28 ก.ย. เวลา 11:01 • ธุรกิจ

ถอดรหัส 'เบียร์ ใบหยก' ขยายธุรกิจโรงแรม สร้างอาณาจักร อาหาร-คอมมูนิตี้คนรักรถ

“เบียร์ ใบหยก” หรือ “ปิยะเลิศ ใบหยก” ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลใบหยก ไม่เพียงจะบริหารธุรกิจโรงแรมในเครือทั้ง 12 แห่งให้อยู่รอดได้ ท่ามกลางการชลอตัวของการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมองถึงการลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ต่อเนื่องทั้งในธุรกิจครอบครัว รวมถึงการลงทุนส่วนตัวกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งมีทั้งธุรกิจอาหาร ที่เตรียมนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และการเปิดธุรกิจใหม่คอมมูนิตี้คนรักรถ
ปรัชญาทำธุรกิจไม่ทำตามกระแส เน้นแพชชั่น
นายปิยะเลิศ ใบหยก หรือ “เบียร์ ใบหยก”ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ใบหยก กรุ๊ป กล่าวถึง ปรัชญาในการทำธุรกิจของคุณเบียร์ คือ จะทำในสิ่งที่เข้าใจ ไม่ตามกระแส ธุรกิจโรงแรมถูกสร้างขึ้นในยุคของคุณพ่อ ซึ่งผมต้องรับผิดชอบในบริหารในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในการสานต่อธุรกิจ ส่วนธุรกิจอาหารและธุรกิจคอมมูนิตี้คนรักรถนี้เป็น “แพชชั่น” ของเขาเอง ที่สร้างขึ้นในยุคของเขา โดยมุ่งเน้นสิ่งที่สามารถจับต้องได้ง่ายและคนทั่วไปเข้าใจได้
นอกจากนี้ เขายังใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียส่วนตัวในการโปรโมทธุรกิจ ซึ่งเขามองว่า “ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ผมว่าไม่มีวันนี้” และเชื่อว่าการรู้ว่า “ขายใคร” สำคัญกว่า “ขายอะไร” เพราะ “ขายใคร” จะนำไปสู่การเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
คุณเบียร์ ใบหยก ย้ำว่า โรงแรมเป็นธุรกิจของครอบครัว ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัดรวมกว่า 12 แห่ง ล่าสุด คือ โรงแรม ควีนสแลนด์ ถ.ศรีอยุธยา กรุงเทพฯ ที่เพิ่งจะเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการ เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ขนาด 300 ห้อง ลงทุนไปประมาณ 600-700 ล้านบาท โดยมีใบหยกสกาย กรุงเทพฯ (ใบหยก 2) เป็นโรงแรมที่ทำกำไรให้กลุ่มมากที่สุด และมีการโปรโมทมากที่สุด เนื่องจากมีกิจกรรมหลากหลายและเป็นโรงแรมขนาดใหญ่
แต่คุณเบียร์ ก็ยอมรับว่า ธุรกิจโรงแรมในปีนี้แม้ปัจจุบันการท่องเที่ยวของไทยจะชลอตัว จากตลาดใหญ่ อย่างนักท่องเที่ยวจีน ที่ยังกลับมาไม่เต็มที่ และความท้าทายหลัก คือ ประเทศไทยมีราคาห้องพักที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ การปรับขึ้นราคาห้องพักจึงค่อนข้างยาก
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด แต่โรงแรมไม่รู้สึกวิตกมากนัก เพราะเคยผ่านวิกฤตที่หนักกว่า อย่าง โควิด-19 มาแล้ว ทำให้ไม่กลัวต่อความท้าทายในปัจจุบัน หากตลาดใดไม่สามารถเข้ามาได้ ก็พร้อมปรับเปลี่ยนไปหาตลาดอื่นๆ ซึ่งหลังโควิด-19 ตลาดนักท่องเที่ยวกระจายตัวมากขึ้น
ก่อนโควิดนักท่องเที่ยวหลักจะเป็นจีนและรัสเซีย แต่ปัจจุบันมีการกระจายตัวของลูกค้าจากทั่วโลกมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ดีที่ไม่ต้องพึ่งพิงตลาดใดมากเกินไป ตลาดไหนมีปัญหาก็ปรับกลยุทธไปตลาดอื่น ผมไม่คาดหวังการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน แต่หากกลับมาก็ถือเป็นโบนัส โดยตลาดของใบหยก จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ คิดเป็นสัดส่วน 60 %
อีกทั้งการตลาดของกลุ่มใบหยก ก็มีการปรับเปลี่ยนอย่างชัดเจน ซึ่งด้วยความที่ผม เป็นยูทูปเบอร์ และอินฟลูเอนเซอร์ ก็สามารถใช้ช่องทางนี้ในการโปรโมทโรงแรม เพราะลูกค้าคนไทยจะเข้าถึงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ส่วนลูกค้าต่างชาติ ก็ขายผ่าน Online Travel Agents (OTAs) และเอเย่นต์ในประเทศต่างๆ
อีกทั้งนโยบายสำคัญของโรงแรมในกลุ่มใบหยก คือ จะไม่ใช้การตัดราคาเพื่อแย่งลูกค้า แต่จะเน้นคุณค่า และประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ เพราะลูกค้าจะชอบการเปรียบเทียบ และจุดขายของโรงแรมคือเราสร้างโรงแรมโดยมองเรื่องทำเลที่ตั้งที่เดินทางสะดวก อาทิ
อยู่เส้นทางรถไฟฟ้า รวมถึงการรีโนเวทโรงแรมอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีบริการที่ดี เพราะเขาเชื่อว่าการลดราคาจะนำไปสู่การลดต้นทุน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพการบริการ แม้ว่าต้นทุนในการดำเนินธุรกิจจะสูงขึ้นทุกปี เช่น เงินเดือนพนักงาน แต่ราคาห้องพักกลับปรับขึ้นได้ยากในตลาดปัจจุบัน เนื่องจากจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้น แต่จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ได้เพิ่มขึ้นมากตาม
“ปัจจุบันธุรกิจโรงแรมค่อนข้างแข่งขันสูง การที่เราเป็นเชนโรงแรมไทย มีข้อดีของการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น อาทิ การทำโปรโมชั่น หรือแพ็คเกจต่างๆ เราทำได้ทันที มองว่าสิ่งไหนทำแล้วทำเงิน ก็ทำได้ทันที ต่างจากเชนจากต่างประเทศที่การจะดำเนินการอะไรต้องขึ้นอยู่กับเมืองนอก”
สำหรับเป้าหมายการเติบโตของโรงแรมเครือใบหยกในปีนี้ คุณเบียร์ ยังคงตั้งเป้าไว้อย่างน้อย 5% อัตราการเข้าพักเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 70% และในช่วงไฮซีซันที่ผ่านมาเคยสูงถึง 80% ส่วนการเติบโตด้านรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก ถือว่าสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ไปแล้วประมาณ 20% ตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันนักท่องเที่ยวจะจองห้องพักล่วงหน้าเพียง 2-3 วัน แตกต่างจากสมัยก่อนที่จองล่วงหน้าเป็นเดือนผ่านเอเย่นต์
ปักหมุดอนุสาวรีย์ชัยฯผุดสร้างโรงแรมใหม่
นอกจากนี้กลุ่มใบหยก ยังมีแผนสร้างโรงแรมใหม่อีกแห่ง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พื้นที่ 22 ไร่ ขนาด 450 ห้อง คาดว่าจะเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวโดยโรงแรมแห่งนี้อาจมีบริการที่เน้นด้านสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการรองรับญาติผู้ป่วยที่ต้องการที่พักใกล้โรงพยาบาลในย่านนั้น ซึ่งใช้เวลาก่อสร้าง 2-3 ปี
เพิ่มจากปัจจุบันที่เปิดให้บริการ โรงแรมวิกซ์ อนุสาวรีย์ชัย กรุงเทพฯ อยู่แล้ว 1 แห่ง ที่เป็นโรงแรมเล็กๆ แต่ได้เรทราคาสูง เพราะคนมาพักเยี่ยมญาติ หรือ เฝ้าไข้ นอกจากนี้เรายังมีที่ดินในเชียงใหม่ และหัวหิน ซึ่งอาจจะมีการพัฒนาในอนาคตตามความเหมาะสมของตลาด
“แม้อัตราการเข้าพักโดยรวมของตลาดอาจไม่เติบโตมากนัก และเราต้องใช้ความพยายามในการหาลูกค้า แต่ผมมั่นใจว่ากลุ่มใบหยกยังคงไปต่อได้ และจะขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการลงทุนในธุรกิจโรงแรมของกลุ่มใบหยก ใช้เงินลงทุนของตนเองทั้งหมด ไม่มีการกู้ยืม ทำให้การบริหารจัดการมีความยืดหยุ่นในการตัดสินใจ และสามารถลงทุนได้โดยไม่มีแรงกดดัน โดยผมมองว่าธุรกิจโรงแรมสามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว จากการเน้นลงทุนในทำเลที่ดีใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ”
ปั้น FAB ฟู้ดโฮดิ้ง เข้าตลาดหลักทรัพย์
ไม่เพียงแต่การบริหารโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวเท่านั้น คุณเบียร์ ยังไปร่วมลงทุนกับเพื่อนๆพี่ๆที่รู้จัก เพื่อสร้างธุรกิจของตัวเองอีกด้วย อย่างธุรกิจอาหาร ภายใต้ “บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง” หรือ “ FAB” ฟู้ดโฮดิ้ง ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระหว่าง บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ,อควา คอร์ปอเรชั่น และคุณเบียร์ โดยเขาถือหุ้นอยู่ 9 % และเป็นซีอีโอของ FAB ฟู้ดโฮดิ้ง
การรวมแบรนด์อาหารของ ฟู้ด แฟคเตอร์ อควา และแบรนด์อาหารของคุณเบียร์ จะช่วยให้ธุรกิจอาหารเติบโตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดีกว่าต่างคนต่างทำแบรนด์ของตัวเอง รวมถึงได้ประโยชน์ด้านการจัดซื้อ และการโยกย้ายแบรนด์ตามทำเลที่ตั้งให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด
ปัจจุบัน“ FAB” ฟู้ดโฮดิ้ง มี 6-7 แบรนด์อาหารในเครือ และจะเพิ่มเป็นเกือบ 10 แบรนด์ จำนวนสาขารวมตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 200 กว่าสาขา และมีเป้าหมายจะเพิ่มเป็นเกือบ 300 สาขาภายในปีหน้า โดยแบรนด์อาหารใน FAB ฟู้ดโฮดิ้ง แบรนด์ที่ทำรายได้ดีที่สุด คือ ซานตา เฟ่ ซึ่งมีจำนวนสาขามากที่สุด ส่วนแบรนด์อื่น ๆ ที่โดดเด่นคือ “เจ๊แดง” ซึ่งเป็นร้านส้มตำ”
คุณเบียร์ ย้ำว่า กลยุทธ์ในการทำธุรกิจอาหารว่า จะไม่เน้นตามกระแสหรือ “เทรนด์วูบวาบ” เช่น หม่าล่า แต่จะมุ่งเน้นทำอาหารที่คนไทยคุ้นเคยและบริโภคได้ตลอด เช่น ส้มตำ หรือสเต๊ก ซึ่งเป็นที่รู้จักและมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง
และหนึ่งในแผนการขยายตลาดที่น่าสนใจ คือ การนำผลิตภัณฑ์ของเจ๊แดง เข้าจำหน่ายใน 7-Eleven โดยเป็นสินค้าประเภทอาหารพร้อมอุ่น เช่น คอหมูย่าง ซึ่งเพิ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้ แม้กำไรต่อหน่วยอาจไม่สูงนัก แต่ถือเป็นการสร้างแบรนด์ดิ้งและขยายการเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศผ่านช่องทางกว่า 10,000 สาขาของ 7-Eleven
เปิดธุรกิจใหม่คอมมูนิตี้คนรักรถ
ขณะเดียวกันด้วยความชื่นชอบส่วนตัวในรถยนต์ คุณเบียร์ได้เริ่มต้นธุรกิจใหม่ในชื่อ FAB Avenue ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนรักรถยนต์ครบวงจร โดยได้สิทธิ์ในการบริหารจัดการแบรนด์แต่งรถชื่อดังจากญี่ปุ่น จะเริ่มเปิดให้บริการในช่วงต้นปีหน้า บนพื้นที่ 3 ไร่ บริเวณถนนทาวน์อินทาวน์ ภายใน FAB Avenue จะประกอบด้วย ร้านแต่งรถ คาร์แคร์ บริการติดฟิล์ม ร้านขายของที่ระลึก และคาเฟ่
จุดประสงค์คือ การสร้างพื้นที่ให้คนรักรถได้เข้ามาใช้บริการ พบปะสังสรรค์ และแลกเปลี่ยนความรู้ โดยจะเน้นการตกแต่งชิ้นส่วนภายนอกรถยนต์ เช่น กระโปรงหน้า กันชนหน้า
การลงทุนในธุรกิจ FAB Avenue อยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนร่วมกับกลุ่มเพื่อนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน คุณเบียร์ ย้ำหลักการในการเลือกหุ้นส่วนว่าต้อง “ไม่ลำบากเรื่องเงิน” และมีแพชชั่นเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาจะเป็นผู้บริหารหลักนั่นเอง
โฆษณา