28 ก.ย. เวลา 05:42 • ความคิดเห็น
ลุงว่าคำถามนี้ของเขาพูดถูกแล้ว บุคคลสาธารณะย่อมต้องเปิดรับคำวิจารณ์และความคิดเห็นอยู่แล้ว การปิดกั้นมันสะท้อนความย้อนแย้งในตัวเองจริงๆ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ลุงก็อยากบอกว่าบุคคลสาธารณะก็ยังเป็นมนุษย์เหมือนกัน เขามีศักดิ์ศรี มีสิทธิที่จะปกป้องตัวเองโดยกฎหมาย ถ้าวิจารณ์ในสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง มันก็เป็นธรรมดา แต่ถ้าวิจารณ์ด้วยเรื่องเท็จ ปั้นแต่ง หรือใส่ร้ายเกินจริง มันก็ไม่ใช่คำวิจารณ์แล้ว แต่มันคือการทำลายศักดิ์ศรีของเขา
และอย่าลืมนะว่า ถ้าวันหนึ่งพิสูจน์ความจริงได้ว่าสิ่งที่พูดไม่มีหลักฐาน เป็นแค่การชี้นำหรือโฆษณาชวนเชื่อ ตั้งคำถามไปในแง่ให้คนเข้าใจผิดทั้งหมด แบบนั้นก็รอรับจดหมายที่บ้านได้เลย เพราะโลกออนไลน์ทุกอย่างมันตามรอยได้ ไม่ว่าจะเป็น IP address การ copy link profile สามารถป้องกันการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนรูป แคปหน้าจอเก็บไว้เป็นหลักฐาน ทุกอย่างมันใช้ได้จริงและมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่เรื่องเล่าเล่นๆ ดังนั้นต้องระวังให้ดี
ในสังคมเรามีให้เห็นเยอะแยะ คนดัง นักการเมือง พิธีกร ดารา หลายคนก็เคยใช้สิทธิ์ทางกฎหมายฟ้องกลับเมื่อมีคนก้าวล้ำเกินไป มีทั้งเรียกค่าเสียหายหลักแสนหลักล้าน หรือบางทีก็ให้ชดเชยเป็นการขอโทษต่อสาธารณะ เพราะคำพูดมันมีราคา และบางครั้งแพงกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ
ดังนั้น ลุงมองว่ามันคือ ศิลปะของการวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าพูดบนพื้นฐานข้อเท็จจริง มีเหตุผล มีขอบเขต มันก็สร้างประโยชน์ให้สังคม แต่ถ้าขาดความรับผิดชอบในคำพูด มันก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้เหมือนกัน
ลุงก็อยากจะขอแนะนำการวิจารณ์ เราจะต้องวิจารณ์แบบคนเล่าข่าว มีใครเคยดูข่าวตอนเช้าบ้าง หรือถ้าคุณอยากจะพูดในที่ส่วนตัว เช่น ในเพจ ในกลุ่ม หรือ tiktok คุณจะต้องตีกรอบโจทย์เหมือนนักข่าวที่ทำช่อง YouTube ส่วนตัว เราจะวิเคราะห์ ย่อยเนื้อหาข่าวไปตามสิ่งที่เป็นกระแสข่าวจริงๆ อย่าพยายามนำข่าวลือที่ไม่เกิดขึ้นจริงมาพูดเด็ดขาด เราจะต้องพูดในข้อมูลที่ยืนยันได้ พิสูจน์ได้เท่านั้น ถ้าทำแบบนี้จะไม่โดนฟ้องครับ
สิ่งที่ห้ามเด็ดขาดก็คือห้ามพูดโยงไปเรื่อยโดยไม่มีหลักฐาน เราจะพูดสิ่งที่มีหลักฐานเท่านั้น และที่สำคัญอย่าโยงขึ้นสูงเสียดฟ้า เพราะยิ่งสูง ยิ่งหนาว
โฆษณา