27 ก.ย. เวลา 04:47 • ความคิดเห็น
1. พวกเราทุกคนในตอนนี้ "ดำรงอยู่ในโลกวิสัย" พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเรายังคงอยู่ในวิสัยของโลกค่ะ ไม่ใช่โลกุตระที่พ้นวิสัยโลก ดังนั้น มุมมองแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราสามารถมองได้จากโลกนี้เท่านั้น นั่นคือ ในแต่ละเสี้ยวเวลาที่รวดเร็วเกินกว่าอะไรจะเปรียบ ก็มีการเกิดขึ้น มีการตั้งอยู่เสี้ยวอัตโตวินาที แล้วก็ต้องดับไปทันที ไม่เหลือเลย จริงไหม ลองตรองดูนะคะ
คำถามคือนิพพานคืออะไร?
หน้าตาเป็นอย่างไร?
มนุษย์หน้าไหนกันที่จะรู้ดีได้เท่ากับ
องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
ที่ได้บรรลุถึงพระนิพพานที่ว่านั้นแล้ว
และพ้นไปจากวิสัยโลกแล้ว
.........................
2. พระพุทธองค์ "ไม่ได้ทรงสอนให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย มุ่งหน้าไปสู่พระนิพพาน" ท่านย้ำทุกรอบของคลาสเรียนในครั้งพุทธกาลว่า "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญว่า ...
สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นโดยมีเหตุปัจจัย
จะเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่มีที่มาและไม่มีที่ไป ย่อมเป็นไม่ได้
และเมื่อมันเกิด มันจะตั้งอยู่
จากนั้นทุกจะขังมัน และมันจะทนอยู่ไม่ได้
มันจะต้องดับไปในที่สุด
และเมื่อมันดับแล้ว ก็ไม่เหลือเลย
.........................
ประเด็นที่ทรงสอนคือ เมื่อรู้กันอย่างนั้นแล้ว
เห็นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่เห็นด้วย
ลองปฏิบัติดูว่ามันใช่ไหม ถ้าปฏิบัติแล้วและเห็นด้วย
มันจะต้องสิ้นความสงสัยให้ได้
จากนั้น ค่อยๆละคลาย ตามดูมันไป
อาทิ ตอนนี้โกรธเกิดแล้ว ใครโกรธหรือ?
ใคร่ครวญไปเรื่อยๆ
3. ท่านตรัสรู้ได้เพราะพระบารมี และพระปัญญาญาณที่ทรงสั่งสมมา ทำให้ท่านมองสรรพสิ่งในธรรมชาติได้ละเอียดยิบ เกินกว่าสติและปัญญามนุษย์ปกติจะกระทำกัน หรือแม้แต่จะกระทำให้ประจักษ์ได้ด้วยตนเองก็แสนยาก
พุทธองค์จึงทรงสามารถอธิบายเรื่องจิต
ตามธรรมชาติที่มันเกิดขึ้น
ที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในทุกๆสรรพสิ่ง
ได้ละเอียดยิบๆๆ แล้วก็ทรงนำมาบอก
มาสอน จนพวกเราปฏิเสธไม่ได้เลย
..................
เกร็ดเพิ่มเติม : มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ด้านสมอง ที่ยืนยันได้ว่า "ทุกสิ่งที่เราบอกว่า นี่เราเห็น นี่เราได้ยิน หรือนี่เรารับรู้ ล้วนเป็นอดีตทั้งสิ้น แต่เราตามไม่ทัน พวกเราเข้าใจผิดมาตลอด คิดว่าเราตามทัน จึงคิดว่าเป็นเราที่เห็น"
โฆษณา