Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
aomMONEY
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 14:00 • ไลฟ์สไตล์
“ทำไมผมต้องไปในเมืองใหญ่และทำงานหนักๆ เพื่อหาเงิน
เพื่อใช้มันกับสิ่งที่ผมไม่ได้ต้องการ เมื่อผมมีทั้งหมดนี้อยู่แล้ว”
บทเรียนเปิดโลกการเงินจากไกด์ล่องแก่ง ของ Roger Hamilton ผู้เขียน 'Wink : มั่งคั่งมากกว่าที่ตาเห็น'
🌊 บ่อยครั้งที่บทเรียนที่ดีที่สุดอาจไม่ได้มาจากหนังสือหรือในห้องเรียน แต่มาจากเรื่องราวประสบการณ์ของคนที่เคยผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาก่อนแล้ว
โรเจอร์ แฮมิลตัน (Roger Hamilton) "ที่ปรึกษาด้านความมั่งคั่งชั้นนำแห่งเอเชีย" ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Genius Group บริษัทด้านการศึกษาสำหรับผู้ประกอบการระดับโลกจากสิงคโปร์ และผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง 'Wink : มั่งคั่งมากกว่าที่ตาเห็น' เล่าในโพสต์ของเขาบน LinkedIn ว่าสำหรับเขาแล้วบทเรียนเรื่องความมั่งคั่งและการเป็นผู้ประกอบการเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ระหว่างที่ล่องแก่งในแม่น้ำที่ประเทศศรีลังกา
แฮมิลตันมีโอกาสไปเที่ยวที่นั้นเมื่อหลายปีก่อน ระหว่างที่เรือของเขาลอยเอื่อยๆ อยู่ในแม่น้ำที่บรรยากาศเงียบสงบและเต็มไปด้วยป่าไม้รอบๆ ที่สวยงาม ไกด์ของเขาก็ชี้นิ้วไปที่ไร่ชาที่เรียงกันเป็นแถบ พร้อมบ้านพักสวยๆ วิวหลักล้าน และเมืองเล็กๆ ที่คึกครื้นติดกับแม่น้ำ
“พ่อของผม ทั้งหมดนี้เป็นของเขา” ไกด์คนนั้นบอก
ด้วยความสงสัย แฮมิลตันเลยถามว่า “ส่วนไหนเหรอ?”
ไกด์ตอบกลับมาว่า “ทั้งหมดเลย หมดนี้แหละ”
ความสงสัยยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก แฮมิลตันจินตนาการไปในหัวเลยว่าพ่อของไกด์คนนี้คงมีเงินพอสมควรเลย เป็นเจ้าของที่ดินแถวนี้รึเปล่า เลยอยากรู้ว่าที่มาที่ไปเป็นยังไงถึงเป็นเจ้าของตรงนี้ได้ และเกิดอะไรขึ้นกัน?
หลังจากนั้นไกด์ก็เริ่มเล่าจากจุดเริ่มต้น “พ่อของผมเดินทางออกมาจากอินเดียในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 แล้วมาสำรวจหาโอกาสที่ศรีลังกา เขาพบหุบเขาแห่งนี้และชอบมันมากจนตัดสินใจอยู่ที่นี่ เขาไม่มีเงินเลย จึงถางที่ดินและเรียนรู้วิธีปลูกชา"
แฮมิลตันพยักหน้ารับ
🫖 "ชาของเขาเป็นที่ชื่นชอบของคนมากมาย จึงผลิตเพิ่มขึ้น จากนั้นเริ่มจ้างคนอื่นที่มีความสามารถมากกว่าเขามาปลูกชา เพราะตอนนี้เขามีเงินจากการขายชาที่จะจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาได้แล้ว"
“แต่คนที่มาทำงานไม่อยากเดินทาง เขาก็เลยสร้างบ้านขึ้นมาเพิ่มสำหรับให้คนมาเช่า และปล่อยเช่นให้คนที่มาทำงานที่นั่น”
🛖 ถึงตรงนี้แฮมิลตันสงสัย “เดี๋ยวนะ พ่อของคุณจ่ายเงินเดือนให้พวกเขา แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็จ่ายเงินคืนมาในรูปแบบของค่าเช่าเหรอ?”
ไกด์พยักหน้า “ใช่ครับ”
🥘 ทีนี้เรื่องเริ่มสนุก แฮมิลตันเลยถามต่อว่า “แล้วพ่อของคุณก็เอาเงินค่าเช่านั้นไปสร้างบ้านเพิ่มใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ครับ พวกเขามีบ้านแล้ว สิ่งที่คนต้องการคืออาหารอร่อยๆ พ่อเลยเอาเงินค่าเช่าไปสร้างร้านอาหาร” ไกด์ตอบ
“งั้นก็แสดงว่า พ่อของคุณจ่ายเงินเดือนให้พวกเขา ซึ่งจ่ายกลับมาเป็นค่าเช่าบ้าน แล้วก็เอาเงินนั้นไปลงทุนใหม่ในร้านอาหาร เพื่อให้คนอยากทำงานหนักขึ้น เพื่อได้เงินเยอะขึ้น เพื่อจะไปซื้ออาหารอร่อยๆ แบบนี้เหรอ?” แฮมิลตันถามเพื่อความชัวร์ว่าเข้าใจถูกต้อง
“ใช่เลยครับ ต่อจากนั้นก็มีร้านค้ามาเปิด ถนนก็เริ่มสร้าง สถานีรถไฟก็ถูกสร้าง สะพานตรงนู้นก็ด้วย ที่จริงแล้วตลอด 20 ปีต่อมา คนกว่า 2,000 คนมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองอันสวยงามแห่งนี้ และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำงานที่ไร่ชาด้วย เพราะมีงานเยอะแยะมากมายที่สามารถทำได้”
⚽ มันเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งมากๆ ระหว่างทางล่องเรือแฮมิลตันเริ่มตระหนักถึงด้านสำคัญของเรื่องเงินว่ามันมีความคล้ายกับกีฬาฟุตบอลอยู่ไม่น้อย “หากคุณเล่นฟุตบอลแล้วพยายามวิ่งตามตลอด คุณจะไม่มีวันไปถึงเลยเพราะมันไปเร็วมากและจะทำให้ผู้เล่นคนอื่นๆ รำคาญด้วย” เขาอธิบายในโพสต์ของเขา
“แต่ถ้าคุณโฟกัสที่เกมและส่งต่อบอลเมื่อบอลมาถึง บอลลูกเดิมก็จะกลับมาหาเราอีกครั้งและอีกครั้ง เหมือนกับคุณพ่อของไกด์คนนี้ที่ไม่ได้โฟกัสเรื่องการวิ่งไล่ตามเงิน แต่ปล่อยให้เงินไหลอย่างเป็นธรรมชาติ”
🔄 “เหมือนอย่างนักฟุตบอลที่เล่นแล้วมีบอลถูกส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่า เงินผ่านเข้ามาหาเขาวันแล้ววันเล่า ผ่านไร่ชาของเขา บ้านเช่าของเขา ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ”
สิ่งที่สำคัญคือทุกครั้งที่เงินถูกส่งกลับมา เขาก็สร้างสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มเข้าไปอีก กลายเป็นวงจรเครื่องจักรสร้างรายได้และสังคมที่รุ่งเรือง
🌱 “ผู้ประกอบการจริงๆ ไม่วิ่งตามเงิน แต่พวกเขาเติมคุณค่าเข้าไป เงินเป็นเพียงผลที่ตามมา เพื่อจะใช้มันเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ๆ เท่านั้น” แฮมิลตันสรุป
เรื่องยังไม่จบแค่นั้น แฮมิลตันถามต่อว่า “แล้วตอนนี้พ่อไปไหนแล้วละ?”
“เขาจากไปแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อน” ไกด์ตอบ
“โอ้ว…ขอโทษด้วยนะ” แฮมิลตันแสดงความเสียใจพร้อมกับหยุดพักแป๊บหนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “งั้นคุณก็ได้รับมรดกทุกอย่างจากเขาเลยสิ?”
ไกด์หัวเราะเสียงดังลั่น “โอ้ววว ไม่หรอก ช่วงสงครามกลางเมืองรัฐบาลเข้ามาแล้วยึดที่ดินของพ่อและธุรกิจทุกอย่างไปเลย ยึดไปแล้วก็เอาไปขายให้คนอื่น เหลือแค่บ้านเล็กๆ ให้พ่อที่ติดกับแม่น้ำเท่านั้น พ่อก็แก่มากตอนนั้น กลับไปทำงานก็ไม่ได้แล้ว ตอนตายเงินก็ไม่เหลือสักบาทเลย”
“นั่นเป็นอะไรที่เลวร้ายสุดๆ ไปเลย!” แฮมิลตันตอบด้วยความตกใจ
ไกด์ยิ้มและมองไปที่สายน้ำข้างหน้าแล้วบอกว่า “ไม่นะ เขาตายอย่างมีความสุข ได้อยู่ที่ที่อยากอยู่ กับคนที่เขารัก ทุกที่ที่ในบริเวณนี้ ก็เพื่อนๆ กันทั้งนั้นเลย พวกเขาก็ซื้อหาอาหารให้ตลอด ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย”
“พ่อได้สอนผมว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงคืออะไร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงทำงานเป็นไกด์บนเรือล่องแก่งแห่งนี้” เขาชี้ไปที่ภูเขาเขียวขจีที่สูงใหญ่และแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆข้างหน้า “ทำไมผมต้องไปในเมืองใหญ่และทำงานหนักๆ เพื่อหาเงิน เพื่อใช้มันกับสิ่งที่ผมไม่ได้ต้องการ เมื่อผมมีทั้งหมดนี้อยู่แล้ว”
💡 หลังจากทริปนั้นแฮมิลตันมองประเด็นเรื่องความมั่งคั่งต่างออกไป เขาบอกว่า “ความมั่งคั่งไม่ใช่การมีเงินมากแค่ไหน ความมั่งคั่งคือสิ่งที่คุณเหลืออยู่ถ้าคุณสูญเสียเงินทั้งหมดไป"
เรื่องราวของไกด์ล่องเรือคนนี้ (จริงเท็จมากน้อยแค่ไหนก็ตาม) ถือเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ การมองเห็นโอกาส สร้างธุรกิจให้เกิดขึ้น ใช้เงินเพื่อสร้างคุณค่า ต่อยอดออกไปเรื่อยๆ
💎 คำนิยามของคำว่ามั่งคั่งของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับไกด์เรือ หรือของแฮมิลตันก็ได้ เพราะเรามีเป้าหมายชีวิต ภาระความรับผิดชอบ ความต้องการ แนวคิดการใช้ชีวิตก็ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเป็นไกด์เรือเพื่อที่จะพบเจอความมั่งคั่งของชีวิต (แต่ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการก็ไม่ได้ผิดเช่นกัน)
🎯 สำหรับแฮมิลตันแล้ว ความมั่งคั่งที่แท้จริงอาจจะไม่ได้วัดจากจำนวนเงินในบัญชี แต่วัดจากสิ่งที่มีค่าที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น:
* ความรู้และทักษะที่สั่งสมมา
* เครือข่ายความสัมพันธ์
* ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ
* ประสบการณ์และวิธีคิด
* ความสามารถในการสร้างโอกาสใหม่
สิ่งเหล่านี้คือทรัพย์สินที่แท้จริงที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้ และเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาใหม่ได้แม้จะสูญเสียเงินไปก็ตาม
🔍 รามิตร เศรษฐี (Ramit Sethi) เศรษฐีร้อยล้านเจ้าของหนังสือขายดี “ผมจะสอนให้คุณรวย” เขียนอธิบายไว้บนเว็บไซต์ของเขาว่า
“แล้วชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวยจริงๆ คืออะไรกันแน่? มันคือการใส่นาฬิกา Rolex และมีตู้โชว์เครื่องกระเบื้องหรือ? ไม่ใช่เลย!
ชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวยคือชีวิตในอุดมคติของคุณ—ชีวิตที่คุณมองดูความสัมพันธ์ส่วนตัว การเงิน และวันธรรมดาๆ ของคุณแล้วพูดว่า "ว้าว!"
นั่นอาจจะเป็น:
- การไปรับลูกๆ จากโรงเรียนทุกวัน
- การซื้อเสื้อแคชเมียร์ราคา 1,000 ดอลลาร์
- การซื้อทุกอย่างที่คุณต้องการจาก Whole Foods โดยไม่ต้องกังวลเรื่องราคา
- การพาครอบครัวไปเที่ยวดิสนีย์แบบสุดพิเศษที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม
🎯 ชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวยของคุณเป็นของคุณ ไม่ใช่ของพ่อแม่คุณ ไม่ใช่ของเพื่อนคุณ แม้แต่ของผมก็ไม่ใช่ มันเป็นของคุณ
มันคือชีวิตที่เต็มเปี่ยม ชีวิตที่ใช้อย่างตั้งใจ เชิงรุก และอุดมสมบูรณ์”
================
TLDR: 3 ประเด็นสำคัญจากบทความ
💫 ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้วัดจากจำนวนเงิน แต่วัดจากสิ่งที่ยังคงอยู่แม้เมื่อสูญเสียเงินไป เช่น ความรู้ ทักษะ เครือข่ายความสัมพันธ์ และความสามารถในการสร้างโอกาส
🌱 การสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนเกิดจากการเติมคุณค่าให้กับผู้อื่นและสังคม ไม่ใช่การไล่ตามเงิน - เหมือนพ่อของไกด์ที่สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เกื้อกูลกัน (ไร่ชา -> บ้านเช่า -> ร้านอาหาร -> ชุมชน)
🎯 นิยามของชีวิตที่มั่งคั่งเป็นเรื่องส่วนบุคคล ขึ้นอยู่กับค่านิยมและเป้าหมายชีวิตของแต่ละคน - ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่ควรเป็นชีวิตที่ทำให้เรารู้สึก "ว้าว!" กับสิ่งที่มีและเป็นอยู่
================
ที่มา:
https://www.facebook.com/share/p/1CZvRk5kvs/
#aomMONEY #การเงิน #บทเรียน #การเงินส่วนบุคคล
2 บันทึก
8
1
2
8
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย