วันนี้ เวลา 03:30 • ธุรกิจ

Crunchyroll จากเว็บเถื่อน สู่ธุรกิจอานิเมะ 30,000 ล้าน เครือ SONY

ถ้าพูดถึงการ์ตูนญี่ปุ่น หรือ “อานิเมะ” ที่สร้างกระแสแรงสุดในปีนี้ คงจะเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Demon Slayer ภาค Infinity Castle ที่กวาดรายได้ไปแล้วกว่า 9,300 ล้านบาททั่วโลก
โดยผู้อยู่เบื้องหลัง จัดจำหน่าย และทำการตลาดอานิเมะเรื่องนี้ ออกฉายไปยังโรงภาพยนตร์ทั่วโลก ก็คือ “Crunchyroll”
แพลตฟอร์มอาณาจักรอานิเมะ มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้เครือ Sony
แต่รู้หรือไม่ว่า ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นเพียงเว็บไซต์รวมแฟนซับ ที่ละเมิดลิขสิทธิ์มาก่อน..
แล้ว Crunchyroll พลิกผันมาสู่ความสำเร็จได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Crunchyroll เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงจากสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 หรือเมื่อ 19 ปีที่แล้ว โดยกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์
ในช่วงแรก ตัวเว็บไซต์เป็นแหล่งรวมแฟนซับ ที่ละเมิดลิขสิทธิ์มาก่อน
โดยมีการเปิดให้คนอัปโหลดอานิเมะและซีรีส์จากเอเชีย พร้อมคำบรรยายภาษาอังกฤษให้ดูฟรี เนื่องจากหาดูได้ยากในต่างประเทศ
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2008 เมื่อบริษัทได้รับเงินลงทุนจาก Venture Capital ทำให้ถอดคอนเทนต์ละเมิดลิขสิทธิ์ออกทั้งหมด เพราะจะมีปัญหาด้านกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ทีมผู้ก่อตั้งได้ศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งาน และพบว่าคอนเทนต์ที่มีศักยภาพน่าสนใจ คือ การ์ตูนญี่ปุ่น
Crunchyroll จึงเลือกรีแบรนด์ตัวเอง กลายเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิงอานิเมะถูกลิขสิทธิ์แบบเต็มตัว
จากนั้น พวกเขาได้เดินหน้าเจรจากับเจ้าของลิขสิทธิ์ในญี่ปุ่น เรื่องแรก ๆ คือ ดีลกับ TV Tokyo ในปี 2009 นำการ์ตูน Naruto มาฉายบนแพลตฟอร์ม และนับแต่นั้นก็สะสมคลังคอนเทนต์อานิเมะเพิ่มขึ้นเรื่อยมา
ทั้งนี้ Crunchyroll ใช้โมเดลธุรกิจแบบ Freemium นั่นคือ เปิดให้ดูฟรีบางตอนหรือมีโฆษณาคั่น
แต่ถ้าสมัครสมาชิก 900 บาทต่อปี ก็จะเข้าถึงทุกคอนเทนต์ได้ รวมถึงมีฟีเชอร์ เช่น คำบรรยายและพากย์ภาษาต่าง ๆ หรือรับชมตอนใหม่พร้อมกับญี่ปุ่นได้เลย
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Crunchyroll มีฐานแฟนคลับอานิเมะเข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก
ต่อมา ธุรกิจของ Crunchyroll ถูกซื้อกิจการไปอยู่กับ WarnerMedia บริษัทลูกของ AT&T โทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ
แต่ในปี 2020 บริษัท Sony Pictures Entertainment ได้เจรจาขอซื้อ Crunchyroll ไปด้วยเงินมูลค่ากว่า 37,000 ล้านบาท
โดยสาเหตุที่ AT&T ตัดสินใจขาย เพราะขณะนั้นเพิ่งเปิดตัวแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิง HBO Max จึงต้องการทุ่มทรัพยากรไปบุกตลาดภาพยนตร์แมสมากกว่า
แต่ Sony กลับมองต่างออกไปว่า แม้อานิเมะเป็นตลาด Niche แต่ก็มีฐานคนดูเหนียวแน่น และน่าจะสร้าง Ecosystem ขนาดใหญ่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมที Sony เองก็มีแพลตฟอร์มอานิเมะชื่อว่า Funimation ซึ่งได้นำมาควบรวมกับ Crunchyroll กลายเป็นอาณาจักรสตรีมมิงอานิเมะที่ใหญ่สุดในโลกทันที
ปัจจุบัน Crunchyroll มีคอนเทนต์อานิเมะมากกว่า 50,000 ตอน รวมเป็นเวลา 25,000 ชั่วโมง
โดยมีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 120 ล้านบัญชี และในนั้นเป็นบัญชีพรีเมียมถึง 17 ล้านบัญชี
อย่างไรก็ตาม Crunchyroll ไม่ได้หยุดอยู่แค่บริการสตรีมมิงเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ธุรกิจอื่นในจักรวาลอานิเมะอีกหลายด้าน เช่น
- เป็นผู้จัดจำหน่ายและทำการตลาดอานิเมะในโรงภาพยนตร์ เรื่องล่าสุด คือ Demon Slayer ภาค Infinity Castle ที่ออกฉายเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2025 และทำรายได้เกินกว่า 9,300 ล้านบาท
- จัดตั้งสตูดิโอชื่อว่า Hayate Inc. ร่วมกับ Aniplex บริษัทในเครือ Sony ด้วยกัน เพื่อผลิตอานิเมะลงบน Crunchyroll โดยเฉพาะ
- เตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชัน Crunchyroll Manga ภายในปี 2025 นี้ เพื่อเป็นบริการสำหรับคนที่ชอบอ่านมังงะ
- ร่วมกับ Spotify ให้บริการเพลย์ลิสต์เพลงอานิเมะบนแพลตฟอร์ม
- จัดงานอิเวนต์อานิเมะประจำปี รวมถึงเปิดร้านขายสินค้าและเกมต่าง ๆ เกี่ยวกับวงการอานิเมะ
ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ Crunchyroll เป็นแกนหลักของอุตสาหกรรมอานิเมะระดับโลก และก้าวขึ้นเป็นดาวเด่นในพอร์ตโฟลิโอของเครือ Sony
ปัจจุบัน มีการประเมินว่าธุรกิจ Crunchyroll สร้างรายได้อยู่ที่ราว 37,000 ล้านบาท
และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีกำไรจากการดำเนินงานคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของ Sony Pictures Entertainment เลยทีเดียว
ซึ่งในปี 2024 นั้น Sony Pictures Entertainment มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ประมาณ 3,700 ล้านบาท
หมายความว่า Crunchyroll เจ้าเดียว อาจสร้างกำไรได้ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาทในอนาคต
แต่แน่นอนว่า เส้นทางนี้ไม่ได้ง่ายตลอดไป เพราะคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดสตรีมมิงก็เล็งเห็นโอกาสในคอนเทนต์อานิเมะเช่นกัน
หนึ่งในนั้นคือ Netflix ที่ทุ่มงบมหาศาล เพื่อซื้ออานิเมะดัง ๆ มากมาย มาลงแพลตฟอร์ม
โดยมีประมาณการว่า Netflix ทำรายได้จากอานิเมะสูงถึง 65,000 ล้านบาท มากกว่า Crunchyroll ที่เป็นผู้เล่นเฉพาะทางเสียอีก
เนื่องจาก Netflix มีฐานสมาชิกขนาดใหญ่ จึงนำเสนอคอนเทนต์ให้ผู้ชมจำนวนมากได้ทันที
แต่ Crunchyroll ยังเชื่อมั่นว่า การที่ตนมีทั้งออริจินัลคอนเทนต์ และคลังอานิเมะครบทุกแนว จะเป็นจุดแข็งที่ทำให้รักษาตำแหน่งในกลุ่มผู้นำ และเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมได้
เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า
แม้จุดเริ่มต้นไม่ถูกต้อง แต่ถ้าปรับตัวมาเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องได้ทันเวลา ก็สามารถเปลี่ยน “ธุรกิจเถื่อน” ให้กลายเป็น “แพลตฟอร์มระดับโลก” ได้
ซึ่งเส้นทางของ Crunchyroll ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
ถ้าเราให้คุณค่ากับผลงานที่ถูกลิขสิทธิ์ ผู้บริโภคก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนเช่นกัน..
โฆษณา