28 ก.ย. เวลา 15:26 • หนังสือ

The Passenger คุณเลือก ผมฆ่า

ไม่เคยอ่านนิยายยาวจนเช้ามานานมากแล้ว แต่ The Passenger #คุณเลือกผมฆ่า จาก น้ำพุสำนักพิมพ์ กลับทำให้เราอ่านเพลินจนวางไม่ลง ด้วยเนื้อหาที่ชวนลุ้นตลอดทั้งเล่ม นักเขียนจะค่อยๆหยอดปมที่น่าสงสัยของแต่ละตัวละครเอาไว้ทีละน้อยตั้งแต่ต้นเรื่อง เพื่อล่อลวงให้เราอยากอ่านหน้าต่อไป และต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด
หลังจากมีการบังคับใช้รถยนต์ไร้คนขับระดับ 5 รถยนต์อัจฉริยะที่มนุษย์จะเปลี่ยนสถานะจาก "คนขับ" มาเป็น "ผู้โดยสาร" เพราะเพียงแค่กำหนดจุดหมายในการเดินทาง ระบบ AI สุดล้ำที่ฝังอยู่ในรถก็จะรับช่วงต่อในการพาคุณไปให้ถึงจุดหมายนั้นอย่างปลอดภัย ในขณะที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่ โดยรัฐบาลอังกฤษยืนยันว่า AI นี้มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง สามารถขับขี่รถได้เองอย่างปลอดภัย และมีระบบการตัดสินใจรับมือกับอุบัติเหตุที่สอดคล้องกับหลักศีลธรรม
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ประชาชน 8 คนกำลังโดยสารรถยนต์อัจฉริยะรุ่นนี้ พวกเขากลับพบว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมระบบ AI ของรถได้ จุดหมายที่กำหนดไว้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่ไม่รู้จัก ประตูรถไม่สามารถเปิดออกได้ กระจกถูกเปลี่ยนเป็นแบบทึบเพื่อไม่ให้คนภายนอกมองเห็น ก่อนจะมีเสียงของคนที่ไม่รู้จักพูดกับพวกเขา บอกว่าชีวิตของพวกเขากำลังจะจบลงในอีก 2 ชั่วโมงครึ่ง
ระหว่างนั้น ในห้องลับแห่งหนึ่ง คณะลูกขุนทั้ง 5 คนกำลังร่วมกันตัดสินคดีอุบัติเหตุของงรถยนต์ไร้คนขับ แต่สิ่งที่ "ลิบบี้ ดิกสัน" ผู้ได้รับเลือกในฐานะตัวแทนของสาธารณชนพบคือ การตัดสินคดีนี้เป็นแค่การเล่นปาหี่เท่านั้น พวกเธอถูกเลือกมาเพื่อยืนยันว่าทุกคดีไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของ AI จนกระทั่งจู่ๆเสียงปริศนาก็แจ้งว่าเขากำลังควบคุมรถยนต์ไร้คนขับที่ "แจ็ค ลาร์สสัน" รัฐมนตรี พ่วงตำแหน่งผู้นำคณะลูกขุน ยืนยันว่าไม่สามารถแฮ็กได้เอาไว้แล้ว
และตอนนี้โฉมหน้าของคณะลูกขุนลับก็กำลังถูกถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ในทุกช่องทางสื่อ ผ่านกล้องตัวจิ๋วที่ไม่รู้ว่าถูกติดตั้งไว้ได้อย่างไร ข้างๆกันคือวิดีโอแบบเรียลไทม์ของผู้โดยสารทั้ง 8 ที่กำลังตื่นกลัว รถทั้งหมดถูกกำหนดให้พุ่งชนกัน ทุกคนจะต้องตาย เว้นเสียแต่ว่าคณะลูกขุนและประชาชนทั้งโลกที่กำลังดูไลฟ์นี้อยู่จะตัดสินได้ว่า ใครกันที่สมควรมีชีวิตรอดที่สุด
เรารู้เท่าที่คุณอยากให้รู้ ก่อนถูกบังคับให้ตัดสินว่าใครผิด
สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกตลอดเวลาที่อ่านคือ คนเราจะตัดสินว่าใครสมควรตายแค่จากการรู้จักเขาผิวเผินได้ยังไงกันนะ ก่อนจะนึกได้ว่าโลกทุกวันนี้มันก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรอ เวลาเกิดกระแสดราม่าในโซเชียล เราสามารถตัดสินคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดายว่าเขาเป็นคนดีหรือเป็นคนเลว ทั้งที่เรามีข้อมูลเกี่ยวกับเขาแค่หยิบมือเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเรื่องราวทั้งชีวิตของเขาที่เราไม่อาจรู้
ตัวละครในเรื่องนี้เองก็เช่นกัน เหตุผลที่ผู้โดยสารคนแรกถูกตัดสินให้ตายนั้น เกิดจากคำบอกเล่าของแฮ็กเกอร์ที่ตั้งใจพูดถึงเธอในด้านลบ เขาพูดในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ชอบ ก่อนจะเฉลยความจริงอันแสนเจ็บปวดว่าผู้โดยสารคนนั้นต้องเจอเรื่องเลวร้ายอะไรมาบ้างในชีวิต เสมือนการเอาไม้ฟาดแสกหน้าคนทั้งโลก (หรืออาจรวมถึงคนอ่านด้วย) ว่าพวกเขาได้ตัดสินใจสังหารผู้บริสุทธิ์เพราะความอคติไปเสียแล้ว
เกมที่แฮ็กเกอร์กำลังเล่นนั้นไม่ต่างจากภาพสะท้อนการทำงานของคณะลูกขุนที่ถูกบงการโดยแจ็ค เขาต้องการให้ประชาชนเชื่อในสิ่งที่เขาบอกให้เชื่อ จึงใช้วิธีการบลัฟคณะลูกขุนให้ตัดสินคดีไปในทิศทางที่ว่าระบบของรถไม่ได้มีความผิด แต่เพื่อไม่ให้ดูโจ่งแจ้งจนเกินไป แจ็คเลือกที่จะใช้อำนาจในการเล่าเรื่องเพื่อโน้มน้าวความคิดของลูกขุนแต่ละคน เพียงเท่านี้ทุกคนก็ยอมโหวตไปในทิศทางที่แจ็คต้องการ โดยไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าตนกำลังถูกจูงจมูก
โซเชียลมีเดียก็เหมือนแม่น้ำ มันเริ่มจากที่หนึ่ง แต่ยิ่งไหลไปไกลก็ยิ่งแตกแขนงไปเรื่อยๆ
เรื่องนี้ยังเล่นประเด็นเกี่ยวกับความรุนแรงที่มีที่มาจากโซเชียลมีเดียได้เห็นภาพชัดดี เพราะในขณะที่บรรดาลูกขุนกลายเป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่องราวนี้ มีโฉมหน้า มีประวัติ คนในโซเชียลกลับเป็นเพียงบุคคลนิรนามที่ไม่มีใครระบุตัวได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขากล้าที่จะโหวตว่าใครสมควรตายกันอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะรอฟังประวัติชีวิตคร่าวๆของผู้โดยสารแต่ละคนด้วยซ้ำ
นั่นเพราะพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วมรับผิดชอบในอาชญากรรมที่กำลังเกิดขึ้น แม้ว่าจริงๆแล้วทุกคนต่างก็กระตือรือร้นที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นี้ ได้แสดงความคิดเห็นของตนให้แก่สาธารณชน มิหนำซ้ำอัลกอรึทึมของโซเชียลมีเดียยังทำให้พวกเขาเห็นแต่ข้อความที่คิดเช่นเดียวกัน มันจึงยิ่งทำให้พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองกำลังเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงหรือความเกลียดชังแต่อย่างใด เพราะคนส่วนใหญ่ก็ดูจะคิดเหมือนกับกันเขานี่นา
เพราะรถยนต์ที่คุณสนับสนุนนั้นแท้จริงแล้วกำลังประเมินคุณค่าเรา และเลือกปกป้องคนที่คุณตัดสินว่ามีคุณค่าต่อสังคมมากที่สุดต่างหาก
คนที่ติดตามเพจมานานจะรู้ว่า เราไม่เคยเห็นด้วยกับความคิดที่จะเอาซอฟต์แวร์เข้ามาทำงานแทนมนุษย์แบบ 100% ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยศีลธรรมในการตัดสินใจด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เพราะโดยประสบการณ์แล้วเราเชื่อว่าซอฟต์แวร์จะทำงานไปตามหน้าที่ที่มันถูกโปรแกรมมาเท่านั้น แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่โปรแกรมมัน มีความคิดที่ปราศจากอคติมากพอที่จะสั่งให้มันทำงานได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง และต่อให้เขาจะเป็นคนแบบนั้น แต่มันก็ยังมิวายที่จะเกิดข้อถกเถียงตามมาในภายหลังอยู่ดี
เพราะขนาดมนุษย์เองยังตีความคำว่า "ศีลธรรม" แตกต่างกันไปเลย แค่คำสั้นๆคำเดียวนี้ เราสามารถนั่งเถียงกันได้ทั้งวันจนกระทั่งวันสิ้นโลกเสียด้วยซ้ำ มันไม่มีทางที่มุมมองด้านศีลธรรมของแต่ละคนจะเหมือนกัน เพราะมันไม่มีอะไรที่บอกได้ชัดว่าทางเลือกไหนถูกหรือผิด เช่น ถ้าต้องเลือกระหว่างชนคน 5 คน กับชนคน 1 คน คนส่วนใหญ่มักจะเลือกอย่างหลัง ด้วยเหตุผลว่าลดความสูญเสีย
แต่ถ้ากลายเป็นว่าคน 5 คนนั้นเป็นฆาตกรใจโฉด เป็นโจรทมิฬ ในขณะที่คน 1 คนนั้นเป็นแพทย์ฝีมือดีที่ช่วยชีวิตคนไว้มากมาย แทบทุกคนจะต้องเปลี่ยนใจเลือกชนคนกลุ่มแรกอย่างแน่นอน ทว่าถ้าต้องเลือกระหว่างแพทย์คนนี้กับคนที่เรารักซึ่งไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้สังคมเท่าไหร่ เราคิดว่าร้อยทั้งร้อยก็จะเลือกคนที่ตัวเองรักกันทั้งนั้น เห็นไหมว่าแค่เงื่อนไขที่แตกต่างเพียงเล็กน้อยเหล่านี้ ก็สามารถเปลี่ยนแปลง "ความรู้สึกว่าถูกต้อง" ของแต่ละสถานการณ์ได้ทันที
สำหรับเราแล้ว เล่มนี้จึงเปรียบเสมือนการเอาปัญหาถกเถียงทางศีลธรรมเรื่องรางรถไฟมาขยายให้สเกลใหญ่ขึ้น พร้อมๆกับการสร้างความตระหนักว่าไม่มีสิ่งไหนในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่แท้จริงแล้วก็ถูกพัฒนาขึ้นมาจากมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยอคติ ไม่ว่าจะต่อเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว เพศ หรือแม้กระทั่งฐานะด้านการเงิน
เป็นหนังสือที่อยากให้ทุกคนได้อ่าน ถึงจะเดาทางได้ไม่ยาก แต่ระหว่างทางกลับไม่น่าเบื่อเลยสักนิด คำเตือนเดียวมีแค่ไม่แนะนำให้อ่านก่อนนอน เพราะมันจะทำให้คุณไม่ได้นอนจนกว่าจะถึงตอนจบ หรือแย่กว่านั้นคือนอนไม่หลับไปอีกสักพักหลังอ่านจบ 😉
งานหนังสือนี้ใครยังไม่รู้จะซื้อเล่มไหน ลองพิจารณาเล่มนี้ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกก็ดีนะคะ https://s.shopee.co.th/6VEpfYCyua
โฆษณา