU ฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี
อีกทั้งยังสามารถรองรับอาวุธที่ทันสมัยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีความสามารถในการรบแบบ BVR (Beyond Visual Range) หรือการยิงขีปนาวุธนอกระยะสายตาใส่เครื่องบินข้าศึกโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว จากการใช้งานขีปนาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางขั้นสูง AIM-120 AMRAAM ซึ่งมีระยะยิงกว่า 120 กม. ส่วนพิสัยใกล้สามารถรองรับอาวุธปล่อยนำวิถีรุ่นใหม่ เช่น Iris-T
ในการโจมตีภาคพื้นดินมีการรองรับระเบิดนำวิถีด้วยดาวเทียมและเลเซอร์ รวมถึงระเบิดร่อนสมัยใหม่ เช่น JDAM ,KGGB, หรือ LIZARD III
มีระบบเชื่อมโยงข้อมูล (Data Link) ในชื่อระบบ Link 16 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรบยุคใหม่ ระบบนี้ช่วยให้นักบิน F-16 สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลทางยุทธวิธีแบบ Real Time กับเครื่องบินและหน่วยรบอื่น ๆ ได้ แม้ว่า Link 16 จะมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับ Data Link ในปัจจุบัน แต่มันก็เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารขั้นสูงที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้ทันการทำสงครามยุคใหม่
มีระบบป้องกันตนเอง (Electronic Warfare - EW) เป็นระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ AN/ALQ-213 และระบบปล่อยเป้าลวงอัตโนมัติ AN/ALE-47 ของ BAE System ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของนักบินในพื้นที่การรบ
ระบบพิสูจน์ฝ่าย (IFF) ใช้ระบบ APX-113 Combine Interrogator and Transponder
ในส่วนของเครื่องยนต์ไม่มีการเปลี่ยน ยังคงต้องใช้เครื่องยนต์ตัวเดิมต่อไป
การปรับปรุง MLU ทำให้ F-16 รุ่นเก่าอย่าง F-16A/B Block 15 OCU ถูกยืดอายุการใช้งานได้อีกหลายพันชั่วโมง ทั้งนี้ F-16 MLU ยังคงปฏิบัติการได้ดี และมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ปะทะที่ผ่านมาเช่น การรบกับเขมรที่จะกล่าวถึงในบทความหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบชี้เป้าและระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกอัปเกรดขึ้นนั้น ทำให้ประสิทธิภาพในการโจมตีภาคพื้นมีความรุนแรงและร้ายกาจ
ท่านผบ.ทอ.ขณะทำการบินกับ F-16
สำหรับ F-16 MLU ที่ทุกท่านอ่านอยู่นี้จะเห็นว่าเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดของกองทัพอากาศไทยในการยกระดับเครื่องบินขับไล่ยุคเก่าให้มีขีดความสามารถทัดเทียมกับเครื่องบินขับไล่ยุคปัจจุบัน และเป็นกำลังหลักในการป้องกันอธิปไตยของประเทศไปได้อีกหลายปี
ข้อมูลจำเพาะ F-16MLU
นักบิน : 1 นาย
ความยาว : 15 เมตร
ความสูง : 4.8 เมตร
ระยะระหว่างปลายปีก : 9.45 เมตร
พื้นที่ปีก : 27.87 ตารางเมตร
น้ำหนักเปล่า : 8,670 กิโลกรัม
น้ำหนักพร้อมอาวุธ : 12,000 กิโลกรัม
น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด : 14,968 กิโลกรัม
ขุมกำลัง : เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนพร้อมสันดาปท้ายแบบเอฟ100-พีดับเบิลยู220 ให้แรงขับ 14,590 ปอนด์และ 23,770 ปอนด์เมื่อใช้สันดาปท้าย
ความเร็วสูงสุด : 1.2 มัค (1,470 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในระดับน้ำทะเล
2 มัค (2,124 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในระดับบินสูง
รัศมีทำการรบ : 550 กิโลเมตรพร้อมระเบิด 450 กิโลกรัม
ระยะในการขนส่ง : 4,220 กิโลมตรพร้อมถังที่สลัดทิ้งได้
เพดานบินทำการ : 60,000 ฟุต
อัตราการไต่ระดับ : 50,000 ฟุตต่อนาที
น้ำหนักบรรทุกที่ปีก : 194 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
อัตราแรงขับต่อน้ำหนัก : 1.1
อาวุธ :
ปืนแกทลิ่งเอ็ม61 วัลแคนขนาด 20 ม.ม.หนึ่งกระบอก พร้อมกระสุน 515 นัด
จรวด
กระเปาะจรวดแบบแอลเอยู-61/แอลเอยู/68 4 อัน (แต่ละอันมีจรวดไฮดรา 70 19 และ 7 ลูกตามลำดับ) หรือ
กระเปาะจรวดแบบแอลเอยู-5003 4 อัน (แต่ละอันมีจรวดซีอาร์วี7 19 ลูก) หรือ
กระเปาะจรวดแบบแอลเอยู-10 4 อัน (แต่ละอันมีจรวดซูนิ 4 ลูก
ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ
AIM-7 สแปร์โรว์ 2 ลูก หรือ
AIM-9 ไซด์ไวน์เดอร์ 6 ลูก หรือ
ไอริส-ที 6 ลูก หรือ
AIM-120 แอมแรม 6 ลูก หรือ
ไพธอน-4 6 ลูก
ขีปนาวุธอากาศสู่พื้น
AGM-45 ไชรค์ 6 ลูก หรือ
AGM-65 มาเวอร์ริก 6 ลูก หรือ
AGM-88 ฮาร์ม 4 ลูก
ขีปนาวุธต่อต้านเรือ
AGM-84 ฮาร์พูน 2 ลูก หรือ
AGM-119 เพนกวิน 4 ลูก
ระเบิด
ซีบียู-87 2 ลูก
ซีบียู-89 2 ลูก
ซีบียู-97 2 ลูก
จีบียู-10 เพฟเวย์ 2 4 ลูก
จีบียู-12 เพฟเวย์ 2 6 ลูก
ระเบิดวิถีด้วยเลเซอร์ตระกูลเพฟเวย์ 6 ลูก
เจแดม 4 ลูก
ระเบิดมาร์ค 84 4 ลูก
ระเบิดมาร์ค 83 8 ลูก
ระเบิดมาร์ค 82 12 ลูก
ระเบิดนิวเคลียร์ บี61
อื่นๆ :
เครื่องปล่อยพลุล่อเป้าแบบเอสยูยู-42เอ/เอ หรือ
อีเอ็มซีแบบเอเอ็น/เอแอลคิว-131 และเอเอ็น/เอแอลคิว-184 หรือ
กระเปาะหาเป้าแบบแลนเทิร์น ล็อกฮีด มาร์ติน สไนเปอร์ เอ็กซ์อาร์ และไลท์นิ่ง หรือ
ถังเชื้อเพลิงทิ้งได้ขนาด 300/330/370 แกลลอนสหรัฐฯ ได้มากถึง 3 ถังเพื่อทำการขนส่งหรือเพิ่มระยะ
อิเลคทรอนิกอากาศ
เรดาร์แบบเอเอ็น/เอพีจี-68
ในตอนหน้าจะเป็นเรื่องของการรบจริงของ F-16 ในกองทัพอากาศไทยจากทุกๆสมรภูมิ รวมทั้งสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในปีนี้ด้วย ส่วนเนื้อหาและการบรรยายจะน่าสนใจอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
Credit บทความและภาพประกอบ
History World
Military Weapons อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร
อนุรักษ์ สิงโตอ่อน
Wassana Nanuam
RTAF
ปัณณธร ค้าผล
เรียบเรียงโดย : เบิ้ล ตาควาย
โฆษณา