26 ก.ย. เวลา 00:00 • หนังสือ

ช่วงที่รัฐบาลใหม่แต่งตั้ง ครม. คนนอก หรือ 'ยืมหัวคิด' ของคนนอกวงการการเมือง ทำให้นึกถึง สามก๊ก

การ 'ยืมหัว' ในสามก๊ก หมายความตรงคำ
คนที่ยืมหัวแบบนี้จะเป็นใครเสียอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่โจโฉ
โจโฉไม่เคยไว้ใจใคร นิสัยขี้ระแวงกลัวว่าจะมีคนลอบฆ่าตน ครั้งหนึ่งเขาแกล้งละเมอ ชักดาบฟันทหารคนสนิทที่เฝ้ายามอยู่ตาย แล้วเล่นละครร้องห่มร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจ ผลก็คือ ตั้งแต่นั้นไม่มีใครกล้าเข้าใกล้โจโฉ กลัวว่าจะเจอแจ็คพ็อตตายก่อนเวลาอันควร
ครั้งที่โจโฉยกทัพไปทำศึกกับอ้วนสุดซึ่งไปกบดานอยู่ที่เมืองลำหยง ทัพของโจโฉล้อมเมืองนานจนเสบียงร่อยหรอ โจโฉสั่งลดอาหารของไพร่พล ทำให้ทหารเริ่มอดอยากและไม่ค่อยอยากรบ
โจโฉเห็นว่าทหารเริ่มหมดความฮึกเหิม จึงเรียกตัว อองเฮา นายทหารผู้คุมการจ่ายข้าวมาพบ บอกอองเฮาว่า “การยึดเมืองลำหยงยากกว่าที่คาด เพราะเสบียงร่อยหรอ ทหารกำลังจะหมดกำลังใจ แต่เรามีวิธีเรียกขวัญทหารคืนมา”
อองเฮาถามว่า “จะเรียกขวัญอย่างไรหรือท่านโจโฉ?”
“ก็โดยพึ่งเจ้า เราอยากจะขอยืมอะไรหน่อยได้ไหม?”
อองเฮาตอบว่า “เพื่อให้การยึดเมืองสำเร็จ จะยืมข้าพเจ้าอะไรก็ได้ทั้งนั้น ว่าแต่ว่าท่านผู้นำจะยืมอะไรหรือ?”
1
“ขอยืมศีรษะเจ้าหน่อย”
ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารลากตัวอองเฮาไปตัดหัว ประกาศต่อเหล่าทหารว่าอองเฮาทุจริตยักยอกข้าวในคลัง จึงต้องสั่งประหาร แล้วสั่งเบิกข้าวมาจ่ายทหาร ทำให้กำลังขวัญทหารดีขึ้นมาก เห็นว่าผู้นำของตนเด็ดขาดและยุติธรรม ด้วยความฮึกเหิมก็ตีเมืองลำหยงสำเร็จ
1
ว่ากันว่าแม้โจโฉจะดุร้ายในสายตาคนจำนวนมาก แต่เขาพัฒนาบ้านเมืองจนเจริญรุ่งเรืองดี เป็นผู้นำที่ไม่นำพาวิธีการ ขอเพียงให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น
ผู้นำอีกก๊กหนึ่งคือ เล่าปี่ ก็เป็นพวกชอบ ‘ยืมหัว’ คนเหมือนกัน แต่โชคดียังอนุญาตให้หัวติดบ่าอยู่! เล่าปี่มีวิสัยทัศน์ไกล อาศัยมนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยมดึงคนเก่งจากที่ต่างๆ มาเป็นลูกน้อง สามารถ ‘ยืมหัว’ คนเก่งระดับขงเบ้ง จูล่ง ฯลฯ มาใช้งาน จัดว่าเป็น ‘มือประสานสิบทิศ’ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในโลกการเมือง
1
ส่วนก๊กซุนกวนก็มีวิธีการปกครองที่ชอบ ‘ยืมหัว’ เช่นกัน หากถือคติหลายหัวดีกว่าหัวเดียว นั่นคือใช้ ‘สภา’ ขุนนางปรึกษาการบ้านการเมือง เป็นนักการเมืองที่ชอบประชุมพรรค
กล่าวโดยสรุปคือ โจโฉเป็นผู้นำที่ใช้พระเดชเป็นหลัก ปกครองด้วยความกลัว เล่าปี่กับซุนกวนใช้พระคุณมากกว่า ปกครองด้วยน้ำใจ ผู้นำสองคนหลังจึงมีคนอยากมาเป็นลูกน้องมากกว่าโจโฉ อย่างน้อยชีวิตก็น่าจะโสภากว่าเมื่อศีรษะอยู่ติดร่าง!
1
หากโจโฉมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ และมองเห็นภาพโลกยุคใหม่ เกือบสองพันปีหลังยุคของเขา เขาอาจตกใจที่พบว่ามีผู้นำซึ่งโหดเหี้ยมกว่าเขาหลายเท่า ผู้นำยุคใหม่ไม่ตัดหัวใคร ไม่ยืมหัวใคร แต่เปลี่ยนหัวคนทั้งชาติ ล้างสมองเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง เช่นเปลี่ยนหัวให้โลภขึ้น กรอกหัวด้วยนิสัยรักโครงการประชานิยม เปลี่ยนหัวจึงร้ายกาจกว่าตัดหัวหลายเท่า!
2
คำถามคือในโลกยุคใหม่ที่ส่วนใหญ่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และการเข้าถึงข้อมูลดีกว่าง่ายกว่าสมัยสามก๊กล้านเท่า ทำไมผู้นำพันธุ์เปลี่ยนหัวคนจึงอยู่ได้? คำตอบอาจคือเพราะเราต้องการเอง
มันอาจเป็นธรรมชาติของคนทั้งโลกก็ได้ที่อยากได้คนที่พูดสิ่งที่พวกเขาอยากได้ยิน นักการเมืองจึงทำหน้าที่เหมือนจิตแพทย์ให้ประชาชน พูดอะไรก็ได้ให้พวกเขาสบายใจ
2
นักการเมืองมีสองแบบ นักการเมืองผู้ต้องการผลประโยชน์พูดสิ่งที่ประชาชนอยากได้ยิน นักการเมืองผู้ต้องการช่วยชาติพูดสิ่งที่ประชาชนควรได้ยิน
มันอาจเป็นธรรมชาติของคนอีกก็ได้ที่คาดหวังสูงต่อผู้นำของตน ต้องการ ‘อัศวินขี่ม้าขาว’ ซึ่งเก่งทุกอย่างแต่หากความจำของเราไม่สั้นเกินไปก็คงจำได้ว่า โลกการเมืองไม่เคยมีอัศวินขี่ม้าขาว มีแต่นักสร้างภาพ อัศวินขี่ม้าขาวพรรค์นี้ปรากฏตัวเรื่อยๆ ไม่เคยหมด เราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง!
ผู้นำไม่ใช่เทวดา หากประชาชนคาดหวังว่าผู้นำต้องทำงานเก่ง เสียสละเพื่อประเทศชาติ ก็อาจยึดติดมายาอย่างหนึ่ง เพราะบทบาทของนักการเมืองคือการประสานผลประโยชน์กันเสมอ เมื่อขึ้นครองตำแหน่งสูงสุดแล้วก็มักติดใจรสชาติของอำนาจ อยากรักษาอำนาจไว้ให้นานที่สุด หายากมากที่ผู้นำรู้จักก้าวลงจากอำนาจเอง
1
ดังนั้นหากประชาชนอยากได้ผู้นำที่ดี ทำงานเก่ง มีคุณธรรม จึงถือว่า “ขอมากไปนิด”! และเป็นภาพลวงตาขนาดใหญ่ เพราะประเทศชาติจะรอดหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชน ไม่ใช่ใครอื่น
ประชาชนต้องตามทันนักการเมืองและไม่ยอมให้ผู้มีอำนาจกรอกหัวง่ายๆ
1
คนที่ช่วยประชาชนได้ก็คือประชาชน
และวิธีการช่วยก็คือขยายขนาดสมองของตัวเอง
โฆษณา