29 ก.ย. เวลา 12:01 • ประวัติศาสตร์

Banana Republic เมื่อบริษัทขายกล้วยใหญ่จนคุกคามประเทศและประชาชนได้

ทุกคนเคยเห็นกล้วยหอมตามร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ
แต่เชื่อว่าไม่ทุกคนที่รู้ประวัติศาสตร์ที่ดำมืดของกล้วยที่หน้าตาไม่มีพิษไม่มีภัยเหล่านั้น วันนี้ผมจะเล่าประวัติศาสตร์ของกล้วยหอมและสาธารณรัฐกล้วยให้ฟังกันครับ
ย้อนเวลากลับไปช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 19 โลกกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษเริ่มส่อแววให้เห็นอำนาจที่กำลังเสื่อมลงอย่างช้าๆ ขณะที่สหรัฐอเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นกล้วยที่ปลูกในทวีปอเมริกากลางก็เริ่มเป็นที่นิยมในอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ
ถิ่นกำเนิดของกล้วยจริงๆ แล้วก็คือแถวๆ บ้านเรา คือ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิกแล้วตอนที่ชาวยุโรปเดินทางมาล่าอาณานิคมยุคแรกๆ ก็ทดลองนำกล้ววยไปปลูกในดินแดนอาณานิคมที่อยู่ในทวีปอเมริกา
1
พอถึงช่วงประมาณปลายศตวรรษที่ 19 (ราว ค.ศ. 1870) กล้วยก็เริ่มถูกนำเข้าไปขายในอเมริกา ซึ่งช่วงแรกยังเป็นแค่ผลไม้แปลกราคาแพง ที่มีคนเข้าถึงไม่มากนัก จนกระทั้งในปีค.ศ. 1876 เมื่อมีงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีที่ชื่อ World’s Fair หรือ Philadelphia Centennial Exposition กล้วยก็ถูกนำไปจัดแสดงด้วย ทำให้คนจำนวนมากได้ลองชิมกล้วยแล้วเกิดชื่นชอบขึ้นมา หลังจากนั้นกล้วยก็ได้รับความนิยมขึ้นอย่างรวดเร็ว
เหล่าพ่อค้านักธุรกิจที่มองเห็นเทรนด์จึงเริ่มนำกล้วยเข้ามาขายมากขึ้น ซึ่งก็ขายดิบขายดี กำไรก็สูง จึงเกิดบริษัทนำเข้ากล้วยหลายแห่ง แต่ปัญหาคือ กล้วยเป็นสินค้าที่เน่าเสียเร็ว เพราะต้องขนส่งจากประเทศเขตร้อนทำให้ในช่วงแรกกล้วยจำนวนมากเสียหายก่อนถึงมือผู้บริโภค
1
พ่อค้ากล้วยและนักธุรกิจด้านขนส่งหลายคนจึงตัดสินใจรวมตัวกัน จัดตั้งเป็นบริษัทนำเข้ากล้วย ที่มีชื่อว่า United Fruit Company หรือ UFC ในปีคศ. 1899 จุดที่ทำให้พวกเขาแตกต่างคือ วิธีคิดเรื่องการทำธุรกิจ คือ จะไม่ใช่แค่ซื้อกล้วยจากเกษตรกรแล้วนำเข้ามาขายในอเมริกาเท่านั้น แต่จะเพิ่มกำไรสูงสุด ด้วยการควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ทำไร่กล้วยเอง ขนส่งเอง ขายเอง
บริษัท UFC จึงเข้าไปลงทุนซื้อที่ดินในอเมริกากลางเพื่อปลูกกล้วยแบบพืชเชิงเดี่ยวในไร่ขนาดใหญ่ ดูแลการเก็บเกี่ยวเอง และสร้างระบบขนส่งจากไร่มายังท่าเรือให้เร็วที่สุด รวมไปถึงมีเรือขนส่งสินค้าของตัวเอง เพื่อขนกล้วยมาขายที่สหรัฐอเมริกา
ด้วยระบบที่มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนด้วยการกดขี่แรงงาน ต้นทุนโดยรวมจึงถูกลงมามาก ธุรกิจของ UFC จึงขยายกิจการออกไปลงทุนในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเริ่มจากคอสตาริกาแล้วขยายไปยัง โคลอมเบีย ฮอนดูรัส และกัวเตมาลา
1
ฟังดูก็แค่บริษัทข้ามชาติที่ดูประสบความสำเร็จใช่ไหมครับ แต่เรื่องราวกำลังจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วครับ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทขยายกิจการมาในประเทศกัวเตมาลา
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลกัวเตมาลาพยายามสร้าง ระบบไปรษณีย์แห่งชาติ แต่ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ระบบจึงล้มเหลวในการบริหารจัดการ เลยต้องหาผู้มีความรู้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาและตัวเลือกที่ที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดในเวลานั้นก็คือบริษัท United Fruit Company
1
แม้ว่าธุรกิจขายกล้วยฟังดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับไปรษณีย์ แต่กลับถูกเลือก เพราะบริษัทนี้ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ และได้วางโครงสร้างพื้นฐานจนสามารถขนกล้วยจากป่าลึกในอเมริกากลางไปถึงท่าเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกัวเตมาลาจึงตัดสินใจว่าจ้างบริษัทขายกล้วยแห่งนี้มาบริหารระบบไปรษณีย์
แต่มันไม่จบแค่นั้นครับ
เมื่อรัฐบาลต้องการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ United Fruit Company ก็เสนอตัวเข้ามาเป็นคำตอบให้อย่างสม่ำเสมอ เช่น เมื่อรัฐต้องการระบบรถไฟ เพื่อเชื่อมเมืองหลวงกับชายฝั่ง บริษัท UFC ที่มีประสบการณ์สร้างรางรถไฟเพื่อขนกล้วยอยู่แล้วก็เข้ามาช่วยวางระบบและบริหารจัดการ เมื่อรัฐต้องการระบบโทรเลข บริษัท UFC ที่ทำการสื่อสารข้ามชาติอยู่แล้ว ก็เข้ามาวางระบบและบริหารให้ เมื่อรัฐต้องการอัพเกรดท่าเรือเพื่อการค้าที่ขยายตัวใหญ่ขึ้น UFC ก็เข้ามาดูแลระบบพื้นฐานและวางระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียม
1
แม้แต่ระบบสาธารณสุข บริษัท UFC ก็มีให้เพราะเคยสร้างโรงพยาบาลไว้เพื่อดูแลคนงานและพนักงานของบริษัท เมื่อรัฐต้องการก็เพิ่มจำนวนโรงพยาบาลไปทั่วประเทศจนกลายเป็นผู้ให้บริการสาธารณสุขรายใหญ่ของประเทศ
2
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 50 ปีที่ UFC ก็แทบจะเหมือนเป็นเจ้าของประเทศ เพราะคุมสิ่งที่เหมือนเป็นเส้นเลือดใหญ่ต่างๆ ของประเทศไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเก็บค่าธรรมเนียมของการสินค้านำเข้าส่งออกเกือบทั้งหมด คุมเส้นทางการคมนาคมของทั้งสินค้าและผู้คน คุมการสารสื่อสาร คุมระบบสาธารณสุข
และเมื่อบริษัทมีอิทธิพลมาก ก็สามารถเอาเปรีบทั้งผู้บริโภคและรัฐบาลได้อย่างแทบจะเสรี ในช่วงเวลา 50 ปีนั้นความเหลื่อมล้ำในกัวเตมาลาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
1
เช่น ประชากรแค่ 2% ครอบครองที่ดินกว่า 70% ของประเทศ แถมที่ดินที่ใช้เพาะปลูกจริงมีเพียงแค่ 15 % ส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้างไว้เพื่อเก็งกำไร ชาวกัวเตมาลาจำนวนมากไม่มีทางเลือก ต้องทำงานในไร่กล้วยที่ใช้งานอย่างหนักหน่วงแต่ให้ค่าแรงต่ำจนไม่พอจะเลี้ยงครอบครัวได้ แถมค่าแรงที่ได้ ก็ไม่ใช่เงินสดทั่วไป แต่เป็น ธนบัตรของบริษัท ที่สามารถใช้ได้เฉพาะในร้านค้าที่ United Fruit เป็นเจ้าของหรือควบคุม
ชาวไร่ต้องอาศัยอยู่ในกระท่อมของบริษัทที่เล็ก เก่าไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า
5
ซึ่งตรงข้ามกับบ้านพักของพนักงานบริษัทผิวขาวที่มีชีวิตสะดวกสบาย จนเรียกได้ว่าทำงานในอเมริกายังไม่ได้มีชีวิตที่ดีเท่านี้
แล้วด้วยความที่อิทธิพลของบริษัทนี้ยิ่งใหญ่ข้ามพรมแดนหลายประเทศ จึงมีการเรียกบริษัท UFC ว่าเป็น สาธารณรัฐกล้วยหรือ Banana Republic
แต่แล้ว ก็มีนายทหารหนุ่มผู้หนึ่งที่กล้าลุกขึ้นมาท้าทาย ชื่อของเขาคือ Jacobo Árbenz
2
ยาโคโบ อาเบนซ์ ได้รับเลือกตั้งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของกัวเตมาลา ในปีค.ศ. 1951 เขาเป็นนายทหารหนุ่มที่มีความคิดก้าวหน้า และมีอุดมการณ์ชัดเจนว่าจะ ปฏิรูปประเทศเพื่อประชาชนส่วนใหญ่และจะลดอิทธิพลของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ
โดยนโยบายหลักของเขาคือ การปฏิรูปที่ดิน
1
อาร์เบนซ์ประกาศกฎหมายที่ชื่อ Decree 900 ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญคือ รัฐบาลจะเวนคืนที่ดินที่ไม่ได้ถูกใช้เพาะปลูกจริง (เช่นที่ถูกปล่อยรกร้างเพื่อเก็งกำไร) แล้วนำมาแจกจ่ายให้เกษตรกรรายย่อยผู้ไม่มีที่ทำกิน โดยรัฐบาลเสนอว่าจะจ่ายค่าชดเชยให้กับเจ้าของที่ดินเดิมตาม “ราคาประเมินที่บริษัทแจ้งไว้ในการเสียภาษี”
1
พอจะเดาได้ใช่ไหมครับ นโยบายนี้ถูกใจชาวบ้านมาก แต่ก็ถือว่าท้าทายบริษัท United Fruit Company โดยตรง และที่แสบไปกว่านั้นคือ เงินชดเชยที่เสนอให้นั้นมันต่ำกว่าความเป็นจริงมหาศาล ซึ่งเหตุผลก็มาจากตัว UFC เอง เพราะก่อนหน้านี้บริษัท UFC ก็แจ้งมูลค่าที่ดินต่ำกว่าจริงมาโดยตลอดเพราะต้องการจะเลี่ยงภาษี
การมาของอาร์เบนซ์ จึงเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อธุรกิจและอำนาจที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ
Sam The Banana Man จึงมาปรากฎตัวที่กัวเตมาลา เขาคนนี้คือใคร ?
ซามูเอล ซามูรี (Samuel Zemurray) หรือที่คนนิยมเรียกกันว่า Sam the Banana Man เป็นผู้อพยพชาวยิวจากจักรวรรดิรัสเซียไปอเมริกา ในวัยเด็กเขายากจนและทำการค้าขายมาตั้งแต่เด็ก จนวันหนึ่งเขาก็เห็นธุรกิจใหม่ที่กำลังเติบโตนั่นก็คือ การขายกล้วย
เขาเริ่มต้นธุรกิจกล้วยแบบธรรมดา ๆโดยเริ่มจากไปรับซื้อ กล้วยสุกที่กำลังจะถูกทิ้งเพราะใกล้เน่า แล้วรีบหาทางปล่อยในราคาถูก จากจุดเล็ก ๆ นี้ เขาขยายกิจการขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถตั้งเป็นบริษัทแข่งกับ United Fruit Company ได้ และสุดท้ายเขาก็ขายกิจการให้ United Fruit ในปี 1930 แล้วขยับมานั่งนั่งเก้าอี้บริหารในบริษัท United Fruit และไต่เต้าขึ้นจนกลายเป็นประธานของบริษัท
ในวันที่อาร์เบนซ์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีนั้น แซมกำลังจะเกษียนตัวเองพอดี แต่เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในกัวเตมาลากำลังคุกคามบริษัท เขาก็ตัดสินใจพักแผนเกษียนไว้ก่อน แล้วรีบเดินทางไปที่กัวเตมาลา เพื่อพยายาม เจรจา กดดัน และหาทางหยุดยั้ง นโยบายของอาร์เบนซ์
1
เขาเจรจากับทั้ง นักการเมือง ผู้นำกองทัพ และผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น หวังจะสร้างพันธมิตร และพยายามจ่ายเงินคอรัปชั่นให้กับทั้งประธานาธิบดีและผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย แต่ก็ไม่สำเร็จ อาร์เบนซ์ปฏิเสธการคอรัปชั่นและยังคงเดินหน้าการปฏิรูปที่ดินอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเห็นว่าวิธีการคอรัปชั่นไม่ได้ผล แซมจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ แล้วเกิดทางกลับไปอเมริกา สิ่งที่เขาทำเมื่อกลับถึงอเมริกาคือ ใช้เครือข่ายผู้มีอิทธิพลในวอชิงตันที่เขารู้จักมากมาย ทั้งนักการเมือง นักข่าว และเจ้าหน้าที่ระดับสูง จากนั้นก็จ้างนักประชาสัมพันธ์และล็อบบี้ยิสต์เพื่อปล่อยข่าวลือว่าอาร์เบนซ์ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์
เขายังไปดึง CIA เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะแซมสนิทกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ
โดยเขาพยายามโน้มน้าวให้เห็นว่าถ้ากัวเตมาลา ไปอยู่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ จะเป็นภัยต่อประเทศในภูมิภาคทั้งหมด
การล็อบบี้เหล่านี้ได้ผลอย่างมาก เพราะสหรัฐอเมริกายุคนั้นอยู่ในยุคสมัยที่เรียกว่า Red Scare คือ กลัวและเกลียดคอมมิวนิสต์มาก ทั้ง CIA และรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีไอเซนฮาวเวอร์ (Dwight D. Eisenhower) จึงตัดสินใจอนุมัติแผนปฏิบัติการลับของ CIA ที่มีชื่อรหัสว่า Operation PBSuccess
เป้าหมายหลักคือ โค่นล้มรัฐบาลอาร์เบนซ์ เพื่อสกัดการแพร่ขยายของ “ภัยคอมมิวนิสต์” ในอเมริกากลาง
แผนการรัฐประหารถูกวางไว้อย่างซับซ้อน โดยอเมริกาจะไม่ส่งกองทัพเข้าไปตรงๆ เพราะจะถูกต่อต้านจากประชาคมโลกได้ แต่ใช้ยุทธวิธี “สงครามจิตวิทยา” และ “กองกำลังตัวแทน” โดย CIA เลือก คาร์ลอส อาร์มาส (Carlos Castillo Armas) อดีตนายพลที่เคยพยายามโค่นล้มรัฐบาลมาก่อนเป็นหุ่นเชิด จากนั้นก็ช่วยฝึกทหารจำนวนพันกว่านายให้เป็นกองทัพเล็กๆ ในประเทศฮอนดูรัส
แต่ทหารแค่พันกว่าคนยังไงก็ไม่มีทางโค่นรัฐบาลได้ ทาง CIA จึงจัดตั้งสถานีวิทยุลับชื่อ Voice of Liberation กระจายข่าวปลอมว่ามีกองทัพขนาดใหญ่กำลังบุกเข้าประเทศ ทำให้เกิดความสับสนและหวาดกลัวในหมู่ประชาชนและทหาร และยังมีการใช้เครื่องบินเล็กโปรยใบปลิว มีการปาระเบิดเล็ก ๆ ในเมืองหลวง มีการติดตั้งลำโพงตามถนนเพื่อเล่นเสียงระเบิด เสียงปืนกลและเสียงกรีดร้อง มีการปล่อยข่าวทางวิทยุว่าอาร์เบนซ์ถูกจับได้แล้วและกำลังจะถูกประหารชีวิต
1
ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อสร้างความกลัวและทำลายกำลังใจ จนประชาชนรู้สึกว่าอาร์เบนซ์เป็นที่พึ่งไม่ได้ และต่อต้านผู้นำของตัวเอง นายพลหลายคนถูกซื้อด้วยเงินเพื่อให้เลิกสนับสนุนอาร์เบนซ์
ปรากฎว่าสงครามข่าวปลอมและการโฆษณาชวนเชื่อนี้ ได้ผลเป็นอย่างมาก ทหารในกัวเตมาลาหลายหน่วย สับสนและไม่มั่นใจ ว่ารัฐบาลจะรับมือกับสถานการณ์ที่มีอเมริกาอยู่เบื้องหลังได้หรือไม่ จนเกิดความแตกแยกภายในประเทศอย่างรุนแรง
อาร์เบนซ์พยายามจะคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ผ่านวิทยุ โดยเขาพยายามเปิดโปงว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากบริษัท United Fruit และปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ CIA ก็เตรียมรับมือไว้แล้วด้วยการส่งสัญญานรบกวนการสื่อสารวิทยุของเขา ทำให้ชาวกัวเตมาลาส่วนใหญ่ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด
สุดท้าย ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1954 ประธานาธิบดีอาร์เบนซ์ ก็ควบคุมความวุ่นวายไม่ได้จนต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้วลี้ภัยออกนอกประเทศไปกับครอบครัว ทิ้งความฝันเรื่องการปฏิรูปที่ดินไว้เบื้องหลัง
หลังการล่มสลายของรัฐบาลอาร์เบนซ์ กองกำลังของอาร์มาส ก็เข้ายึดอำนาจ และขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของกัวเตมาลา และทันทีที่รับตำแหน่งเขาก็ยกเลิกการปฏิรูปที่ดิน และคืนที่ดินจำนวนมหาศาลให้กับ United Fruit Company แทบจะในทันที
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ เพราะสิ่งที่รัฐประหารครั้งนั้นทิ้งไว้คือ ความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองที่ลากยาวนานกว่า 30 ปี มีผู้คนล้มตายจากความขัดแย้งนี้เป็นหลักแสนคน
1
สำหรับอาร์เบนซ์หลังจากลี้ภัยออกไป เขาก็ต้องระหกระเหินลี้ภัยไปหลายประเทศ ทั้งเม็กซิโก ชิลี อุรุกวัย สวิตเซอร์แลนด์ คิวบา สุดท้ายหลังจากเร่ร่อนไปพร้อมลูกและภรรยาอยู่หลายปี เขาก็เสียชีวิตในอ่างอาบน้ำอย่างน่าเศร้า โดยไม่มีใครรู้ว่าเป็นจากอุบัติเหตุ หรือฆ่าตัวตายหรือการฆาตกรรม
ฝั่งของ United Fruit Company ก็ได้รับผลประโยชน์จากการรัฐประหารไประยะหนึ่ง แต่การกดขี่และเอาเปรียบก็ทำให้โดนต่อต้านจากทั้งประชาชนและการเมืองอยู่ตลอด ต่อมาภายในอเมริกาก็มีการเปลี่ยนแปลงและเอาจริงกับการสืบสวนธุรกิจที่ผูกขาดมากขึ้น บวกกับคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นจน United Fruit Compay ต้องควบรวมกิจการอื่น แล้วต่อมาถูกซื้อและรีแบรนด์ในชื่อใหม่ว่า Chiquita Brands International ซึ่งยังเป็นผู้ส่งออกกล้วยรายใหญ่จนมาถึงทุกวันนี้
1
เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นและจบไปของประเทศเล็ก ๆ ในอเมริกากลาง แต่เป็น กรณีศึกษาที่สะท้อนให้เห็นถึงระบอบบทุนนิยมที่ไม่ถูกควบคุม จากบริษัทขายกล้วยจึงสามารถขยายอำนาจจนกำหนดชะตากรรมของประเทศและประชาชนได้ ทุกวันนี้กล้วยคงไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป แต่โลกเราก็ยังมีสินค้าและบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่สามารถคุกคามอธิปไตยของประเทศเล็กๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จึงเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์อย่าง Banana Republic ก็อาจจะเกิดขึ้นมาได้อีกครั้งในรูปแบบที่แตกต่างไป
โฆษณา