Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
FA Talk
•
ติดตาม
2 ต.ค. เวลา 01:22 • ปรัชญา
Renaissance ของเงิน: จากธนาคารเมดิชี ถึง Fintech และ DeFi
เวลาพูดถึงคำว่า Renaissance หลายคนอาจคุ้นว่าเป็นยุคแห่งศิลปะอันยิ่งใหญ่ของยุโรป แต่ความจริงแล้วคำนี้มีความหมายครอบคลุมถึงการฟื้นคืนชีวิตทางปัญญา ศิลปะ และวิทยาการที่เกิดขึ้นหลังยุคกลาง (ราวศตวรรษที่ 14–17)
คำว่า Renaissance มาจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลตรงตัวว่า "การเกิดใหม่" ยุคสมัย Renaissance หรือที่เรียกว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เริ่มต้นที่อิตาลี โดยเฉพาะที่เมืองฟลอเรนซ์ เป็นช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนจากสังคมที่ศรัทธาและศาสนาผูกขาดทุกอย่างไปสู่สังคมที่มนุษย์เริ่มตั้งคำถาม หันมามองความสามารถของตัวเอง และใช้เหตุผลกับวิทยาศาสตร์เพื่ออธิบายโลก แทนที่จะเชื่อเพียงคำบอกเล่า มันคือยุคที่มนุษย์เริ่มเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เกิด Humanism หรือ แนวคิดมนุษยนิยม ที่ให้คุณค่าแก่ความคิดสร้างสรรค์และศักดิ์ศรีของคนแต่ละคน
ผลที่ตามมาคือ ยุโรปเปลี่ยนจาก “ยุคมืด” (Dark Ages) ยุคที่ศาสนจักรครอบงำ ความรู้ถูกจำกัดอยู่กับชนชั้นสูง สังคมขับเคลื่อนด้วยศรัทธามากกว่าเหตุผล มาสู่ “ยุคใหม่” ที่ใช้วิทยาศาสตร์ เหตุผล และความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวขับเคลื่อน และกลายเป็นรากฐานของโลกสมัยปัจจุบัน
ด้านศิลปะ : ถึงแม้งานศิลป์ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางศาสนา เช่น The Last Supper ของ เลโอนาร์โด ดา วินชี หรือเพดานโบสถ์ Sistine Chapel ของ ไมเคิลแองเจโล แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “วิธีการมองมนุษย์” ศิลปินเริ่มใช้มิติ สัดส่วน และอารมณ์ที่สมจริงขึ้น มองพระเจ้าและนักบุญผ่านสายตาที่มนุษย์เข้าถึงได้มากขึ้น ผลงานอย่าง David ของไมเคิลแองเจโล หรือ The School of Athens ของราฟาเอล จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ศิลปะไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของศรัทธาอีกต่อไป แต่ยังสะท้อนศักยภาพของมนุษย์ด้วย
ด้านวิทยาศาสตร์ : โคเปอร์นิคัส เสนอว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ (Heliocentric Theory), กาลิเลโอ ใช้กล้องโทรทรรศน์พิสูจน์และค้นพบดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัส
ด้านความรู้ : กูเตนเบิร์ก ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ ทำให้ คัมภีร์ไบเบิลฉบับพิมพ์ เล่มแรกเผยแพร่สู่คนทั่วไป ความรู้จึงไม่ถูกผูกขาดกับศาสนจักรอีกต่อไป
ด้านการเงิน : ธนาคารพาณิชย์สมัยใหม่โดย ตระกูลเมดิชี ในฟลอเรนซ์ การพัฒนาและใช้งานระบบบัญชีคู่ที่บันทึกทั้งเดบิตและเครดิตเหมือนที่เรายังใช้กันในปัจจุบัน ช่วยให้การเงินโปร่งใสตรวจสอบได้ และการสร้าง Letter of Credit ที่ทำให้พ่อค้าไม่ต้องหอบทองคำติดตัว ก็มอบทั้งความปลอดภัยและความคล่องตัว นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้การค้าเชื่อมต่อระหว่างทวีปเกิดขึ้นได้จริง
ดังนั้น Renaissance หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จึงไม่ใช่แค่ยุคที่ภาพวาดสวยขึ้น แต่คือยุคที่โลกเปลี่ยนวิธีคิดทั้งระบบ จากศรัทธาที่เคยผูกขาด ไปสู่เหตุผลที่เปิดกว้างและจากการควบคุมความรู้ไปสู่การเข้าถึงของผู้คนทั่วไป
ฟลอเรนซ์: จุดเริ่มต้นของธนาคารสมัยใหม่
ศตวรรษที่ 15 เมืองฟลอเรนซ์รุ่งเรืองและกลายเป็นเมืองสำคัญเพราะมีตระกูลเมดิชีที่สร้างธนาคารสมัยใหม่ขึ้นมา ระบบบัญชีคู่ที่พวกเขาคิดค้น ไม่ได้เป็นเพียงการทำให้ตัวเลขตรงกันในสมุดบัญชี แต่ทำให้การค้าเชื่อมต่อได้ทั้งยุโรป พ่อค้าสามารถเดินทางข้ามทวีปโดยไม่ต้องหอบทองคำ เพียงถือ Letter of Credit จากธนาคารเมดิชี ทุกธุรกรรมก็เสร็จสิ้นได้ปลอดภัย ถ้ามองจากวันนี้ มันแทบไม่ต่างจาก “Blockchain รุ่นแรก” ที่สร้างความเชื่อมั่นให้คนทำธุรกรรมโดยไม่ต้องพกเงินจริงติดตัว
และเหตุผลที่ธนาคารเมดิชีประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ก็เพราะลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือศาสนจักรโรมันคาทอลิก ซึ่งมีเครือข่ายศรัทธากระจายอยู่ทั่วทั้งยุโรป เมื่อศาสนจักรต้องการโอนเงินบริจาคหรือภาษีจากเมืองต่าง ๆ มายังโรม ธนาคารเมดิชีจึงกลายเป็น “ผู้ให้บริการทางการเงินสากล” แห่งแรก ๆ ที่เชื่อมเครือข่ายศรัทธาเข้ากับเครือข่ายการเงินจริง ๆ
ความสำเร็จทางการเงินนี้ยังเชื่อมโยงไปสู่อำนาจในมิติอื่น ๆ ด้วย เมดิชีส่งคนในตระกูลขึ้นเป็นผู้นำทางการเมืองของฟลอเรนซ์ สนับสนุนศิลปินจนกลายเป็นผู้กำหนดรสนิยมทางวัฒนธรรมของยุโรป และแม้แต่ในศาสนาเอง พวกเขายังมีสมาชิกในตระกูลที่ก้าวขึ้นเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาถึง 4 พระองค์
เงินที่สร้างวัฒนธรรม: Soft Power รุ่นแรก
ตระกูลเมดิชีไม่ได้ใช้เงินเพียงเพื่อสร้างความมั่งคั่งส่วนตัว แต่เลือกจะลงทุนในศิลปะและวิทยาการ สนับสนุนไมเคิลแองเจโล ดา วินชี ไปจนถึงกาลิเลโอ ฟลอเรนซ์จึงไม่ได้เป็นเพียงเมืองการค้า แต่กลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของโลก สิ่งนี้ทำให้เราเห็นว่าเงินที่ถูกใช้สร้างคุณค่า มักจะทรงพลังยิ่งกว่าการเก็บสะสมเพื่อตัวเอง
ถ้าเปรียบกับปัจจุบัน โมเดลนี้ไม่ต่างจากสิ่งที่เกาหลีใต้ทำกับ K-pop ที่กลายเป็น Soft Power ส่งออกเศรษฐกิจมหาศาล หรือฟุตบอลยุโรปที่หมุนเงินหลายแสนล้านต่อปี เงินกับวัฒนธรรมจึงแยกจากกันไม่ออก หรือการส่งออกวัฒนธรรมของอเมริกาผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดในช่วงก่อนหน้านี้
จากศรัทธา สู่ เหตุผล และ การเงินเชิงวิทยาศาสตร์
Renaissance ยังทำให้มนุษย์หันมาเชื่อใน “เหตุผลและการพิสูจน์” แทนที่จะเชื่อเพียงศรัทธาที่ทำให้ยุโรปถูกแช่แข็งมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี และนี่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์
ในโลกการเงิน วิธีคิดนี้ก็ถูกนำมาต่อยอดโดยตรง กลายเป็นเครื่องมือที่เราใช้กันจนถึงปัจจุบัน เช่น
Risk Model คือการคำนวณความเสี่ยง เช่น การประเมินว่า “ลงทุนหุ้นพลังงาน กับหุ้นเทคโนโลยี แบบไหนมีโอกาสขาดทุนมากกว่ากัน"
Quantitative Finance (Quant) คือการใช้คณิตศาสตร์เข้ามาช่วยออกแบบกลยุทธ์ เช่น สูตรคำนวณราคาหุ้นออปชัน ที่ยังใช้กันทุกวันนี้
Algorithmic Trading คือการซื้อขายอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์ แทนที่จะใช้สัญชาตญาณของมนุษย์ เช่น โปรแกรมที่ตั้งคำสั่ง “ถ้าราคาหุ้นตกเกิน 5% ให้ขายทันที”
พูดง่าย ๆ ก็คือ ทุกครั้งที่เราพยายาม “วัดความเสี่ยงด้วยตัวเลข” หรือ “ให้คอมพิวเตอร์ตัดสินใจแทนเรา” นั่นคือการสืบทอดแนวคิดแบบ Renaissance ที่ว่า "อย่าเชื่อสิ่งที่เห็น จนกว่าจะพิสูจน์ได้”
Globalization รุ่นแรก สู่ โลกการเงินไร้พรมแดน
เมื่อยุโรปเปิดเส้นทางเดินเรือและสร้างเครือข่ายธนาคาร พวกเขาก็จุดไฟให้กับ Globalization รุ่นแรก เศรษฐกิจเริ่มเชื่อมกันข้ามทวีป ปัจจุบันเราไม่ได้ใช้เรือสำเภาหรือ Letter of Credit แต่เราใช้ SWIFT, Visa หรือ Stablecoin ที่ย้ายเงินข้ามพรมแดนได้ในไม่กี่วินาที เครื่องมือเปลี่ยนไปแต่แก่นแท้ยังเหมือนเดิม เงินคือภาษาสากลที่เชื่อมโลกเข้าด้วยกัน
จาก แท่นพิมพ์ สู่ Blockchain
แท่นพิมพ์ของกูเตนเบิร์ก (Gutenberg) ทำให้ความรู้ไม่ถูกผูกขาดอีกต่อไป และ Blockchain ก็กำลังทำสิ่งเดียวกันกับเงินจากที่ระบบเคยอยู่ในมือของธนาคารและรัฐ กำลังเปลี่ยนเป็นระบบที่ใคร ๆ ก็สร้าง ออก และแลกเปลี่ยนได้เอง
ความเชื่อมั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ นี่คือการปฏิวัติแท่นพิมพ์ของการเงิน ที่เปลี่ยนบทบาทผู้เล่นทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง
Renaissance 2.0 อยู่ในมือเรา
เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นว่า Renaissance ครั้งแรกเกิดขึ้นเพราะทุน เครือข่าย และความคิดใหม่มารวมกัน จนตระกูลเมดิชีสร้างธนาคารที่กลายเป็นรากฐานของระบบการเงินสมัยใหม่ จากระบบบัญชีคู่และ Letter of Credit ที่ทำให้คนเดินทางข้ามทวีปโดยไม่ต้องหอบทองคำ กลายเป็นต้นแบบของ “ธนาคารพาณิชย์” ที่เรายังใช้กันทุกวันนี้
จากจุดเริ่มต้นนั้น การเงินโลกพัฒนามาเป็นระบบธนาคารสมัยใหม่ที่เราคุ้นเคย มีสาขา มีตู้ ATM มีแอปบนมือถือ และยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางธุรกรรมเกือบทุกอย่าง แต่วันนี้กำลังมีสิ่งใหม่ที่ก้าวข้ามกรอบธนาคารแบบเดิม นั่นคือ Fintech และ DeFi
Fintech คือการเอาเทคโนโลยีมาทำให้บริการการเงินสะดวกขึ้น เช่น แอปโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้เวลาไม่กี่วินาที การปล่อยกู้แบบออนไลน์ที่ไม่ต้องไปสาขา หรือการลงทุนผ่าน Robo-Advisor ที่วิเคราะห์แทนมนุษย์
DeFi (Decentralized Finance) ก้าวไปอีกขั้น คือการเงินไร้ตัวกลางที่ไม่ต้องพึ่งธนาคารเลย ใช้ Blockchain และ Smart Contract จัดการธุรกรรมโดยตรง ไม่ว่าจะกู้ยืม ลงทุน หรือแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล
ดังนั้น ถ้า Renaissance ครั้งแรกทำให้ธนาคารเมดิชีเกิดขึ้น และเปลี่ยนวิธีการทำธุรกรรมทั้งทวีป Renaissance รอบนี้ก็กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าเรา ผ่าน Fintech ที่อยู่ในมือถือ และ DeFi ที่อาจกลายเป็นรากฐานใหม่ของระบบการเงินในอนาคต มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่คือคำถามว่า เราจะเข้าใจและปรับตัวทันหรือไม่ เมื่อระบบการเงินโลกอาจกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่อีกครั้ง
1 บันทึก
1
9
1
1
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย