6 ชั่วโมงที่แล้ว
การปฏิบัติที่ปราศจากปัญญา ย่อมเสริม "อัตตา":
เมื่อบุคคลยึดมั่นในข้อวัตรปฏิบัติของตนว่าเคร่งครัด ว่าดีงามกว่าผู้อื่น ความยึดมั่นนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็น "มานะ" คือความถือตัวถือตน และ "ทิฐิ" คือความยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเอง เขาไม่ได้ใช้การปฏิบัติเพื่อละตัวตน แต่กลับใช้การปฏิบัติเพื่อสร้าง "ตัวตน" ที่ใหญ่ขึ้น สูงส่งขึ้น และแปลกแยกออกจากผู้อื่น
การเพ่งโทษผู้อื่น คืออาการของจิตที่ยังป่วยไข้:
จิตที่ยังคอยจับผิดผู้อื่นอยู่เสมอ คือจิตที่ยังไม่สงบระงับ คือจิตที่ยังเต็มไปด้วย "อุทธัจจกุกกุจจะ" คือความฟุ้งซ่านรำคาญใจ เปรียบเหมือนคนป่วยที่เห็นใครๆ ก็ไม่สบายตาไปหมด แต่แท้จริงแล้ว...โรคภัยนั้นอยู่ในตัวของเขาเอง ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงจะหันกลับมามองตนเองว่า "เรายังมีความโกรธอยู่หรือไม่? เรายังมีความหลงอยู่หรือไม่? เรายังมีความอิจฉาริษยาอยู่หรือไม่?"
เราควรบอกเค้าอย่างไร?
บอกกล่าวผู้ที่กำลังหลงอยู่ในทิฐิของตนนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากกล่าวโดยตรงอาจเป็นการเติมเชื้อไฟแห่งมานะให้ลุกโชนขึ้นอีก ควรใช้ "กัลยาณมิตรธรรม" เข้าช่วย
1.ชวนสนทนาธรรมในเรื่อง "ความอ่อนน้อมถ่อมตน (นิวาโต)" และ "ความเป็นผู้ว่าง่าย (โสวจัสสตา)" อันเป็นมงคลแห่งชีวิต
2.ยกชาดกหรือพุทธประวัติของพระบรมศาสดา ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพสัตว์ แม้แต่ผู้ที่คิดร้ายต่อพระองค์
3.ที่สำคัญที่สุด คือ การปฏิบัติตนของเราให้เป็นแบบอย่าง ให้เขาได้เห็นว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงนั้น มีความสงบเย็น มีเมตตา และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
โฆษณา