Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สงคราม story
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 17:45 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
F-16 ยอดอากาศยานแห่งกองทัพอากาศไทย EP.5 ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน หลังจาก F-16 ประจำการมา 13 ปีก็ได้เข้าสู่สงครามครั้งแรก
แล้วมีบทบาทอีกหลายภารกิจเพื่อความมั่นคงมากมายเรื่อยมา เรื่องราวนี้จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติการจริงของ F-16 เรื่องนี้จะน่าสนใจมากน้อยเพียงใดไปติดตามกันครับ
การรบของ F-16 เกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2544 ในช่วงสงครามไทย-พม่า เมื่อสถานการณ์เข้าสู่จุดวิกฤต กองทัพอากาศไทย ได้รับคำสั่งด่วนจากผู้บัญชาการทหารอากาศ ในขณะนั้นคือ พลอากาศเอก ปอง มณีศิลป์ ให้เครื่องบินขับไล่ F-16 และ F-5E ถูกนำมาเตรียมความพร้อม Stand by 24 ชั่วโมง หากสถานการณ์จำเป็นต้องโจมตีทางอากาศ จะมีการขออนุมัติจากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทันที
ในที่สุดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมพ.ศ. 2544 มีรายงานว่าทหารว้าแดง 600 นาย ได้เคลื่อนเข้าประชิดชายแดนไทย กองทัพอากาศจึงตัดสินใจส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 เครื่องขึ้นบินปฏิบัติการกดดันทางอากาศด้วยการทำ Sonic Boom การปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเขย่าขวัญทหารว้า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทันทีคือทหารว้าแดงเมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็กระเจิงและถอยร่นกลับข้ามฝั่งพม่าไป รวมถึงกำลังพลทั้งหมดที่อยู่บนเนินเขาหัวโล้นด้วย
F-16 กองบิน 1 โคราช ที่ฝูงบิน 106 สนามบินอู่ตะเภา
ภายหลังการปฏิบัติการด้วยโซนิคบูม รัฐบาลทหารพม่าได้ออกมาเคลื่อนไหว กล่าวโจมตีทางไทย. โฆษกรัฐบาลทหารพม่าออกแถลงการณ์ประท้วง โดยกล่าวหาว่าเครื่องบินขับไล่ F-16 ของไทยได้ทำการโจมตีทางอากาศจริง
พม่าอ้างว่า การโจมตีรอบแรก F-16 บินถล่มพื้นที่ใกล้เมืองหย่อน ห่างจากพรมแดน 3 กิโลเมตร ทำให้ชาวบ้านพม่าได้รับบาดเจ็บ 6 คน. ส่วนการโจมตีรอบที่สองอ้างว่า F-16 ยิงจรวด 2 ลูกที่รัฐกะเหรี่ยงอย่างไรก็ตาม กองทัพไทยได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยสิ้นเชิง ว่าไร้มูลความจริง
วันที่ 29 กรกฎาคมพ.ศ.2546 กลุ่มผู้ชุมนุมชาวกัมพูชามีการจุดไฟเผาธงชาติไทย ทำลายป้ายสถานทูต และผู้ชุมนุมบางคนพกปืนอาก้ามาด้วย กองทัพอากาศไทยจึงเตรียมเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 จำนวน 5 เครื่อง และ เครื่องบินลำเลียงแบบ G-222 จำนวน 1 เครื่อง
มีคำสั่งให้ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จากกองบิน 1 โคราช ขึ้นบินเพื่อทำหน้าที่คุ้มกันหมู่บินลำเลียง C-130 โดยจะทำการบินห่างจากชายแดน แต่ถ้าสถานการณ์สุดวิสัย F-16 จากกองบิน 1 โคราชจะต้องบินเข้าสู่น่านฟ้ากัมพูชา เพื่อคุ้มกันหมู่บิน และอาจต้องใช้อาวุธเพื่อขัดขวางกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ที่คนไทยรวมตัว
อีกทั้งต้องคุ้มกันหมู่บินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือ เช่น Bell 212, S-76B, S-70B ที่ประจำอยู่บนเรือหลวงจักรีนฤเบศรซึ่งจะบินขึ้นจากเรือเพื่อรับคนไทยกลับมายังหมู่เรือเฉพาะกิจที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่ง
โชคดีที่การปฏิบัติการนี้ไทยไม่ต้องใช้กำลังรบเต็มขั้น F-16 ทำได้แค่บินคุ้มกัน C-130 เมื่อใกล้ถึงน่านฟ้าชายแดนไทย-กัมพูชา F-16 จึงทำได้แต่บินวนรอจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ
นักบินไทย (ที่นั่งหลัง) ขณะทำการบินกับ F-16
ต่อมาในความขัดแย้งทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชามีข่าวลือว่าไทยนำ F-16 มารบ
ทางกองทัพอากาศชี้แจงว่า F-16 มีบินจริงแต่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโดยตรง มีอยู่วันหนึ่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ของกองทัพอากาศ ไทย จำนวน 2 เครื่องที่เพิ่งเข้าร่วมฝึกคอบร้าโกลด์ตามวงรอบ ได้บินเข้ามาตามแนวชายแดนด้านเขาพระวิหารจนเกิด Sonic Boom จากการบินดังกล่าวส่งผลให้ทหารกัมพูชาที่วางกำลังตลอดแนวชายแดนด้านปราสาทพระวิหารต้องวิ่งเข้าหาที่กำบัง
พร้อมทั้งได้เตรียมความพร้อมเพื่อตอบโต้สถานการณ์นี้
ในการปะทะที่ชายแดนครั้งนั้นเป็นการใช้อาวุธหนักทางบกตั้งแต่จรวด RPG ไปจนถึงปืนใหญ่ โดยมีการระดมยิงปืนใหญ่ถล่มใส่กันระหว่างสองฝ่าย ทหารไทยกับกัมพูชายิงปะทะกันคราวนั้นต่อให้ไร้ซึ่งการสนับสนุนจาก F-16 ทหารบกไทยก็ทำหน้าที่สุดความสามารถจนได้ชัยชนะมาสู่ผืนแผ่นดินนี้
ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้มีการส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ในสังกัดกองบิน 4 ตาคลี กองทัพอากาศไทยขึ้นบินเพื่อสกัดกั้นเครื่องบินรบจากเมียนมานั้นเป็นภารกิจที่เกิดขึ้นบริเวณแนวชายแดนเป็นประจำ จนกระทั่งล่าสุดเครื่องบินที่จะบินล่วงล้ำชายแดนไทย ไม่ใช่เครื่องบินขับไล่อย่างที่ใครๆคาดคิด
ในช่วงบ่ายของวันที่เกิดเหตุคือวันที่ 6 พฤษภาคมพ.ศ.2568 โดยเพจเฟสบุ๊คกองทัพอากาศไทย (Royal Thai Air Force) ได้โพสต์ข้อความด่วนเมื่อเวลา 12:45 น. ระบุถึงการส่งเครื่องบินขึ้นสกัดกั้นระบุว่าเราใช้อากาศยานไทยเป็นเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 เครื่อง
โดยการปฏิบัติการในวันดังกล่าวเครื่องบิน F-16 ทั้งสองเครื่องถูกส่งขึ้นจากกองบิน 4 ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นฐานทัพที่อยู่ใกล้จังหวัดกาญจนบุรีที่สุดที่สามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้อย่างรวดเร็ว การเดินทางโดยเครื่องบินแบบดังกล่าวใช้เวลาเพียงไม่นานก็จะถึงกาญจนบุรี
F-16 กองบิน 1 โคราชบินเหนือสนามบินน้ำพองพ.ศ.2553
ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นเครื่องบินฝึกแบบ K-8 ทำการบินโดยนักบินทหาร กองทัพอากาศเมียนมาร์ จากตำแหน่งการบินที่กองทัพอากาศไทยชี้แจงพบว่าเครื่องบิน K-8 เครื่องดังกล่าวบินเข้ามา ใกล้บริเวณแนวชายแดนไทย ใกล้ ๆ กับบ้านทิกิ อำเภอเมตตา จังหวัดทวาย ของเมียนมา
การสกัดกั้นรอบนี้ทำให้ผู้คนชาวกาญจนบุรีจำนวนมากเห็นเครื่องบิน F-16 บินผ่านไป อาจคิดว่าเป็นแค่การฝึกแต่หารู้ไม่ว่านี่คือการสกัดกั้นเครื่องบินรบของเมียนมาไม่ให้มีทิศทางบินเข้ามาใกล้แนวชายแดนไทย
ในขณะเดียวกันกับที่เครื่องบิน F-16 กำลังบิน ในฝั่งเมียนมามีการปะทะกันอย่างรุนแรง ระหว่างกองทัพเมียนมากับกองทัพกะเหรี่ยง หรือกองกำลังกะเหรี่ยงชุดผสมแนวรบได้ขยับลงมาใกล้กับอำเภอพญาตองซู ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของรัฐกะเหรี่ยงที่ติดกับจังหวัดกาญจนบุรี แนวปะทะล่าสุดนี้อยู่ห่างจากประเทศไทยเพียง 16 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่ไกลเลย
การส่ง F-16 ไปสกัดกั้นในวันนั้นแม้จะไม่ได้ทำหน้าที่ขับไล่อากาศยานพม่าที่อาจล้ำแดนโดยอาวุธจริง แต่เขารู้ตัวแล้วว่าเราส่ง F-16 บินขึ้นไปเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยจึงไม่กล้าบินมาแตะน่านฟ้าของประเทศไทยประกอบกับภัยคุกคามดังกล่าวไม่ใช่เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง การใช้อาวุธจึงไม่เกิดขึ้น
พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดีขณะนั่งเครื่องบิน F-16
สำหรับผลกระทบต่อประชาชนเมืองกาญจน์ พวกเขาแตกตื่นเนื่องจากได้ยินเสียงเครื่องบินขับไล่ เมื่อได้ยินเสียงเครื่องบิน F-16 บินว่อนอยู่เหนือน่านฟ้าบริเวณแนวชายแดน ชาวบ้านได้ถ่ายคลิปเหตุการณ์เอาไว้ได้ และรู้สึกตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นบนน่านฟ้าในวันนั้น
วันที่ 24 กรกฎาคมพ.ศ. 2568 การปะทะชายแดนครั้งใหม่จุดเริ่มต้นมาจากการที่กัมพูชาส่งทหารเข้ามาวางระเบิดและยั่วยุฝั่งไทย จนทำให้ทหารไทยเหยียบกับระเบิดถึง 2 ครั้ง และมีการปะทะอย่างจริงจังเกิดขึ้นในเช้าวันนั้น หลังจากที่การสู้รบภาคพื้นดินเริ่มขึ้น กองทัพกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 และปืนใหญ่เข้าใส่ทั้งทหารและประชาชนไทยอย่างต่อเนื่อง
จึงนำไปสู่การตัดสินใจใช้กำลังทางอากาศ
เนื่องจากฝั่งกัมพูชามีพื้นที่ได้เปรียบเช่น ที่ราบสูงที่ทหารเราบุกไม่ถึง กองทัพไทยจึงตัดสินใจต้องใช้อาวุธหนักเพื่อขจัดภัยคุกคามเหล่านี้ การใช้กำลังทางอากาศ ถือเป็นโล่กำบังที่แท้จริงในการปกป้องชาติจากภัยร้าย
แน่นอนว่าเครื่องบินที่ถูกเตรียมพร้อมนั่นคือ F-16 และ Gripen หลายท่านอาจสงสัยว่านี่ F-16 ไทยรบครั้งแรกจริงหรือไม่
จริงๆไม่ใช่ ตอนเราทำสงครามกับพม่าเมื่อปีพ.ศ. 2544 เราเคยใช้รบจริง หย่อนไข่เหล็กจริงมาแล้ว
เป้าหมายคราวนี้เป็นที่ตั้งอาวุธหนักของกัมพูชา เช่น ปืนใหญ่ และฐานยิง BM-21 ที่ใช้โจมตีประชาชนในฝั่งไทย เพื่อการนี้เครื่องบิน F-16 จากกองบิน 1 โคราชและกองบิน 4 ตาคลีจึงได้บินขึ้นจากโคราชเพื่อร่วมกันปฏิบัติภารกิจ
ในการโจมตีรอบแรกมีการส่ง F-16 จำนวน 6 เครื่องขึ้นไปสนับสนุนกองทัพบก
F-16 ฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี
ในการรบเราใช้ระเบิด 500 ปอนด์ปล่อยจาก F-16 โดยเครื่องบินแต่ละเครื่องจะบรรทุกระเบิดชนิดนี้ 6 ลูก ใต้ปีกซ้าย 3 ใต้ปีกขวา 3 รวมน้ำหนักบรรทุกระเบิด 3,000 ปอนด์ต่อเครื่อง
รวมทั้งมีการใช้ชุด KGGB (มีในบทความหน้า) เป็นชุดดัดแปลงติดระเบิดจากเกาหลีใต้เพื่อเพิ่มความแม่นยำให้กับระเบิด 500 ปอนด์ด้วย
ในวันแรกของการรบ F-16 เข้าโจมตีส่วนสนับสนุนที่ 8 และกองพลน้อยส่วนสนับสนุนที่ 9 ของกัมพูชา การโจมตีด้วยระเบิด 6 ลูกต่อเครื่องทำให้เป้าหมายถูกทำลายราบคาบ
การบิน F-16 และกริพเพนในสมรภูมินี้มีความท้าทายคือทัศนวิสัยจำกัด ด้วยสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากมีฟ้าปิด ฝนตก และมีเมฆหมอกแน่นหนา ทำให้เครื่องบินทั้ง 2 แบบซึ่งบินอยู่ในเพดานบินสูงประมาณ 20,000-30,000 ฟุตมองไม่เห็นเป้าหมายที่อยู่ข้างล่างชัดเจน
จึงต้องมีการช่วยเหลือจากหน่วย CCT ในการชี้เป้าและอำนวยความสะดวกในการโจมตีทางอากาศให้แก่ F-16 หรือกริพเพนของกองทัพอากาศไทยจากบนภาคพื้นดิน ดังนั้นหน้าที่นี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการยืนยันว่าการโจมตีถูกเป้าหมาย แม้ว่าเครื่องบินจะต้องพึ่งพาข้อมูลที่ได้รับมาเท่านั้น
การปฏิบัติการเป็นไปต่อเนื่องกล่าวคือเมื่อมีการโจมตีรอบแรกเสร็จสิ้น F-16 ก็บินกลับมาเติมอาวุธที่โคราชและขึ้นไปปฏิบัติภารกิจอีกรอบเช่นเดียวกันกับ Gripen ก็มาเติมอาวุธที่โคราชแล้วไปหย่อนใส่ข้าศึกด้วย
F-16 กองทัพอากาศไทย
แม้กระทั่งในตอนกลางคืนกองทัพอากาศก็ยังไม่หยุดเรามีการส่ง F-16 ขึ้นไปปฏิบัติภารกิจต่อ
ในวันถัดไป F-16 และ Gripen ได้ร่วมปฏิบัติการโจมตีและสนับสนุนร่วมกันอย่างหนักหน่วง
นอกเหนือจากระเบิด 500 ปอนด์ F-16 ยังติดตั้งอาวุธสำหรับป้องกันตัวและโจมตีทางอากาศ ได้แก่ AIM-9M สำหรับป้องกันเครื่องบินในระยะใกล้และ AMRAAM ขีปนาวุธพิสัยกลางถึงพิสัยไกล
ช่วงเวลาที่ดุเดือดที่สุดในการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาปีพ.ศ.2568 คือคืนก่อนหยุดยิง ซึ่งทหารบกและทหารอากาศต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ การปฏิบัติภารกิจโจมตีนี้ทำให้ F-16 กริพเพนและทหารไทยทุกนายได้รับชัยชนะ และพิสูจน์ให้เห็นว่าการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทั้ง 2 แบบเข้ามาประจำการนั้นคุ้มค่ากับภาษีทุกบาทที่เสียไป
พี่เล็ก วาสนา นาน่วมเปิดเผยถึงการโจมตีของเครื่องบินขับไล่ F-16 กองทัพอากาศไทยต่อทหารกัมพูชาในช่วงการสู้รบที่ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมืองธมในความขัดแย้งชายแดนปีนี้นั้นมีความสำคัญและส่งผลให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อฝ่ายกัมพูชา
โดยเฉพาะก่อนที่จะมีการหยุดยิงในวันที่ 29 กรกฎาคม กองทัพอากาศไทยได้ใช้เครื่องบิน F-16 และเครื่องบินกริพเพนบินทิ้งระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะกันทุกวัน วันละ 2 เที่ยวบิน
ที่ปราสาทตาเมือนธมทหารไทยมีความจำเป็นต้องถอยร่นออกมาในช่วงหนึ่ง
ซึ่งการถอยนี้เพื่อเปิดทางให้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิดใส่ทหารกัมพูชาบริเวณด้านหลังแนวปราสาทตาเมือนธม
การโจมตีทางอากาศนี้ถือว่าช่วยให้ทหารไทยสามารถกลับเข้ามายึดปราสาทตาเมืองธมได้สำเร็จแต่การยึดคืนในช่วงนั้นไม่ได้หมายถึงการควบคุมพื้นที่โดยรอบได้ทั้งหมด 100% เนื่องจากทหารกัมพูชายังคงวางกำลังอยู่โดยรอบ
ปราสาทตาเมือนธม
มีการเสริมกำลังที่หนาแน่นของฝ่ายกัมพูชาในช่วง 3-4 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนหยุดยิง พี่เล็กรายงานว่าเครื่องบิน F-16 ต้องยกระดับการโจมตี โดยการทิ้งระเบิด Mk.84 ขนาด 2,000 ปอนด์จำนวน 2 ลูก ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับปกติที่ใช้เพียง 500 ปอนด์
โดยวันนั้นมีการใช้ระเบิด 500 ปอนด์ไปแล้ว 6 ลูกเหมือนกับที่ผ่านมา ผลลัพธ์ของการทิ้งระเบิด 2,000 ปอนด์ส่งผลให้เกิดการสูญเสียอย่างหนักต่อทหารกัมพูชาโดยมีรายงานว่าศพทหารเขมรนอนเกลื่อนอยู่เต็มพื้นที่และหน่วย BHQ ก็เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดที่ฝ่ายกัมพูชา เก็บศพแทบไม่หมดเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม F-16 ไม่สามารถชนะกลยุทธ์ของกัมพูชาบางประการ เช่น การใช้ปราสาทเป็นที่กำบัง ทหารกัมพูชาที่ยึดครองปราสาทตาควายได้แล้ว จึงสามารถใช้ตัวปราสาทเป็นเหมือนบังเกอร์ เป็นเกราะกำบังอย่างดีในการยิงใส่ทหารไทยที่อยู่ด้านนอก ปัจจัยต่อมาคือข้าศึกใช้วิธีการหลีกเลี่ยงการโจมตีตัวปราสาท
เพราะทหารกัมพูชาทราบดีว่าพวกเขาจะปลอดภัยเมื่อหลบซ่อนในตัวปราสาทตาควาย เนื่องจากกองทัพอากาศไทยไม่มีแผนที่จะส่ง F-16 ทิ้งระเบิดใส่ตัวปราสาทโดยตรง ประกอบกับทหารเขมรมีความคุ้นเคยกับพื้นที่ และสามารถใช้ซอกหลืบรวมถึงหลืบหิน ในการหลบหนีการโจมตีจาก F-16 ได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะหลบได้ดีแต่ก็มีจำนวนมากที่เสียชีวิต ส่วนมากมาจากฝีมือ F-16 และกริพเพนจัดการจนทหารกัมพูชากลายเป็นปุ๋ยที่ชายแดน
อาจารย์หนุ่ม ศนิโรจน์ ธรรมยศ (ซ้าย) พลตรี ประจักษ์ วิสุตกุล (ขวา)
พลตรีประจักษ์ วิสุตกุล อดีตนายทหารกองทัพบกไทยท่านกล่าวหลังจบสถานการณ์นี้ขณะลงพื้นที่เยี่ยมทหารที่ช่องบกว่า "เขมรกลัวการใช้กำลังจากกองทัพอากาศ โดยเฉพาะเครื่องบิน F-16 และกริพเพนโจมตีอย่างหนัก"
ทั้งนี้ท่านกล่าวอีกว่าหากมีการปะทะเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ยึดมันให้หมดและเชื่อมั่นว่าทหารไทยมีความพร้อมในการเปิดศึกครั้งใหม่
นี่ก็เป็นวีรกรรมของ F-16 นักรบเวหาสุดแกร่งแห่งกองทัพอากาศไทย จากสงครามไทย-พม่าปีพ.ศ.2544 ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน F-16 พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้มีไว้บินโชว์ นี่คือเครื่องบินที่นำมารบจริง แล้วถ้ามีการปะทะกับกัมพูชารอบ 2 หรือสงครามใดในภูมิภาคนี้ F-16 พร้อมลุยเต็มที่ ขอแค่หน่วยเหนือสั่งมาเราก็พร้อมลุย ยังไม่จบในตอนหน้าจะมานำเสนออาวุธคู่ใจของ F-16 นั่นคือ KGGB ส่วนรายละเอียดจะเป็นเช่นไร โปรดติดตามตอนต่อไป สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
Vachara Riddhagni
RTAF
LEELiFE-LEE เล่า
ครูหนุ่ม ศนิโรจน์
Wassana Nanuam
Legendary Channel
Thaiarmedforce
CONTHRUST
P'ommy Pitisin
ธรรมวัฒน์ รัชต์ รัตนวิจารณ์
AMARIN TV
เรียบเรียงโดย : เบิ้ล ตาควาย
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย