Dennis Ritchie จึงต่อยอดภาษา B เป็นภาษา C และในปี ค.ศ. 1973 พวกเขาได้เขียนยูนิกซ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดด้วยภาษา C นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์ เพราะทำให้ยูนิกซ์สามารถย้ายไปทำงานบนเครื่องรุ่นต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นครั้งแรกที่ระบบปฏิบัติการใหญ่ถูกเขียนด้วยภาษาระดับสูง และจากนั้นยูนิกซ์ก็แพร่หลายไปยังเครื่องอื่น ๆ เช่น Interdata 7/32 และ VAX
ยุคของ BSD และการขยายตัวของยูนิกซ์
ช่วงปลายทศวรรษ 1970 ยูนิกซ์เริ่มเข้าสู่วงการการศึกษา เมื่อ Thompson ได้รับเชิญให้ไปสอนที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (UC Berkeley) ที่นั่นนักศึกษากลุ่มหนึ่งนำโดย Bill Joy ได้พัฒนาระบบต่อยอดจนเกิดเป็น Berkeley Software Distribution (BSD) ในปี ค.ศ. 1978
BSD เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ เช่น csh shell ที่รองรับ job control และ history รวมถึงตัวแก้ไขข้อความ vi ที่เรายังใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากโครงการ DARPA ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ทำให้ BSD และยูนิกซ์ในเวลาต่อมารองรับโปรโตคอล TCP/IP กลายเป็นพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตในยุคใหม่
UNIX System V และมาตรฐาน POSIX
ในเวลาเดียวกันกับที่ Berkeley เดินหน้าพัฒนา BSD ฝั่ง AT&T ก็พัฒนาเวอร์ชันเชิงพาณิชย์ของยูนิกซ์ขึ้นมา โดยตั้งกลุ่ม UNIX Support Group (USG) และเปิดตัว UNIX System III และต่อมาในปี ค.ศ. 1983 ก็เปิดตัว UNIX System V ซึ่งได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพและกลายเป็นอีกสายหนึ่งของยูนิกซ์ที่ได้รับความนิยม
อย่างไรก็ตาม การที่ยูนิกซ์แยกออกเป็นสองสายใหญ่คือ BSD และ System V ทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้ (compatibility) โปรแกรมที่พัฒนาสำหรับสายหนึ่งอาจไม่สามารถรันบนอีกสายได้โดยตรง เพื่อแก้ปัญหานี้ สถาบัน IEEE จึงได้กำหนดมาตรฐาน POSIX (Portable Operating System Interface for UNIX) ซึ่งกำหนดองค์ประกอบพื้นฐานที่ระบบยูนิกซ์ทุกตัวต้องมี เช่น ไลบรารีมาตรฐาน, shell, ยูทิลิตี้ และ system call ที่สำคัญ