Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หลงไปในประวัติศาสตร์ by หมอเอ้ว ชัชพล
•
ติดตาม
30 ก.ย. เวลา 01:00 • ประวัติศาสตร์
ตำนานผีสิงแห่งลูดูง
วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1634 ณ. ลานประหารกลางจตุรัสเมืองลูดูง (Loudun)
บาทหลวงเออร์แบ็ง กร็องดิเอร์ (Urbain Grandier) ถูกลากตัวออกมายังลานประหารท่ามกลางคนนับหมื่นที่รอชม กลางลานมีการตั้งเสาสูงและกองฟืนเตรียมไว้ ซึ่งเป็นวิธีลงโทษมาตรฐานของผู้ต้องหาคดีแม่มดหรือมนต์ดำในยุคนั้น
ก่อนหน้าที่จะถูกลากมายังลานประหารนี้ บาทหลวงกร็องดิเอร์ ถูกไต่สวนด้วยการทรมานมาจนบอบช้ำแล้ว เขาถูกบีบขาด้วยเครื่องทรมานที่เรียกว่า Spanish Boot จนกระดูกหน้าแข้งและข้อเท้าแตก เขาได้รับการสัญญาว่า ก่อนที่จะจุดไฟเผาเขาจะได้รับการเมตตาด้วยการถูกรัดคอให้ตายก่อน แต่เมื่อถึงเวลาจริงไฟถูกจุดขึ้นก่อนที่เขาจะโดนแขวนคอ ทำให้เขาถูกเผาตายทั้งเป็น
การประหารครั้งนี้คือ หนึ่งในคดีประหารด้วยข้อหาแม่มดมนต์ดำ ที่มีชื่อเสียงที่สุดคดีหนึ่งของฝรั่งเศส แต่นักประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบันเชื่อว่า เบื้องหลังของคดีนี้ ที่จริงแล้วอาจเป็นเพียงแค่เกมแห่งอำนาจและการแก้แค้นส่วนตัว ที่ใช้ความเชื่อทางภูมิผีปีศาจ เป็นเพียงฉากบังหน้า
พื้นหลังของเหตุการณ์
คอนแวนต์อูร์ซูลีนส์ (Ursulines convent) เป็นสำนักชีเล็กๆ ที่ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปีคศ. 1626
ในช่วงเหตุการณ์ที่เราคุยถึงกันอยู่นั้น คอนแวนต์แห่งนี้มีสตรีอาศัยอยู่รวมกันทั้งหมด 27 คน เป็นแม่ชีจำนวน 17 รูป และเป็นฆราวาสอีก 10 คน อายุเฉลี่ยประมาณ 25 ปี คือเรียกว่ายังอยู่ในวัยสาว
ถ้าใครคิดว่าหญิงสาวและแม่ชีเหล่านี้เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนาจึงมาอาศัยอยู่ในคอนแวนต์ จะบอกว่าคิดผิดนะครับ เพราะทั้งหมดเข้ามาอยู่ที่คอนแวนต์โดยไม่ได้สมัครใจ แต่เพราะไม่มีทางเลือกอื่นในชีวิต
สังคมฝรั่งเศสสมัยนั้น โดยเฉพาะในสังคมชั้นสูง การที่ผู้หญิงจะแต่งงานได้ ครอบครัวจะต้องมีค่าสินสอดไปให้กับทางฝ่ายครอบครัวผู้ชาย ดังนั้นครอบครัวไหนที่มีลูกสาวมาก ก็จะต้องเสียเงินแต่งลูกสาวมาก ครั้งจะไม่แต่ง การมีลูกเป็นสาวโสดอยู่บ้านก็ยิ่งน่าอายเข้าไปอีก
ถ้าครอบครัวไม่ร่ำรวยพอจะแต่งลูกสาวทุกคน ก็จะพยายามรวมเงินให้มากที่สุด แล้วแต่งลูกสาวคนโตเข้าตระกูลที่ดีสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนลูกสาวคนอื่นๆ ที่ไม่ได้แต่งงานก็จะถูกส่งไปอยู่ที่คอนแวนต์ ซึ่งถือว่ามีเกียรติมากกว่าการปล่อยลูกเป็นสาวโสดอยู่ที่บ้าน ่
บรรยากาศของคอนแวนต์ในช่วงเวลานั้นจึงเศร้าสร้อยมาก คือเหมือนเป็นที่หญิงสาวซึ่งหาคู่ไม่ได้ ถูกส่งไปกักขังไว้รวมกัน อาคารของคอนแวนต์ก็ยังชวนหดหู่เข้าไปอีก เพราะแม่ชีในคอนแวนต์จะออกไปเดินเล่นภายนอก์ตามใจชอบก็ไม่ได้ จะติดต่อกับคนภายนอกก็มีข้อห้ามมากมาย คอนแวนต์จึงสร้างให้มีกำแพงหินสูงชัน มีหน้าต่างค่อนข้างน้อย แสงแดดส่องถึงจึงมีไม่มาก
1
การติดต่อกับโลกภายนอกส่วนใหญ่ทำได้เพียงมองผ่านหน้าต่างที่มีกรงเหล็กกั้น หรือในโอกาสพิเศษเท่านั้น
วิถีชีวิตแต่ละวันก็ค่อนข้างน่าเบื่อ ทำอะไรซ้ำๆ เดิม แต่ละวันจะมีตารางปฏิบัติที่เคร่งครัดจนแทบไม่เหลือเวลาว่างให้ทำอะไรตอนเช้าต้องตื่นแต้เช้ามาสวดมนต์ จากนั้นก็มีพิธีกรรมทางศาสตร์ มีการอดอาหารเป็นระยะ ซึ่งสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ สำหรับหญิงสาววัย 25 ปี ชีวิตแบบนี้จึงเป็นชีวิตที่น่าเศร้าและกดดันมาก
เท่านั้นไม่พอ ช่วงเวลานั้นยุโรปยังมีโรคระบาดอยู่เป็นระยะ แล้วก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่เราจะคุยกัน โรคก็เพิ่งจะระบาดผ่านไป ยุคสมัยที่ยังเชื่อว่าโรคระบาดเป็นผลจากปีศาจร้าย หรือการลงโทษจะพระเจ้า บรรยากาศจึงเต็ไปด้วยความหวาดกลัว ช่วงที่มีโรคระบาด เมืองทั้งเมืองจะเหมือนถูกปิดตาย ประตูเมืองปิดแน่น การค้าขายหยุดชะงัก พิธีกรรมทางศาสนาก็ถูกยกเลิกไป คนไม่เข้ามาในคอนแวนต์ ทำให้บรรยากาศในคอนแวนต์ที่เหงียบเหงาอยู่อยู่แล้วยิ่งแย่ลงไปอีก
ทั้งหมดที่เล่ามานี้คือ อยากให้เห็นว่า สภาพจิตใจของเหล่าแม่ชีและหญิงสาวในคอนแวนต์ย่ำแย่ขนาดไหน ความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง การต้องตัดขาดจากผู้คน ทำให้จิตใจของหญิงสาวทั้งหลาย เปราะบางมาก
1
แล้ววันหนึ่งจิตใจที่เปราะบางก็ถึงขีดสุดของมัน
ปีศาจเข้าสิง
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อแม่ชีที่เป็นอธิการของคอนแวนต์ชื่อ ฌ็องน์ เดส์ อองฌ์ (Jeanne des Anges) ฝันเห็นเงาของปีศาจมาหลอกล่อในตอนกลางคืน
จากนั้นแม่ชีรูปอื่นๆ ก็เริ่มแสดงอาการประหลาดออกมาบ้าง เช่น บางคนร่างกายบิดงอผิดรูปแบบที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เอวของเธอหักงอไปด้านหลังจนศรีษะของเธอลงไปแตะส้นเท้า บางครั้งกรีดร้องด้วยเสียงแหลมสูง บางครั้งก็พูดด้วยคำภาษาต่างประเทศที่เธอไม่เคยเรียนมาก่อน
แม่ชีบางคนมีอาการชักเกร็ง บางคนคลานไปตามพื้นและ ปีนป่ายเหมือนสัตว์ป่า บางคนส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงจนไม่เหมือนเสียงคน บางครั้งเสียงกลับเป็นเสียงทุ้มต่ำจนเหมือนเป็นเสียงคนอื่น แม่ชีบางคนที่เดิมเป็นคนเรียบร้อยและเคร่งครัดก็เริ่มสบถคำหยาบคาย พูดเรื่องลามกอนาจารออกมาจนผู้คนรอบข้างตกตะลึง แม่ชีบางคนกลัวไม้กางเขน หรือกรีดร้องเมื่อน้ำมนต์หยดใส่ผิวหนัง
เมื่อเรื่องราวที่เหมือนโดนปีศาจเข้าสิงเหล่านี้แพร่ออกไป บาทหลวงจากที่อื่นๆ จึงเดินทางมาเพื่อช่วยกันขับไล่ปีศาจ
ในกระบวนการขับไล่ปีศาจจะมีการพยายามสื่อสารกับทั้งแม่ชีที่ถูกปีศาจเข้าสิงและสื่อสารกับปีศาจโดยตรง โดยบังคับให้บอกว่าปีศาจตนนั้นชื่ออะไร และใครเป็นคนสั่งให้มา เพราะตามความเชื่อของยุคนั้น การรู้ชื่อของปีศาจ เท่ากับ การมีอำนาจเหนือมัน ชื่อปีศาจที่แม่ชีต่างก็ตะโกนออกมา บางชื่อก็เป็นที่รู้จักกันดี ชื่อของบางปีศาจก็ไม่เป็นที่รู้จัก เช่น Asmodeus, Leviathan, Behemoth
ทุกครั้งที่พูดชื่อของปีศาจออกมา ร่างของแม่ชีก็จะบิดเกร็ง เสียงที่เปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำผิดเพี้ยนพ่นคำด่าทอหยาบคายออกมา ผู้ชมที่ยืนดูอยู่ก็หวาดกลัว เพราะเชื่อกันว่า เป็นเสียงของปีศาจที่พูดผ่านร่างของแม่ชี
จากนั้น คำถามสำคัญก็ถูกโยนออกมานั่นคือ ใครส่งเจ้ามาที่นี่? ชื่อที่ถูกตอบกลัวมาคือ กร็องดิเอร์ (Grandier)
กร็องดิเอร์
อูร์บัง กร็องดิเอร์ (Urbain Grandier) เกิดมาในครอบครัวของชนชั้นกลางที่มีฐานะพอสมควร พ่อเป็นทั้งทนายและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น จึงผลักดันลูกชายให้ก้าวเข้าสู่เส้นทางนักบวช เส้นทางที่เต็มไปด้วยเกียรติและโอกาสก้าวหน้าในสังคมฝรั่งเศสยุคนั้น
กร็องดิเอร์ศึกษาในมหาวิทยาลัยบอร์โดซ์ (University of Bordeaux) สถาบันที่มีชื่อเสียงด้านมนุษยศาสตร์ เขาได้รับการฝึกทั้งด้านเทววิทยา วาทศิลป์ และกฎหมาย ความรู้รอบด้านบวกกับพรสวรรค์ในการพูด ทำให้เขาเป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียง แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา เพราะเขาถูกบรรยายไว้ว่าเป็นบาทหลวงที่หล่อและดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย
อีกเหตุผลที่เขามีชื่อเสียงมากคือ เขาเป็นนักเทศน์ที่ชอบวิจารณ์การเมือง หรืออำนาจรัฐ โดยเฉพาะที่มาเกี่ยวข้องกับสถาบันศาสนา ทำให้เขาเป็นบุคคลอันตรายในมุมของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของรัฐ แต่ศตรูที่ถือว่าอันตรายที่สุดของเขาคือ คาร์ดินัล ริเชอลิเยอ (Richelieu) ซึ่งขณะนั้นถือได้ว่าเป็นมือขวาคนสนิทของกษัตริย์หลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส
กร็องดิเอร์เขียนบทความวิจารณ์ทั้งที่ด่าตรงๆ หรือเสียดสี นโยบายต่างๆของ ของคาร์ดินัล ริเชอลิเยอ หลายครั้ง บางครั้งก็ใช้การเทศน์ในที่สาธารณะเป็นช่องทางในการโจมตีอย่างไม่เกรงกลัว เขากล่าวหาอย่างเปิดเผยว่า ริเชอลิเยอใช้อำนาจเกินขอบเขต และทำลายเสรีภาพของทั้งขุนนางและนักบวชที
แต่กร็องดิเอร์เองแม้ว่าจะวิจารณ์คนอื่น แต่เขาเองก็มีจุดอ่อนที่สำคัญคือแม้เขาจะเป็นบาทหลวง แต่เขากลับเจ้าชู้มาก และความเจ้าชู้เขาก็ยังเป็นที่รู้กันไปทั่วเมืองลูดูง ด้วยความหล่อพูดเก่งและดูมั่นใจหญิงสาวทั้งที่โสดและแต่งงานแล้วจึงหลงไหลเขามากมาย ซึ่งก็รวมไปถึงแม่ชีอธิการแห่งคอนแวนต์อูร์ซูลินส์ด้วย ถึงขนาดว่าเธอบันทึกในสมุดส่วนตัวว่า
“เมื่อฉันไม่ได้เห็นเขา ฉันก็รู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้ด้วยไฟรัก เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้าฉัน ฉันก็ไร้ซึ่งศรัทธาที่จะต่อสู้กับความคิดและความรู้สึกอันไม่บริสุทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นในใจ”
แม่ชีอธิการยังเคยขอให้บาทหลวงกร็องดิเอร์มาเป็นที่ปรึกษาใหกับคอนแวนต์แต่ถูกปฏิเสธไป
ข่าวลือเกี่ยวกับความเจ้าชู้ของบาทหลวงกร็องดิเอร์รุนแรงถึงขั้นมีการลือกันว่า เขามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับลูกสาวของขุนนางชั้นสูง บ้างก็ลือว่าเขามีความสัมพันธ์กับหญิงที่แต่งงานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ กร็องดิเอร์ จึงมีศตรูอยู่มากมาย ที่มองหาโอกาสที่จะกำจัดเขา
และแล้ว โอกาสนั้นก็มาถึงเมื่อข่าวลือเกี่ยวกับปีศาจที่มาเข้าสิงแม่ชีถูกร่ำลือไปทั่วเมือง และโด่งดังถึงขนาดรู้ไปถึงกรุงปารีส ซึ่งเป็นบ้านของคาร์ดินัลริเชอลิเยอ
การไต่สวนหาแหล่งที่มาของปีศาจ ปรากฎว่า ทุกอย่างถูกชี้ชัดไปที่ กร็องดิเอร์ ปีศาจที่สิงแม่ชีทั้งหลายต่างก็พูดว่าพวกมันถูกกร็องดิเอร์ส่งมา แม่ชีอธิการ ฌ็องน์ ยังยืนยันว่าเธอฝันเห็นบาทหลวงกร็องดิเอร์ในตอนกลางคืน และบาทหลวงยังยั่งยุให้เธอรู้สึกในกามารมณ์
แม้ว่ากร็องดิเอร์จะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่หลักฐานต่างๆ รวมถึงคำให้การต่างก็ชี้ชัดไปที่เขาอย่างปฏิเสธไม่ได้ และสุดท้ายก็นำไปสู่โทษประหารอย่างที่เราคุยกันไปในตอนต้น
บทสรุป
เหตุการณ์นี้สำหรับคนร่วมสมัยเป็นเหตุการณ์ที่ตรงไปตรงมา บาทหลวงเลวส่งปีศาจมาเข้าสิงแม่ชี และก็ถูกลงโทษไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป เรื่องราวนี้ก็ถูกนำมาเขียนถึงหรือเล่าใหม่ เช่น Alexandre Dumas ผู้เขียนเรื่องสามทหารเสือ ก็เคยนำเรื่องนี้ไปเล่าในศตวรรษที่ 19 ต่อมาในศตวรรษที่ 20 นักเขียนอังกฤษ Aldous Huxley ก็นำเรื่องนี้ไปเขียนเป็นหนังสือชื่อ The Devils of Loudun (1952) ซึ่งต่อมากลายเป็นบทละครและภาพยนตร์ ทำให้เรื่องนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
เมื่อประวัติศาสตร์ถูกเล่าใหม่ มุมมองก็ย่อมเปลี่ยนไป สิ่งที่เราเห็นชัดเจนในวันนี้คือ คดี Loudun ไม่ได้เป็นเรื่องปีศาจแต่เป็นการใช้ศาสนาและความเชื่อมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ก็เลยเกิดคำถามต่อว่า แล้วในยุคของเราเอง มีเหตุการณ์อะไรบ้างที่เป็นเหมือนการล่าปีศาจหรือล่าแม่มดในศตวรรษที่ 17 บ้าง มีศรัทธาหรือความเชื่ออะไรอีกบ้าง ที่ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจในการกำจัดศตรู และที่สำคัญคือ เราจะมองมันออกหรือไม่? หรือว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องรอให้คนรุ่นหลังเป็นผู้ย้อนกลับมาเขียนถึงและชี้ให้เห็นอีกครั้งว่า สิ่งที่เกิดในยุคสมัยเรา ก็เป็นเพียงอีกหนึ่งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เวียนซ้ำกลับมารอบแล้วรอบเล่า
1 บันทึก
12
2
1
12
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย