25 ก.ย. เวลา 14:41 • ธุรกิจ

🌃 ตลาดนัดกลางคืน

"เปิดง่าย เจ๊งไว แต่รอดได้ถ้ารู้กลยุทธ์"
💥 ภาพจำและความจริงที่ซ่อนอยู่?
แสงไฟประดับ ฟู้ดทรัคเรียงราย และอินฟลูเอนเซอร์ที่ไลฟ์กันคึกคัก… ภาพเหล่านี้วนซ้ำทุกครั้งเมื่อมี “ตลาดนัดกลางคืน” เปิดใหม่ แต่เพียงไม่กี่เดือนต่อมา สิ่งที่เหลือกลับเป็นแผงว่างและบรรยากาศเงียบเหงา
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือ โมเดลธุรกิจที่โหดร้ายทั้ง "ต้นทุนสูง, เสน่ห์ที่จืดจางเร็ว และการแข่งขันที่เข้มข้นทั้งออฟไลน์และออนไลน์"
====
📉 ทำไมตลาดนัดถึง “วายเร็ว”?
1. ต้นทุนที่กดดันตั้งแต่วันแรก
* ค่าเช่าทำเลในกรุงเทพฯ อาจแตะหลายแสนบาท/เดือน ขณะที่ค่าไฟ, รปภ., ทำความสะอาด, และการตลาดทำให้ต้นทุนคงที่พุ่งสูง รายได้จากค่าเช่าแผงต้องวิ่งไล่ทันตั้งแต่วันแรก ไม่เช่นนั้นผู้จัดตลาดเข้า “โหมดขาดทุน” ทันที
2. กระแสที่อยู่ไม่นาน
* ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2024) พบว่า 60% ของคนเมืองเลือกไปสถานที่ใหม่เพราะ “ไวรัล” แต่มีเพียงไม่ถึง 20% ที่กลับไปซ้ำหากไม่มีเอกลักษณ์เด่น กระแสช่วยได้แค่ช่วงเปิด ตลาดที่ไม่มี positioning ชัดเจนจึงหายไปใน 6–12 เดือน
3. ศึกสองสมรภูมิ “ออฟไลน์ vs ออนไลน์”
* ออฟไลน์: แข่งกับห้างสรรพสินค้า, คอมมูนิตี้มอลล์, และตลาดเจ้าเก่า
* ออนไลน์: K-Research ประเมินว่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ปี 2025 มูลค่าแตะ 7.8 หมื่นล้านบาท
* ขณะที่ e-commerce ไทยมีมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท (ETDA, 2025) แปลว่าลูกค้าไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านก็ได้
4. อุปสรรคเชิงกฎหมาย
* กทม. บังคับใช้โซนนิ่งและใบอนุญาตเข้มขึ้น (BMA, 2024) ทำให้ผู้จัดต้องเจอขั้นตอนที่ซับซ้อน หากผิดพลาดโครงการอาจถูกสั่งปิดได้ทันที
====
📊 “Unit Economics” ของตลาดนัด?
การทำธุรกิจตลาดนัดกลางคืนจะอยู่รอดหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่ภาพบรรยากาศเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองลงไปถึง “ตัวเลขจริง” ที่ขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งก็คือ Unit Economics หรือผลตอบแทนต่อหน่วย ทั้งฝั่งผู้จัดตลาด, ผู้ค้า และผู้ซื้อ
“ฝั่งผู้จัดตลาด (Operator)”
* รายได้: มาจากค่าเช่าแผงเฉลี่ย 1,500–2,500 บาท/แผง/คืน × จำนวนแผงที่ถูกเช่า (occupancy) รวมถึงรายได้เสริมจากสปอนเซอร์และค่าที่จอดรถ เปรียบได้กับการเก็บค่าเช่าห้องในคอนโด ถ้าห้องว่างมาก รายได้ก็ไม่พอจ่ายค่าตึก
* ต้นทุน: มีทั้งค่าเช่าพื้นที่หลัก, ค่าดูแลรักษาความปลอดภัย, ไฟฟ้า, การตลาด และการทำความสะอาด ซึ่งทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่ายคงที่สูงที่เลี่ยงไม่ได้
* เกณฑ์สำคัญ: เพื่อให้คุ้มทุน ผู้จัดต้องมีอัตราเช่า (occupancy) อยู่ที่ประมาณ 70–80% ขึ้นไป (CBRE Thailand, 2025) หากต่ำกว่านี้ ธุรกิจจะเริ่มขาดทุนทันที (สังเกตุง่ายๆ ตลาดนัดที่เราชอบไปเดิน ถ้าเริ่มมีโหมดร้านโหลงเหลง หรือร้านหายไป 30% อีกไม่นานตลาดนั้นจะหายไป เป็นต้น)
“ฝั่งผู้ค้า (Seller)”
* รายได้: สมมติว่าลูกค้าซื้อบิลละ 300 บาท และร้านขายได้ 40–60 บิลต่อคืน × 4 วัน/สัปดาห์ รายได้เฉลี่ยก็จะอยู่ที่หลักหมื่นต่อสัปดาห์ เหมือนกับการเปิดร้านอาหารเล็กๆ ที่พึ่งพาลูกค้าประจำทุกวัน
* ต้นทุน: ต้องจ่ายค่าเช่าแผงคืนละ 2,000–3,000 บาท บวกกับต้นทุนสินค้า (COGS) 40–50% และค่าแรงลูกจ้างอีกส่วนหนึ่ง จึงเหลือกำไรจริงไม่มาก
* เกณฑ์สำคัญ: หากลงทุนซื้ออุปกรณ์และสต็อกเริ่มต้น จะใช้เวลาคืนทุน (payback period) ราว 6–9 เดือน หากยอดขายไม่สม่ำเสมอ ร้านอาจไม่ถึงจุดคืนทุนเลย
“ฝั่งผู้ซื้อ (Buyer)”
* พฤติกรรมการใช้จ่าย: ลูกค้าส่วนใหญ่ตั้งงบประมาณไว้ราว 250–400 บาทต่อการเดินตลาดหนึ่งครั้ง หากราคาสินค้าเฉลี่ยสูงกว่าความคาดหวัง พวกเขาจะเลือกซื้อเพียง 1–2 อย่าง หรือตัดสินใจไม่กลับมา
* ความถี่ในการกลับมา: ผู้ซื้อยุคใหม่มักทดลองสถานที่ใหม่จากกระแส แต่จะกลับมาอีกครั้งก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าได้รับ “ประสบการณ์คุ้มค่า” เช่น อาหารเฉพาะทาง บรรยากาศดี หรือกิจกรรมพิเศษ
* เกณฑ์สำคัญ: หากผู้ซื้อใช้จ่ายเฉลี่ยต่ำกว่า 250 บาทต่อครั้ง ตลาดจะไม่สามารถสร้างรายได้เพียงพอทั้งต่อผู้ค้าและผู้จัด
ดังนั้น หากตลาดมีผู้เช่าแผงน้อยกว่า 70% หรือผู้บริโภคใช้จ่ายเฉลี่ยต่ำกว่า 250 บาทต่อครั้ง ทั้งผู้จัด, ผู้ค้า และผู้ซื้อ จะเจอปัญหาไปพร้อมกัน เปรียบเหมือนเรือที่รั่ว ถ้าเจ้าของเรือ, คนพาย และผู้โดยสารไม่ร่วมมือกันอุดรอยรั่ว เรือก็จะจมทั้งลำ
====
🏢 กลยุทธ์รอดของตลาดนัด?
1. สร้างเอกลักษณ์ที่ลอกไม่ได้
ตลาด Jodd Fairs คือตัวอย่างชัดเจนที่ต่อยอดจากตลาดนัดรถไฟ ด้วยธีมวินเทจและสตรีทฟู้ดที่ชัดเจน ทำให้กลายเป็นแบรนด์ที่คนเลือกกลับมา ไม่ใช่แค่ “ที่ขายของ”
* มุมผู้ซื้อ: ลูกค้ารู้สึกว่าการไปตลาดนี้คือการไปหาประสบการณ์ที่พิเศษกว่าที่อื่น เช่น ได้เจอเมนูเฉพาะหรือบรรยากาศถ่ายรูปที่แตกต่าง จึงมีแรงจูงใจกลับมา
2. จากที่ซื้อของ → สู่ที่ใช้ชีวิต
Camden Market (ลอนดอน) และ ตลาดอมิโยโกะ (โตเกียว) คือ Cultural Hub ที่ผสานศิลปะ, ดนตรีสด, และกิจกรรม ทำให้ผู้คนมา “ใช้เวลา” มากกว่า “ใช้เงิน”
* มุมผู้ซื้อ: สำหรับผู้บริโภค การไปตลาดไม่ใช่เพื่อซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นโอกาสพาครอบครัวหรือเพื่อนไปใช้เวลาร่วมกัน คล้ายกับการไปคอนเสิร์ตหรือแกลเลอรี
3. บริหารจัดการแบบมืออาชีพ
ทีม operation ต้อง curate tenant mix, จัดโซนสินค้า, ดูแลความสะอาดและความปลอดภัย, ทำการตลาดต่อเนื่องเพื่อสร้าง traffic ไม่ใช่แค่ช่วงเปิดตัว
* มุมผู้ซื้อ: การจัดการที่ดีทำให้การเดินตลาดสะดวก ไม่แออัดเกินไป มีป้ายบอกชัดเจน และรู้สึกปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ากับเวลาที่ใช้
4. ผสานโลกออฟไลน์และออนไลน์
ตลาดที่ประสบความสำเร็จใช้ Facebook/TikTok/IG อย่างจริงจัง, ทำ UGC challenge เพื่อดึงกระแส, และร่วมมือกับ food delivery เพื่อให้ร้านค้ายังขายได้แม้ตลาดปิดแล้ว
* มุมผู้ซื้อ: ผู้บริโภคยุคใหม่สามารถค้นหาข้อมูลตลาดได้ง่ายผ่านโซเชียล และยังสามารถสั่งอาหารกลับบ้านได้แม้ไม่ได้ไปเดินจริง ทำให้ความสัมพันธ์กับตลาดไม่ขาดตอน
====
🗺️ กลยุทธ์เรื่องทำเล?
การเลือกทำเลคือตัวแปรที่สำคัญที่สุดของตลาดนัดกลางคืน เพราะมันหมายถึงทั้งปริมาณคนเดินผ่านและโอกาสในการจับจ่าย หากเปรียบเทียบง่ายๆ ทำเลที่ดีเปรียบเสมือน “เส้นเลือดใหญ่” ที่หล่อเลี้ยงตลาดให้มีชีวิตชีวาได้ต่อเนื่อง
* Footfall (จำนวนคนเดินผ่าน): ตลาดควรอยู่ใกล้จุดตัดของ MRT/BTS หรือ interchange station ที่มีผู้โดยสารมากกว่า 3 แสนคนต่อวัน (ข้อมูลจาก BEM, 2025) เพราะนี่คือ traffic ธรรมชาติที่สร้างความมั่นใจได้ว่ามีคนเห็นตลาดทุกวัน เหมือนการเปิดร้านในหัวมุมถนนที่รถติด — โอกาสขายย่อมมากกว่าซอยลึกที่ไม่มีคนเดิน
* Catchment (ชุมชนรอบข้าง): ในรัศมีเดิน 10–15 นาที ควรมีความหนาแน่นของอาคารสำนักงาน คอนโด และที่อยู่อาศัยสูง เช่น พระราม 9 หรืออโศก เพราะพื้นที่เหล่านี้มีทั้งพนักงานออฟฟิศและผู้อยู่อาศัยที่พร้อมใช้ชีวิตกลางคืนต่อหลังเลิกงาน หากอยู่ไกลชุมชน กลุ่มเป้าหมายอาจไม่สะดวกกลับมาเป็นประจำ
* เกณฑ์คัดกรองทำเล: เพื่อความยั่งยืน ตลาดต้องไม่ให้ค่าเช่าเกิน 25% ของรายได้รวม, มีที่จอดรถขั้นต่ำ 200 คัน, ระยะห่างจาก MRT ไม่เกิน 600 เมตร และที่สำคัญคือต้องได้รับการยอมรับจากชุมชนรอบข้าง หากคนในพื้นที่ไม่เห็นด้วย ต่อให้ traffic ดี ตลาดก็ไปต่อไม่ได้
กล่าวโดยสรุป ทำเลของตลาดนัดกลางคืนไม่ใช่แค่การหาที่ดินว่าง แต่คือการหาพื้นที่ที่เชื่อมต่อผู้คนได้จริง สร้างทั้งความสะดวกและความยินดีให้คนอยากมาเดินซ้ำ
====
📊 ROI เปรียบเทียบโมเดลที่ดิน
* ตลาดนัดกลางคืน: ใช้เงินลงทุนปานกลาง คืนทุนใน 3–5 ปี แต่เสี่ยงสูง เพราะขึ้นกับกระแส หากหมดเร็ว อาจขาดทุนก่อนถึงจุดคุ้มทุน
→ ผู้ซื้อ: ได้ความแปลกใหม่และราคาจับต้องได้ แต่ประสบการณ์อาจไม่เสถียร หากตลาดซบเซา ร้านค้าหายไป คุณภาพก็ลดลง
* Pop-up Festival: ลงทุนน้อย คืนทุนภายใน 1 ปี แต่รายได้ไม่สม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ต้องการกระแสสั้นหรือทดสอบตลาด
→ ผู้ซื้อ: ได้บรรยากาศพิเศษและกิจกรรมเฉพาะช่วง แต่ไม่ใช่ที่ที่กลับไปซ้ำได้บ่อย
* F&B Hall: ลงทุนสูงกว่า คืนทุนใน 4–6 ปี แต่ traffic สม่ำเสมอ เสี่ยงต่ำกว่า เหมาะกับการสร้างฐานผู้บริโภคประจำ
→ ผู้ซื้อ: ได้ประสบการณ์คล้ายฟู้ดคอร์ทคุณภาพสูง เดินทางสะดวก มีร้านประจำที่วางใจได้
* Event Venue: ใช้เงินลงทุนสูงสุด คืนทุน 5–7 ปี แต่เสี่ยงต่ำ เพราะมักมีสัญญาเช่าระยะยาวและรายได้มั่นคง
→ ผู้ซื้อ: ได้เลือกเข้าร่วมกิจกรรมขนาดใหญ่ คอนเสิร์ต หรือแฟร์ ที่มีการจัดเป็นระบบ มีความน่าเชื่อถือสูง
ดังนั้น นักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนเร็วอาจเลือก Pop-up หรือ ตลาดนัดกลางคืน แต่หากต้องการความมั่นคง F&B Hall และ Event Venue คือทางเลือกที่ยั่งยืนกว่า โดยจากมุมผู้ซื้อ ตลาดที่ให้ประสบการณ์ต่อเนื่องและคุณภาพสูง มักสร้างความผูกพันระยะยาวได้มากกว่า
====
📌 ตัวอย่าง KPI ที่ต้องติดตามถ้าอยากจะทำจริงๆ?
“KPI ฝั่งผู้จัดตลาด (Operator)”
* Occupancy rate รายสัปดาห์: เหมือนจำนวนห้องที่มีคนเช่าในคอนโด ถ้าแผงว่างมากเกินไป รายได้ไม่พอจ่ายต้นทุนคงที่
* Average rent/stand (ค่าเช่าเฉลี่ยต่อแผง): ใช้ดูว่าผู้ค้าจ่ายไหวหรือไม่ หากค่าเช่าสูงเกินไป ผู้ค้าอาจย้ายออก ทำให้เสียความหลากหลาย
* Cost-per-visit จากแคมเปญออนไลน์: บ่งบอกว่าการตลาดคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าต้นทุนหาลูกค้าใหม่แพงเกินไป ต้องปรับกลยุทธ์ทันที
“KPI ฝั่งผู้ขาย (Seller)”
* ยอดขายเฉลี่ยต่อบิล: วัดพลังการจับจ่ายของลูกค้า หากต่ำกว่าเป้าหมาย ร้านจะมีกำไรน้อยลง
* จำนวนบิลต่อคืน: แสดงปริมาณธุรกรรมจริงต่อวัน เทียบกับต้นทุนค่าเช่า
* Visitor LTV (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย × ความถี่): บอกคุณค่าของลูกค้าประจำ ถ้ากลับมาซื้อซ้ำและจ่ายสูง ตลาดและร้านค้าจะยั่งยืน
* % Repeat visit ของลูกค้า: ยืนยันความภักดี หากกลับมาน้อยลง ผู้ขายจะพึ่งพาลูกค้าใหม่ตลอด ซึ่งเสี่ยงต่อรายได้
การแยก KPI ทั้งสองฝั่งทำให้เห็นว่าผู้จัดตลาดและผู้ค้าต้องร่วมกันรักษาสมดุล หากฝั่งหนึ่งอ่อนแอ อีกฝั่งก็จะกระทบตามไปด้วย
====
✨ ตลาดนัดกลางคืนไม่ใช่ “เกมโชคชะตา” แต่เป็นธุรกิจที่ต้องวางกลยุทธ์ลึกกว่าที่หลายคนคิด
หากจะรอดในยุค e-commerce และ food delivery ที่แย่งชิงทั้งเวลาและเงินจากผู้บริโภค ตลาดต้องเลิกคิดว่าเป็นแค่ “ที่ขายของ” แต่ต้องยกระดับตัวเองให้เป็น “จุดหมายปลายทาง (Destination)” ที่สร้างประสบการณ์และความผูกพันซ้ำ
====
📚 แหล่งข้อมูล
* ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (K-Research). (2025). แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและฟู้ดเดลิเวอรี่. K-Research
* สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA). (2025). มูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย. ETDA
* CBRE Thailand. (2025). Bangkok Retail MarketView. CBRE
* BEM. (2025). MRT Ridership Report. BEM
* BMA. (2024). Street Vendor Rules & Regulations. Bangkok.go.th
#วันละเรื่องสองเรื่อง #ตลาดนัดกลางคืน #ธุรกิจSME #Retail #NightMarket #กลยุทธ์ธุรกิจ #SMEStrategy #Economy
โฆษณา