4 ชั่วโมงที่แล้ว • ไลฟ์สไตล์

'รักษาเงินต้น' ไว้ให้นานที่สุด พร้อมสร้าง 'รายได้สม่ำเสมอ'

จัดการเงินเกษียณด้วย "กฎ 4%" เงินต้น 5 ล้าน ถอนใช้ได้ปีละ 2 แสน
หลายคนเคยนึกภาพชีวิตหลังเกษียณของตัวเอง บางคนฝันถึงการนั่งจิบกาแฟริมทะเล เที่ยวรอบโลก หรือใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ แต่ฝันเหล่านี้จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อมีแผนการเงินที่รัดกุม ซึ่งการวางแผนการเงินสำหรับวัยเกษียณไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่หลายคนคิด แท้จริงแล้ว คือ การสร้างเส้นทางสู่อิสรภาพในบั้นปลายชีวิต มาดูกันว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
➡️เริ่มต้นเร็ว ชนะแน่: พลังมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น
สมมติว่าคุณอายุ 30 ปี และตั้งเป้าเกษียณตอนอายุ 60 ปี หมายความว่าคุณมีเวลา 30 ปีในการเก็บเงินเพื่อเตรียมใช้เมื่อเกษียณ หากต้องการใช้เงินเดือนละ 20,000 บาทหลังเกษียณ (สมมติว่ามีชีวิตถึงอายุ 80 ปี) จะต้องมีเงินเก็บประมาณ 4.9 ล้านบาท
เมื่อเห็นตัวเลขเงินที่ต้องเก็บอาจดูเยอะ แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะด้วยพลังของการลงทุนและดอกเบี้ยทบต้น สามารถเริ่มต้นด้วยการออมเพียงเดือนละ 5,000 บาท และเก็บออมเพิ่มขึ้นปีละ 5% หากลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี ก็จะมีเงินถึง 4.9 ล้านบาทเมื่ออายุ 60 ปี
➡️ปรับแผนตามวัย: กลยุทธ์การลงทุนที่เติบโตไปด้วยกัน
การลงทุนไม่ใช่เรื่องตายตัว แต่ควรปรับเปลี่ยนไปตามช่วงชีวิต หลักการนี้เรียกว่า การจัดสรรสินทรัพย์ตามอายุ (Age-Based Asset Allocation) ซึ่งแนะนำให้ปรับสัดส่วนการลงทุน ดังนี้
- วัย 30 เน้นการเติบโต ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นด้วยสัดส่วนสูง (ประมาณ 70 - 80% ของพอร์ตลงทุน)
- วัย 40 - 50 สมดุลระหว่างการเติบโตและความมั่นคง เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น (หุ้น 50%, ตราสารหนี้ 50%)
- วัยใกล้เกษียณ เน้นความมั่นคง เพิ่มสัดส่วนเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาล (หุ้น 30%, ตราสารหนี้และเงินฝาก 70%)
แนวคิดดังกล่าว สอดคล้องกับทฤษฎีกฎ 100 (The Rule of 100) ซึ่งแนะนำว่าเปอร์เซ็นต์ของพอร์ตลงทุนที่ควรอยู่ในหุ้น คือ 100 ลบด้วยอายุของตัวเอง
ตัวอย่าง
อายุ 35 ปี ตามกฎนี้ ควรลงทุนในหุ้น 65% (100 - 35) และ 35% ในตราสารหนี้
อายุ 55 ปี ควรลงทุนในหุ้น 45% (100 - 55) และ 55% ในตราสารหนี้
อย่างไรก็ตาม การจัดสรรสินทรัพย์ควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Tolerance) และเป้าหมายทางการเงิน (Financial Goals) ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนการลงทุนแตกต่างจากกฎทั่วไปได้ นอกจากนี้ ยังมีแนวคิด กองทุนตามอายุเป้าหมาย (Target-Date Fund) ที่ช่วยให้การปรับสัดส่วนการลงทุนเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยเลือกกองทุนที่มีปีเป้าหมายใกล้เคียงกับปีที่วางแผนจะเกษียณ
กองทุนประเภท Target-Date Fund เป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ โดยมีหลักการ คือ บริหารสินทรัพย์ลงทุนและผลตอบแทนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ลดลงตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นของผู้ลงทุนจนถึงวัยเกษียณ เพื่อให้มีเงินใช้หลังวัยเกษียณอย่างเพียงพอ โดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องจัดสรรเงินลงทุนด้วยตัวเอง
กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนประเภทนี้ คือ ผู้จัดการกองทุนจะกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (Asset Allocation) ที่กำหนด ประกอบไปด้วยสินทรัพย์ลงทุนหลากหลาย เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ หรือทองคำ เป็นต้น และปรับเปลี่ยนสัดส่วนของแต่ละสินทรัพย์ตามช่วงอายุที่เปลี่ยนไปให้กับผู้ลงทุน และให้เหมาะสมกับช่วงปีที่ผู้ลงทุนจะเกษียณ
สำหรับการเลือกแผนการลงทุนของ Target-Date Fund จะใช้การกำหนดช่วงปีเป้าหมายที่ผู้ลงทุนจะเกษียณอายุ โดยมีหลักการคำนวณ เช่น ปี 2567 ผู้ลงทุนมีอายุ 30 ปี ตั้งใจจะเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี ระยะเวลาในการลงทุนจึงเหลืออีก 30 ปี เมื่อนำมาบวกกับปีปัจจุบัน จึงทราบปีที่คาดว่าจะเกษียณ คือ ปี 2597 และนำปี 2597 ไปเลือกแผนการลงทุนที่ตรงกับตัวเลือกที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นำเสนอไว้เป็นแผนการลงทุนเพื่อเกษียณต่อไป
➡️เกษียณอย่างเหมาะสม: กลยุทธ์รักษาเงินต้น สร้างรายได้ต่อเนื่อง
หลังเกษียณ เป้าหมายหลัก คือ การรักษาเงินต้นไว้ให้นานที่สุด พร้อมสร้างรายได้สม่ำเสมอ หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยม คือ กฎ 4% (4% Rule) ซึ่งเสนอโดยนักวางแผนการเงิน William Bengen ในปี 1994 กฎนี้แนะนำให้ถอนเงินออกมาใช้ปีละ 4% ของเงินลงทุนทั้งหมด และปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปี ซึ่งจะช่วยให้มีเงินใช้ไปได้อย่างน้อย 30 ปี
ตัวอย่างการใช้กฎ 4% สมมติว่ามีเงินลงทุน 5 ล้านบาท เมื่อเริ่มเกษียณ
ปีที่ 1 สามารถถอนมาใช้ได้ 200,000 บาท (4% ของ 5 ล้านบาท)
ปีที่ 2 สมมติอัตราเงินเฟ้อ 2% สามารถถอนมาใช้ได้ 204,000 บาท (200,000 + 2%)
ปีที่ 3 หากเงินเฟ้อยังคงที่ 2% จะสามารถถอนได้ 208,080 บาท
อย่างไรก็ตาม กฎ 4% ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว ดังนั้น สามารถใช้อัตราการถอนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น กฎการถอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Withdrawal Rule) ซึ่งปรับอัตราการถอนตามผลตอบแทนการลงทุนและสภาวะตลาดในแต่ละปี นอกจากนี้ การสร้างแหล่งรายได้หลายทาง ก็เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงทางการเงิน หากแหล่งรายได้หนึ่งมีปัญหา ก็ยังมีแหล่งอื่น ๆ รองรับ ทำให้ชีวิตหลังเกษียณมีความมั่นคงมากขึ้น
➡️วางแผนภาษี: ประหยัดได้ตั้งแต่วันนี้
การลงทุนที่ช่วยประหยัดภาษีเป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยลดหย่อนภาษีในปัจจุบัน ยังเป็นการสร้างวินัยในการออมระยะยาว ผลตอบแทนจากการลงทุนสามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ ทำให้เงินงอกเงยได้เร็วขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ยังช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และมีความยืดหยุ่นให้เลือกตามเป้าหมายทางการเงิน ที่สำคัญเป็นการเตรียมความพร้อมทางการเงินสำหรับวัยเกษียณ ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว เช่น การลงทุนในกองทุนรวม SSF, RMF, Thai ESG หรือประกันชีวิตแบบบำนาญ
การวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณไม่ใช่ภารกิจที่เกินความสามารถ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความตั้งใจและความสม่ำเสมอ การเริ่มต้นโดยเร็วเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงอายุปัจจุบัน หากวางแผนอย่างรอบคอบและดำเนินการอย่างมีระบบ ย่อมสามารถสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต ก็นำมาซึ่งความมั่นคงและความสุขในบั้นปลายชีวิต การลงทุนเวลาและความพยายามในวันนี้จะส่งผลให้ได้เก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในวัยเกษียณอย่างแน่นอน
เขียนโดย: ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
#aomMONEY #SETinvestnow #เกษียณ #วางแผนเกษียณ
โฆษณา