28 ก.ย. เวลา 03:58 • ความคิดเห็น
คุณรู้ไหมคำกล่าวที่ว่า บุคคลใดที่กลายเป็นบุคคลสาธารณะ ควรเปิดรับการวิจารณ์และรับทุกความคิดเห็น ไม่ควรปิดกั้นจนให้เกิดความย้อนแย้ง สิ่งเหล่านี้คือคำโกหกที่ไม่มีวันเป็นจริง เพราะมันคืออำนาจ ?
คำถามนี้ถูกลบ
เวลาหนูตั้งคำถามว่าบุคคลสาธารณะควรเปิดรับการวิจารณ์และความคิดเห็นโดยไม่ปิดกั้น มันสะท้อนว่าหนูยังไม่เข้าใจกลไกของกฎหมายที่เปิดให้ผู้ถูกวิจารณ์มีสิทธิ์ปกป้องตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการตอบโต้ในสิ่งที่ถูกวิจารณ์เกินจริง การใส่ร้ายป้ายสีโดยการโฆษณา หรือแม้กระทั่งการสร้างความเกลียดชังในสังคม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เสรีภาพที่ใครจะใช้ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะกฎหมายเปิดช่องให้คนที่ถูกกระทำสามารถดำเนินการตอบกลับได้เต็มรูปแบบ
บุคคลสาธารณะ เช่น คนที่มีผู้ติดตามมาก เปิดเพจเฟซบุ๊ก มียอดแชร์มากมาย เขาก็มีสิทธิ์ใช้กฎหมายป้องกันตัวเองเช่นเดียวกัน
หรือถ้าหนูไปวิจารณ์พรรคการเมืองด้วยถ้อยคำประชดประชัน เช่น พรรคเพื่อไทยสู้ไปกราบไป
แล้วมีคนถามกลับว่ากราบอะไร
หากหนูเผลอตอบในลักษณะที่สื่อความหมายให้คนอ่านเข้าใจได้ทันทีว่ากำลังบอกเล่าในเชิงเสียหายหรือบั่นทอนศักดิ์ศรี สิ่งนั้นอาจถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานได้ง่ายมาก การแคปหน้าจอประกอบกับลิงก์โปรไฟล์ของหนูถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะป้องกันการเปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ แล้วนำข้อมูลไปให้เจ้าหน้าที่ติดตามจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อหาชื่อจริงนามสกุลจริงมาดำเนินคดี
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่คำขู่ แต่มันคือขั้นตอนทางกฎหมายจริงที่เกิดขึ้นได้ ถ้าผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน เขาก็สามารถดำเนินเรื่องให้มีหมายเรียกมาถึงหนูได้ แม้หนูจะอยู่สุพรรณบุรี แต่ถ้าคนฟ้องอยู่ขอนแก่น หนูก็ต้องเดินทางไป หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องหาทนายไปแทน ถ้าหนูมีเงินพอที่จะจ้าง สิ่งนี้สะท้อนชัดว่ากฎหมายไม่สนว่าหนูสะดวกหรือไม่สะดวก ระยะทางไม่ใช่ข้ออ้าง อำนาจของกฎหมายมันจะตามไปถึงหนูทุกที่
หนูจะน้อยใจหรือนำมาตั้งคำถามเสียดสีว่ามันเป็นแค่คำโกหกไม่มีจริงก็ไม่ถูก และหนูก็พูดถูกว่ามันไม่มีจริง แต่เป็นเพราะหนูไม่เข้าใจกฎหมายต่างหาก เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างอยู่ภายใต้โครงสร้างของอำนาจ กฎหมายคืออำนาจ และอำนาจนี่เองที่ทำให้เสียงวิจารณ์สามารถถูกเปลี่ยนเป็นคดีความได้ทันที
และถ้าหนูยังไม่เชื่อ ลุงอยากให้หนูลองมองดูรอบๆ เคยเห็นไหมว่าพิธีกรดังบางคนก็เคยฟ้องกลับคอมเมนต์บางคอมเมนต์ที่เขาเห็นว่าเกินขอบเขต ทนายบางคนก็เคยใช้สิทธิ์ทางกฎหมายฟ้องกลับคนที่ด่าหรือเขียนเสียๆหายๆ ดาราหลายคนที่มีชื่อเสียงก็ตัดสินใจดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายเป็นเงินสด หลายครั้งศาลก็ตัดสินให้ผู้กระทำต้องจ่ายค่าเสียหายหนักๆ ไม่ใช่แค่คำขอโทษด้วยคำพูด แต่เป็นคำขอโทษที่แปลงเป็นตัวเลขในบัญชีธนาคาร
หนูต้องศึกษาสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นตัวอย่าง และเรียนรู้หาวิธีวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ทำให้ตัวเองโดนฟ้อง เพราะนี่มันคือศิลปะอย่างหนึ่ง ถ้าหนูไม่ศึกษา ลุงบอกได้เลยว่ามันคือจุดอ่อนที่อันตรายมากๆ และก็เคยมีคนที่โดนจริงๆ มาแล้ว
แต่สิ่งที่หนูควรคิดต่อคือ การวิจารณ์ที่ดีควรมีรูปแบบอย่างไร การนำเสนอข้อมูลผ่านพอดแคสต์ ข่าวสาร หรือการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมเป็นสิ่งที่ทำได้และควรทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
แต่ถ้าการวิจารณ์ถูกบิดให้เป็นการสร้างความเกลียดชัง เชื่อมโยงข้อมูลที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ปลุกเร้าอารมณ์ให้ผู้อื่นเกลียดร่วมกับตน แบบนั้นไม่ใช่เสรีภาพ แต่มันคือการโฆษณาชวนเชื่อที่เสี่ยงจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองเพราะบุคคลสาธารณะมีสิทธิ์จะดึงสิ่งเหล่านี้มาเป็นข้อกล่าวหาและฟ้องกลับได้ เราเห็นตัวอย่างมาแล้วมากมายในโซเชียลและคลิปต่างๆ คนที่คิดว่าตัวเองแค่แสดงความคิดเห็น สุดท้ายต้องขึ้นศาลเพราะไม่รู้ขอบเขตของกฎหมาย
สรุปคือ หนูพูดถูกว่ามันไม่มีจริง แต่ไม่ใช่เพราะมันเป็นคำโกหก หากเป็นเพราะหนูยังไม่เข้าใจกฎหมายและไม่เข้าใจอำนาจที่แท้จริง กฎหมายคือตัวอำนาจ และอำนาจก็คือสิ่งที่กำหนดขอบเขตการวิจารณ์ หากก้าวเกินกรอบที่มันกำหนดไว้ วันหนึ่งมันก็จะย้อนกลับมาเล่นงานเราอย่างไม่มีทางหนี และนั่นคือความจริงที่สะท้อนสังคมไทยได้ชัดเจนที่สุด
โฆษณา