28 ก.ย. เวลา 09:12 • ศิลปะ & ออกแบบ
Sodsai Pantoomkomol Centre for Dramatic Arts, Chulalongkorn University

ปิดที่ไม่มิด-การกลบตัวตนจากคนในบ้าน

หลายครั้งคำว่า “ปิด” มักซ่อนอยู่ในกิริยาที่เราทำกับข้าวของในบ้าน ปิดทีวี ปิดตู้เย็น ปิดไฟ ปิดหน้าต่างปิดไปได้หลายอย่างกระทั่งปิดประตู และเมื่อประตูบ้านปิดลง พื้นที่ภายในก็กลายเป็นเขตปลอดภัยที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองโดยไม่มีใครเห็น ไม่มีคนดู ไร้ผู้ชมมาคอยสังเกตรอจังหวะหัวเราะขบขันหรือปรบมือชื่นชม บ้านจะกลายเป็นเวทีเปิดให้เราเป็นเราที่อยากเป็นได้โดยไม่มีคำวิจารณ์ถากถาม
ทว่าบนเวทีนี้กลับไม่ได้มีเราเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ เราจึงฝืนสวมบทบาทบิดเบือนตัวตนกลบคำตอบและหลีกเลี่ยงคำถาม แต่ไม่ว่าจะพยายามฝังมันไว้ลึกมากเพียงใด สุดท้ายเราก็ไม่มีวันปิดบังความอัดอั้นนี้จากคนที่รักเรา รวมถึงตัวเราเองให้มิดได้
ละครเวทีเรื่องปิดที่ไม่มิด ได้ถ่ายทอดเรื่องราวการปกปิดตัวตนเรื่องเพศจากแม่ของ ภัทร ลูกชายผู้มีใจรักชายและพี ลูกสาวผู้หลงใหลในผู้หญิง เรื่องเริ่มต้นในวันที่ภัทรต้องไปร่วมงานเลี้ยงในชุดราตรีแสนสวย ทว่าทุกอย่างต้องกลับตัลปัตย์เมื่อแม่ศรีสมรโผล่มาเยี่ยมลูก ๆ ของตนถึงคอนโดอย่างไม่ได้นัดหมายหลังจากบ่นว่าลูกไม่เคยกลับไปหาที่บ้านเลย แล้วความยุ่งเหยิงก็ทวีคูณไปอีก
เมื่อนีน่าแฟนสาวของพี และเจตน์แฟนหนุ่มของภัทรดันบังเอิญมาหาในวันเดียวกันนี้เอง พวกเขาจึงต้องสวมบทบาทใหม่ บทบาทในการเป็นผู้อื่นและความอลหม่านจึงเริ่มบรรเลงเป็นท่วงทำนองทั้งฮาและลุ้นเพื่อปกปิดสิ่งเดียวนั่นคือ “ตัวตน” ให้หลุดรอดสายตาแม่ศรีสมร ทว่ายิ่งปิดก็เหมือนยิ่งโป๊ะ คนดูจึงได้พลอยสนุกสนานไปตามกันอย่างที่แม่ศรีสมรว่า “แม่มาหาถูกวันจริง ๆ”
เมื่อมาถึงหน้าโรงละคร สิ่งแรกที่เราจะได้รับเมื่อแสดงตัวคือยาดมสมุนไพรหนึ่งกระปุกที่จะใช้เป็นบัตรผ่านเข้าโรงละคร ถ้าให้มองหานัยยะของยาดมสมุนไพร เราตีความออกมาได้ว่า แม้เราจะปิดฝาให้แน่นแค่ไหนแต่ทันทีที่ยกมาอังใกล้จมูก กลิ่นสมุนไพรข้างในก็ยังเล็ดลอดออกมาอยู่ดี ไม่ต่างจากการพยายามปิดตัวตนให้มิด แต่สุดท้ายความจริงข้างในก็หาทางเผยตัวออกมาเสมอ อาจไม่ใช่ในรูปแบบที่เราตั้งใจและออกมาในจังหวะที่ไม่คาดคิดด้วยซ้ำไป หรือไม่ยาดมกระปุกนี้ก็อาจเป็นแค่ของแจกซึ่งสร้างความประทับใจให้เราก็เท่านั้นเอง
ฉากที่ปรากฏบนเวทีถูกวางไว้เป็นโครงของห้องนั่งเล่น มีประตูปิดอยู่ทั้งฝั่งซ้ายและขวาซึ่งเป็นห้องของภัทรและพี แต่ก็มีบางส่วนของฉากที่เหลือไว้เพียงกรอบสี่เหลี่ยมเปล่า ๆ คนดูสามารถมองทะลุผ่านเข้าไปได้ราวกับไม่มีสิ่งใดปิดกั้น สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นกระจกสองบานที่สะท้อนเงาของผู้ชมให้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของละครด้วย นี่จึงเป็นเหมือนทลายกำแพงที่สี่ เพราะปกติแล้วละครเวทีมักสร้างระยะห่างให้คนดูได้แค่สอดส่องเรื่องราวภายใน แต่คราวนี้กลับทำให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของฉากโดยปริยาย
เมื่อใบหน้าเราเองสะท้อนอยู่บนเวที ก็ยิ่งตอกย้ำว่าไม่ว่าจะอย่างไร เราหนีเงาของตัวตนในกระจกไม่พ้น คล้ายเป็นการชักชวนให้เรามองหาความเป็นตัวเองในเรื่องราวนี้ไปพร้อมกัน ในมุมมองส่วนตัวเราเห็นฉากดังกล่าวแฝงกลิ่นอายของละครแนว Expressionism การจัดวางห้องนั่งเล่นนี้เหมือนถูกมองผ่านสายตาของสองตัวละครหลักอย่างภัทรและพี ประตูแต่ละบานทำหน้าที่ปิดบังเสมือนที่พวกเขาต้องคอยซ่อนตัวตน ขณะเดียวกัน บางส่วนของบ้านกลับเปิดโล่ง ไม่มีสิ่งใดบดบัง
หากอยากเก็บความลับก็ต้องยัดทุกสิ่งเข้าไปซ่อนในที่ปิดซึ่งจะมีแค่ห้องของพวกเขาเท่านั้น แม้กระทั่งพื้นเวทีเองยังถูกตีเส้นเป็นโค้ง บ่งบอกว่าพวกเขากำลังยืนอยู่บนความลื่นไหลที่ไม่เป็นเส้นตรงตามขนบหรือความคาดหวังของใคร เมื่อตัวละครสื่อสารกันด้วยการแสดงที่โน้มเอียงไปทาง Realism แต่แล้วการปรากฏตัวของแม่ศรีสมรก็ทำให้เราฉุกคิดอีกครั้ง แม้ว่าตัวละครนี้จะเป็นแม่ แต่ผู้รับบทเป็นนักแสดง LGBTQ+ ซึ่งผู้ชมมองออกได้ไม่ยากนัก
งั้นหรือแม่ศรีสมรเองก็อาจเป็นภาพแทนอุดมคติในสายตาของภัทรและพีรึเปล่า แม่ที่มีความหลากหลายเช่นเดียวกับพวกเขา และอาจเป็นคนที่เข้าใจตัวตนที่ถูกปิดบังของลูก ๆ ได้ลึกที่สุด เราชอบการใช้แสงทาบให้เกิดเงา ซึ่งเผยให้เห็นการกระทำของตัวละครที่อยู่เบื้องหลังกำแพงสีขาวซึ่งบดบังสายตาผู้ชม ซึ่งขับความลุ้นให้กับคนดู ผู้ชมแม้มองไม่เห็นรายละเอียดตรง ๆ แต่ยังจับการเคลื่อนไหวที่ซ่อนอยู่ได้ เงาที่ฉายออกมานั้นยิ่งตอกย้ำแนวคิดเรื่องการปิดที่ไม่มีวันมิดเพราะเงาของตัวตนเรายังคงอยู่แม้จะบดบังด้วยกำแพงหนาแล้วก็ตาม
ตอนต้นของการแสดงยังมีบางช่วงที่เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเนิบช้าอาจเป็นจังหวะที่จงใจค่อย ๆ พาเราเดินเข้าสู่โลกของเรื่องราวเพราะแน่นอนว่าเป็นเรื่องยากจะตรึงใจคนดูได้ตั้งแต่นาทีแรก และแล้วเมื่อการแสดงเข้าสู่ช่วงกลางเรื่อง จังหวะโบ๊ะบ๊ะของ Comedyก็เริ่มมา ความสนุกเริ่มทะยานขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้นเสียงหัวเราะที่ดังต่อเนื่องกลับเคลือบไปด้วยความจริงใจที่ดูเจ็บปวดซึ่งปรากฏอยู่บนเวที ทำให้เราอดฉุกคิดไม่ได้ว่าสถานกาณ์นี้ เราควรหัวเราะดีรึเปล่า ยิ่งเมื่อเห็นตัวละครที่เราเอาใจช่วยต้องรับน้ำหนักบางสิ่งบางอย่างที่กดทับใจ และนั่นเองที่ทำให้เราเริ่มมองเห็นการต่อสู้ลึก ๆ ของพวกเขา
ตัวละครเหล่านี้ต้องพยายามกลบตัวตนของตัวเอง ทั้งที่สถานที่บนเวทีตรงนั้นควรเป็นที่ที่เขาจะได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ แต่กลับต้องคอยซ่อน พยายามฝังสิ่งที่แท้จริงไว้ใต้ชั้นหนาทึบของคำพูดและการกระทำ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สะเทือนใจที่สุดคือภาพของ “บ้าน” ที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดกลับกลายเป็นเวทีอีกชั้นหนึ่งที่พวกเขาจำต้องสวมหน้ากาก บ้านที่ควรเป็นที่พักกายพักใจ กลับบังคับให้พวกเขาลบตัวตนเดิมและแสดงบทบาทใหม่ที่ไม่อยากเป็น ทว่าไม่ว่าจะปิดกั้นเพียงใด
ความเป็นตัวของตัวเองก็ยังเล็ดลอด แทรกอยู่ตามช่องว่างทั้งในแววตา กิริยา หรือแม้แต่ในความเงียบ และด้วยการเล่าที่ตรงไปตรงมาแฝงการเสียดสีและยังเข้าถึงความเป็นจริงอย่างร่วมสมัยแล้ว ซึ่งเราชอบมาก จึงกลายเป็นผลลัพธ์ความตลกที่ลงตัวในทำนองหัวเราะแล้วเจ็บ ช่วงท้ายของเรื่อง เราสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการแสดงค่อย ๆ พาเราไหลไปสู่ตอนจบที่ซาบซึ้งกินใจจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
แม้ว่าเส้นทางและบทสรุปจะไม่ใช่สิ่งเกินคาด หรืออาจเดาได้ไม่ยาก ถึงอย่างนั้น ความเรียบง่ายก็ไม่ได้ทำให้มันจืดชืด ตรงกันข้าม กลับทำให้ความรู้สึกที่ส่งถึงคนดูแนบแน่นและชัดเจน สิ่งที่ทำให้ตอนจบทรงพลังไม่ใช่เพียงเนื้อเรื่อง หากแต่เป็นการที่มันได้ถ่ายทอดในรูปแบบของละครเวที การที่มีมนุษย์จริง ๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเราตลอดชั่วโมงการแสดง ใบหน้าที่เราได้เฝ้ามอง เห็นร่องรอยอารมณ์ทุกขณะ ความเหนื่อย ความเปราะบาง หรือแม้แต่รอยยิ้มเล็ก ๆ ทั้งหมดคือพลังของการแสดงสด
นักแสดงแต่ละคนทุ่มเทเต็มกำลังเพื่อส่งผ่านความจริงใจของตัวละคร จนเรารู้สึกเหมือนสัมผัสหัวใจของพวกเขาโดยตรง ละครเวทีปิดที่ไม่มิดจึงจบลงอย่างกลมกล่อมและมอบความประทับใจแก่คนดู
แม้ว่าแก่นประเด็นของเรื่องอาจไม่ได้สดใหม่นัก โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ประเทศไทยได้มีกฏหมายสมรสเท่าเทียมประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้ว จึงอาจเกิดการตั้งข้อสังสัยว่า เรื่องราวเช่นนี้ยังจำเป็นอยู่ไหม มันดูเชยไปแล้วรึเปล่า
สำหรับเรา แม้จะไม่ถึงขั้นปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มกับตอนจมของเรื่อง แต่ยังคงซาบซึ้งไปกับเส้นทางของตัวละคร สิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าแก่นเรื่องนี้ยังคงต้องมีการพูดถึง คือภาพที่นั่งผู้ชมข้าง ๆ คือคู่รักชายสองคนที่นั่งโอบกันด้วยร้อยยิ้มในฉากหวานและจับมือสอดประสานแน่นเมื่อถึงตอนจบ
ภาพนี้แสดงให้เราได้เห็นชัดว่าละครเรื่องนี้ยังคงเข้าถึงหัวของผู้ชมได้และอาจเข้าถึงในแบบที่ต่างออกไปสำหรับแต่ละคน ปิดที่ไม่มีมิดจึงเป็นละครเวทีที่ยังคงนำมาเล่นซ้ำได้ในทุกสมัยตราบนานเท่าที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศต้องการพื้นที่ให้เสียงและตัวตนของพวกเขาได้รับการยอมรับ ทั้งในพื้นที่สาธารณะและที่พื้นที่ปิดมิดชิดซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวอย่างในบ้าน
โฆษณา