2 ต.ค. เวลา 03:29 • นิยาย เรื่องสั้น

ประวัติศาสตร์ Horizon Protocol:มนุษย์และเวลา

“เมื่อความฝันกลายเป็นสนามทดลองของเวลา และสิ่งมีชีวิตต่างดาวไม่ได้อยู่บนยานเหล็ก แต่ซ่อนอยู่ในจิตสำนึกของเรา”
ในปี 2145 โลกทั้งใบหันกลับมาทบทวนความลับที่ถูกซ่อนมานานกว่าศตวรรษ Horizon Protocol โครงการลับสุดขอบฟ้า ที่เริ่มขึ้นในยุคสงครามเย็น ถูกปลดลับและเผยแพร่ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก สิ่งที่เปิดเผยไม่ใช่ยานบินจากต่างดาวหรือสิ่งมีชีวิตประหลาด แต่เป็น การวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์กับ Oryph-3 สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในกาลเวลาเอง
เอกสารกว่า 18 เพตะไบต์ เผยให้เห็นว่าการติดต่อไม่ได้เกิดในโลกกายภาพ แต่ผ่าน สนามจิตและฝันซ้อนร่วมกัน ผู้เข้าร่วมโครงการได้เห็น Lattice of Echoes โครงสร้างเรืองแสงและเสียงที่สะท้อนความคิดทันที Oryph-3 ไม่สื่อสารด้วยภาษา แต่สื่อสารโดยตรงกับจิตสำนึกของมนุษย์
การทดลองสำรวจ สมการเวลาอสมมาตร Bio-Resonance และ Echo Chamber Interface ผลลัพธ์บางส่วนชี้ว่า เวลาไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็น สนามที่ปรับรูปตามความหนาแน่นของจิตสำนึก
ผู้เข้าร่วมบางรายสามารถรับรู้ความเป็นไปได้ในหลายเส้นเวลา และทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำ แต่หลายรายต้องเสียชีวิตจาก Cognitive Collapse จากการประมวลผลหลายชั้นเวลาเกินขีดความสามารถของสมอง
Horizon Protocol จึงไม่ใช่เพียงโครงการวิทยาศาสตร์ลับ แต่เป็น บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับขอบเขตของจิตสำนึกมนุษย์และความเป็นไปได้ของเวลา จุดเริ่มต้นที่มนุษย์ได้เรียนรู้ว่าเวลาและจิตสำนึกอาจเป็นสิ่งเดียวกัน และสิ่งมีชีวิตต่างดาวอาจปรากฏไม่ใช่ในรูปของร่างกาย แต่ใน เสียงสะท้อนของความฝัน
เรื่องราวของ Horizon Protocol คือ การสำรวจ ขอบเขตของความรู้ เวลา และความเป็นไปได้ ที่มนุษย์เพิ่งเริ่มเข้าใจ สมุดบันทึกแห่งอนาคตที่เผยให้เห็นว่า ความลับที่สุดของจักรวาลอาจอยู่ ในสนามจิตและความฝันของเราเอง
.
▪️บทนำ
ปี ค.ศ. 2145 โลกได้เผชิญเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนความทรงจำร่วมของมนุษยชาติ การปลดลับเอกสาร Horizon Protocol ปริมาณมหาศาลกว่า 18 เพตะไบต์ ที่ถูกเก็บรักษาอย่างเข้มงวดภายใน Black Vault – Θ ณ หอเก็บข้อมูลใต้ภูเขาในสวิตเซอร์แลนด์มานานกว่าศตวรรษ
สิ่งที่ถูกเปิดเผยไม่ใช่ภาพถ่ายของยานโลหะตกค้าง ไม่ใช่ร่างของสิ่งมีชีวิตจากดวงดาวที่ถูกกักเก็บในห้องทดลองลับ หากแต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่านั้น การวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่เรียกตนเองว่า Oryph-3 ผู้ซึ่งไม่อาศัยอยู่ในโลกวัตถุ หากแต่ “ดำรงอยู่ในกาลเวลา” เอง
เมื่อเนื้อหาถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ โลกทั้งใบต้องหยุดชะงักชั่วขณะเพื่อทำความเข้าใจว่า ความจริงที่เราตามหามาหลายชั่วอายุคนไม่ได้อยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวแปลกตา แต่กลับซ่อนอยู่ใน สนามเวลาและจิตสำนึก ของเราเอง
ผลกระทบของการเปิดเผยครั้งนี้ รุนแรงกว่าการค้นพบทวีปใหม่หรือการแตกตัวของอะตอม มันมิได้เพียงเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์มองจักรวาล แต่เปลี่ยน นิยามของการเป็นมนุษย์
•มนุษย์มิใช่ผู้สังเกตเวลาจากภายนอก แต่เป็นส่วนหนึ่งของเวลาที่ไหล
•ความฝันและจิตสำนึกมิใช่เพียงภาพลวง แต่คือ “ช่องทาง” ที่สิ่งมีชีวิตอื่นใช้สื่อสาร
•ประวัติศาสตร์มิใช่เส้นตรง หากแต่เป็นสนามที่มีผู้เล่นมากกว่าที่เราคิด
การปลดลับนี้ จึงมิได้เป็นเพียงการเปิดเผยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ หากแต่เป็นการ คืนความทรงจำให้แก่มนุษย์ชาติ ว่าเราไม่เคยอยู่ลำพังในจักรวาล และผู้ที่อยู่ร่วมกับเราอาจไม่ใช่ “ผู้อื่น” หากแต่คือกาลเวลาที่โอบล้อมเราเสมอมา
1. จุดกำเนิดในเงามืดสงครามเย็น
เอกสารที่ถูกปลดลับในปี 2145 เผยให้เห็นว่าต้นกำเนิดของ Horizon Protocol อยู่ในช่วงเวลาอ่อนไหวที่สุดของประวัติศาสตร์ ปลายสงครามเย็น ปี ค.ศ. 1974 เมื่อโลกยังถูกแบ่งออกเป็นสองค่ายและการแข่งขันด้านเทคโนโลยีเรดาร์กับอาวุธนิวเคลียร์กำลังถึงจุดสูงสุด
▪️การค้นพบสัญญาณแรก
บันทึกภายในของคณะทำงาน UN-SIGMA ระบุว่า ในคืนวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1974 สถานีตรวจจับสัญญาณเรดาร์ DEW Line North ใกล้ขั้วโลกเหนือ (เขตน่านฟ้าระหว่างแคนาดาและกรีนแลนด์) ได้รับ “การกะพริบของสัญญาณ” ที่ไม่เข้ากับแบบแผนใด ๆ ของธรรมชาติหรือมนุษย์:
•ความถี่ต่ำมาก 0.73–0.81 เฮิร์ตซ์ สลับจังหวะแบบสมมาตร
•ความยาวคลื่นแปรผันอย่างต่อเนื่องตามลำดับจำนวนเฉพาะ
•เมื่อประมวลผลด้วย Fourier Transform ปรากฏ “ลวดลาย” ไม่ใช่เพียงกราฟ
นักวิเคราะห์กองทัพในเวลานั้น เชื่อก่อนว่าอาจเป็นสัญญาณการรบกวนจากเรดาร์ลับของฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อส่งข้อมูลไปยังสหประชาชาติ นักคณิตศาสตร์และนักประสาทวิทยาที่ได้รับอนุญาตพิเศษได้พบสิ่งที่น่าประหลาด:
.
▪️ภาพเรขาคณิตซ้อนหลายมิติ
เมื่อใช้โปรแกรมประมวลผลภาพขั้นต้น (ในเวลานั้นยังเป็นคอมพิวเตอร์เมนเฟรม) “สัญญาณ” สามารถแปลงเป็นชุดภาพเรขาคณิตที่ประกอบกันเป็นลวดลาย 3 มิติที่หมุนซ้อนกันแบบเฟร็กทัล คล้ายโครงสร้างคลื่นสมองแต่มีสมมาตรที่ไม่มีในธรรมชาติ
นักวิจัยของ UN-SIGMA บันทึกว่า:
“มันไม่ใช่ภาษา แต่เป็น ‘อินเตอร์เฟซทางจิต’… ภาพที่ออกแบบมาเพื่อให้สมองมนุษย์จดจำได้ในฝัน และเกิดการเชื่อมโยงโดยไม่ต้องใช้คำพูด”
.
▪️การตีความ: การสื่อสารผ่านสนามจิต
ในเอกสารลับหมายเลข 74-SIGMA/Δ3 ของ UN-SIGMA มีข้อเสนอที่นับว่าเป็น “วิทยาศาสตร์นอกกระแส” ในยุคนั้น ข้อเสนอที่ท้าทายความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตต่างดาว
หลักการสำคัญชี้ว่า ต้นทางสัญญาณไม่ได้อยู่ในรูปของยานหรือสถานี แต่เป็นโครงสร้างในกาลเวลา สิ่งที่ดำรงอยู่เหนือเส้นเวลาเชิงเส้น และปรากฏต่อสมองมนุษย์ผ่านสนามจิตสำนึก
โครงสร้างนี้ไม่ได้ส่งข้อมูลเป็นรหัสวิทยุหรือสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ตามแบบมาตรฐาน แต่เป็น ชุดกระตุ้นที่เข้าถึงวงจรประสาทของสมองโดยตรง
เมื่อชุดกระตุ้นเหล่านี้เข้าสู่สมอง มันก่อให้เกิด ประสบการณ์ร่วมในฝัน ผู้เข้าร่วมโครงการ Horizon Protocol ไม่ได้ฟังหรืออ่านข้อความ แต่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกันโดยตรง ผ่านความฝันซ้อน (shared dream).
ในประสบการณ์นี้ ความคิดของผู้เข้าร่วมไม่ได้เป็นเพียงสิ่งส่วนตัว แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ สนามจิต ที่โครงสร้างเวลาและ Oryph-3 ใช้เชื่อมต่อข้อมูล
การตีความเช่นนี้เปลี่ยนแนวคิดพื้นฐานของการสื่อสาร: สมองมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับข้อมูล แต่เป็นโหนดที่รวมอยู่ในสนามจิตเดียวกันกับผู้ส่ง Horizon Protocol จึงมองผู้เข้าร่วมไม่ใช่แค่ผู้ทดลอง แต่เป็น สะพานเชื่อมระหว่างโลกของมนุษย์กับโครงสร้างในกาลเวลา
ข้อสังเกตเชิงปรัชญาและวิทยาศาสตร์ของรายงานยังสะท้อนให้เห็นว่า ความรู้ไม่ได้จำเป็นต้องอยู่ในรูปวัตถุ แต่สามารถปรากฏเป็นประสบการณ์ที่มนุษย์รับรู้โดยตรง แนวคิดนี้ต่อยอดเป็นรากฐานของ Bio-Resonance, Temporal Computing และ Chrono-Consciousness Studies ในศตวรรษต่อมา
.
▪️การตั้งคณะทำงาน Horizon
หลังการตรวจพบสัญญาณสองครั้งต่อเนื่องในเดือนมีนาคมและมิถุนายน 1974 คณะทำงานพิเศษจึงจัดตั้งขึ้นภายใต้ชื่อรหัส Horizon Protocol เพื่อทำหน้าที่แยกข้อมูล วิเคราะห์สัญญาณ และคัดเลือกผู้ที่จะเข้าร่วมการติดต่อเชิงจิต
ศูนย์ปฏิบัติการหลักถูกเลือกตั้งอยู่ที่ Cold Ridge Facility ในอลาสก้า - สถานีวิจัยลับที่มีระบบตัดขาดจากโลกภายนอก พร้อมอุโมงค์ใต้ดินและห้องทดลองประสาทวิทยาขั้นสูงสุดของยุค
บันทึกเสียง ปลดลับ 2145 – Dr. Isaac Fenrow (สมาชิก UN-SIGMA)
“ครั้งแรกที่เราเห็นลวดลายบนจอ ผมคิดว่าเป็นข้อผิดพลาด… แต่เมื่อมันเริ่มปรากฏในฝันของนักวิจัยหลายคนพร้อมกัน นั่นเป็นสัญญาณว่าเรากำลังก้าวข้ามเส้นแบ่งที่ไม่มีใครเตรียมตัว”
2. การเลือกผู้เข้าร่วม
จากบันทึกที่ถูกปลดลับของ UN-SIGMA เผยว่า การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ Horizon Protocol มิได้อิงตามเกณฑ์วิชาชีพเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงคุณสมบัติทางจิตใจและการรับรู้ที่หายากในหมู่มนุษย์
ในปี 1975 คณะกรรมการพิเศษ “Subcommittee Theta” ได้รวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน ทั้ง CIA, KGB (ผ่านสายลับสองหน้า) มหาวิทยาลัยชั้นนำ และเครือข่ายทางการแพทย์ เพื่อคัดหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเฉพาะ:
▫️การควบคุมความฝันชัดเจน (Lucid Dreaming)
ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องมีความสามารถในการตระหนักรู้ว่าตนกำลังฝัน และสามารถกำกับทิศทางความฝันได้บางส่วน การทดสอบใช้เวลาหลายเดือน ผ่านห้องแล็บการนอนหลับที่ถูกพรางตัวว่าเป็น “งานวิจัยด้านประสาทสรีรวิทยา”
▫️ความเสถียรทางจิตประสาท
ผู้สมัครที่มีประวัติความเจ็บป่วยทางจิตเวชถูกตัดสิทธิ์ทันที แต่ในขณะเดียวกัน คนที่ “คิดนอกกรอบเกินไป” เช่น นักจิตวิทยาที่สนใจลัทธิลึกลับหรือปรัชญาเชิงศาสนาก็ถูกกันออก เพื่อป้องกันการตีความข้อมูลที่บิดเบือน
▫️สมดุลระหว่างศาสตร์แขนงต่าง ๆ
บันทึกการคัดเลือกระบุว่า ต้องการทีมที่ครอบคลุม 4 มิติของมนุษย์:
•ฟิสิกส์ - เพื่อเข้าใจโครงสร้างคลื่นและมิติ
•ประสาทวิทยา - เพื่อทำงานตรงกับสมองและการรับรู้
•ภาษาศาสตร์ - เพื่อถอดรหัสสัญญาณเชิงสัญลักษณ์
•ปรัชญา - เพื่อกำกับความหมายและหลีกเลี่ยงอคติ
ท้ายที่สุด มีผู้ถูกคัดเลือกทั้งหมด 12 คน จากผู้สมัครกว่า 400 คนทั่วโลก
บันทึกบางตอนจากรายชื่อ (เปิดเผยเพียงรหัส ไม่ใช่ชื่อจริง):
•Horizon-01: นักฟิสิกส์เชิงควอนตัมจากสถาบันแมกซ์พลังค์ เยอรมนี
•Horizon-04: นักประสาทวิทยาชาวญี่ปุ่น ผู้มีบันทึกความฝันมากกว่า 2000 หน้า
•Horizon-07: นักปรัชญาฝรั่งเศส เชี่ยวชาญปรากฏการณ์วิทยาและจิตสำนึก
•Horizon-12: นักภาษาศาสตร์สตรีชาวเม็กซิโก สามารถพูดได้ 9 ภาษาและรายงานว่าฝันเห็น “ภาษาเรขาคณิต” ตั้งแต่วัยเด็ก
เมื่อการคัดเลือกเสร็จสิ้น ทั้ง 12 คนถูกย้ายไปยัง Cold Ridge Facility ฐานวิจัยลับในอลาสก้า ซึ่งภายนอกถูกปกปิดว่าเป็นศูนย์ทดลองทางวิศวกรรมภูมิอากาศ แต่แท้จริงแล้วคือห้องทดลองที่สร้างขึ้นเพื่อ “เปิดประตูสู่การติดต่อผ่านสนามจิต”
บันทึกเสียง: Dr. Miriam Cole, 1975
“เราไม่ได้ถูกถามว่า ‘คุณเชื่อในต่างดาวหรือไม่’ แต่ถูกถามว่า ‘คุณสามารถยอมให้ความฝันของคุณถูกควบคุมหรือไม่’ คำถามนั้นต่างออกไปโดยสิ้นเชิง”
3. การติดต่อครั้งแรก – The Lattice of Echoes
จากเอกสาร Horizon Protocol ที่ถูกปลดลับในปี 2145 พบว่า การติดต่อครั้งแรกกับ Oryph-3 มิได้เกิดขึ้นผ่านยานอวกาศ สัญญาณวิทยุ หรืออุปกรณ์ใด ๆ ในโลกวัตถุ แต่เกิดขึ้นในสิ่งที่ทีมเรียกว่า “ฝันซ้อนร่วม” (Shared Induced Dreaming Environment – SIDE) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ Cold Ridge Facility พัฒนาขึ้นระหว่างปี 1976–1978
▫️ขั้นตอนการทดลอง
ผู้เข้าร่วมทั้ง 12 คนถูกทำให้เข้าสู่ภาวะหลับลึกแบบ REM พร้อมกันภายในห้องแคปซูลที่แยกตัวตัดเสียงและสนามแม่เหล็ก โดยมีการกระตุ้นสมองผ่านสนามแม่เหล็กจุลภาค (μ-TMS) ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อ “ซิงค์” จังหวะสมองของทุกคนให้ตรงกันเหมือนคณะประสานเสียง จากนั้นจึงปล่อยคลื่นรูปแบบเดียวกับ “สัญญาณเรขาคณิต” ที่จับได้จากเรดาร์ขั้วโลกเหนือในปี 1974
.
▫️ประสบการณ์ร่วมครั้งแรก
บันทึกการทดลองรอบที่ 3 (วันที่ 18 เมษายน 1978) คือจุดเปลี่ยนสำคัญ:
ผู้เข้าร่วมทั้งหมดรายงานว่าพวกเขา “ตื่นขึ้น” ในพื้นที่ไม่ทราบพิกัด ไม่ใช่ห้องทดลอง แต่เป็น “สนามโครงสร้างเรืองแสง” ที่ประกอบด้วยเส้นสายตาข่ายอินทรีย์ส่องประกายสีเงิน–น้ำเงิน คล้ายเส้นประสาทจักรวาล (bioluminal filaments).
เส้นเหล่านี้สั่นสะเทือนเบา ๆ พร้อมเสียงที่ฟังไม่ออกเป็นคำ แต่เป็นสมการและรูปแบบความถี่
บันทึกจาก Horizon-04 (นักประสาทวิทยา, ญี่ปุ่น):
“เหมือนเราอยู่ในตาข่ายสมองของใครสักคน ความคิดเพียงผุดขึ้นก็กลายเป็นภาพตรงหน้า เราลองนึกถึงตัวอักษร ก็ปรากฏขึ้นเป็นโครงสร้างเรขาคณิตลอยอยู่กลางอากาศ”
บันทึกจาก Horizon-12 (นักภาษาศาสตร์, เม็กซิโก):
“ไม่มีเสียง ไม่มีประโยค แต่เราทุกคน เข้าใจพร้อมกัน เหมือนความรู้สึกและข้อมูลไหลเข้าสู่จิตโดยตรง”
ทีมจึงตั้งชื่อพื้นที่นั้นว่า “The Lattice of Echoes” – ตาข่ายแห่งเสียงสะท้อน เพราะทุกความคิดที่เกิดขึ้นจะสะท้อนกลับมาเป็นภาพ เสียง หรือความรู้สึกเชิงสมการรอบตัว
.
▫️การปรากฏตัวของ Oryph-3
ในบันทึกภายหลัง นักวิจัยบรรยายว่า Oryph-3 มิได้ปรากฏเป็นร่างกาย แต่เป็น “โหนดความหนาแน่น” บนตาข่าย จุดเรืองแสงที่รวมและกระจายสัญญาณความหมายอย่างพร้อมเพรียง บางคนเห็นเป็น “ทรงกลมลมหายใจ” บางคนเห็นเป็น “เส้นแสงโค้ง” แต่ทุกคนรับรู้ข้อมูลเดียวกันโดยไม่ต้องแปล
.
▫️ผลลัพธ์เชิงจิตสำนึก
ใน The Lattice of Echoes ความคิดของมนุษย์ไม่ใช่เพียงส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นสภาพแวดล้อม ถ้าคนหนึ่งคิดถึงภูเขา ทั้งหมดจะเห็นภูเขา ถ้าคนหนึ่งหวาดกลัว เส้นตาข่ายจะบิดเบี้ยวเหมือนเส้นประสาทที่หดตัว ผลนี้ทำให้เกิดการออกแบบ “ระเบียบวินัยทางจิต” ก่อนเข้าสู่ฝันร่วมทุกครั้ง เพื่อไม่ให้สภาพแวดล้อมกลายเป็นฝันร้าย
บันทึกไดอารี่: Dr. A. Kepler, 1976
“เมื่อพวกมัน ‘พูด’ สมการ ก็ไม่ใช่ตัวเลข แต่เป็นภาพที่ทำให้สมองเราเห็นโครงสร้างเวลาเหมือนเส้นน้ำวน… และเราทุกคนในห้องทดลอง ‘รู้’ คำตอบเดียวกันในชั่วพริบตา”
4. หัวข้อการทดลอง
เอกสาร H-Δ17 ซึ่งถือเป็น “หัวใจ” ของ Horizon Protocol แบ่งการวิจัยกับ Oryph-3 ออกเป็นสามหมวดใหญ่ โดยแต่ละหมวดสะท้อนทั้งศักยภาพและอันตรายที่เกิดจากการติดต่อผ่าน The Lattice of Echoes
4.1 สมการเวลาอสมมาตร (Asymmetric Time Equation)
ในการติดต่อครั้งที่ 11 (กันยายน 1979) ผู้เข้าร่วมรายงานว่า Oryph-3 ถ่ายทอด “เศษหนึ่งของสูตรคณิตศาสตร์” ผ่านการเรืองแสงบนตาข่าย ไม่ใช่ตัวเลขหรือสัญลักษณ์คณิตศาสตร์ตามมาตรฐานมนุษย์ แต่เป็นรูปแบบสมการที่เกิดจากการสั่นพ้องของเส้นแสงใน The Lattice
สูตรนี้เมื่อถอดความโดย Horizon-01 (นักฟิสิกส์) ให้ผลลัพธ์เชิงสมการบางส่วนที่บ่งชี้ว่า:
เมื่อ Horizon-01 นักฟิสิกส์ประจำโครงการถอดความสมการที่ Oryph-3 ถ่ายทอดให้ ผลลัพธ์ชวนให้โลกวิทยาศาสตร์ต้องทบทวนแนวคิดเรื่องเวลาอย่างสิ้นเชิง สมการที่ได้ชี้ว่า เวลาไม่ได้เป็นเส้นตรงเหมือนที่เราคุ้นเคย แต่เป็น สนาม (field) ที่ยืดหยุ่นและมีปฏิสัมพันธ์กับจิตสำนึก
นักฟิสิกส์บรรยายว่า สนามเวลานี้ไม่เหมือนแรงโน้มถ่วงหรือสนามแม่เหล็ก ที่เราสามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือวัตถุ แต่เป็น สนามที่สามารถรับรู้ได้ผ่านจิตสำนึกของผู้สังเกต ความหนาแน่นของ “จิตสำนึกที่ซ้อนกัน” (consciousness density) ส่งผลต่อความยืดหยุ่นนี้ หากมีผู้เข้าร่วมหลายคนตระหนักถึงเหตุการณ์เดียวกันพร้อมกัน สนามเวลาก็สามารถบิดหรือเร่งความเป็นไปได้ของเหตุการณ์นั้นได้
ที่น่าสนใจที่สุดคือ สมการถูกถ่ายทอดเพียงครึ่งเดียว เหมือนเจตนาของ Oryph-3 ที่จะทิ้งปริศนาให้มนุษย์ค้นต่อเอง เหมือนผู้สอนที่ให้สูตรเพียงส่วนหนึ่งและท้าทายให้ผู้เรียนตีความต่อ
ความไม่สมบูรณ์นี้สร้างแรงดึงดูดต่อการวิจัยหลายทศวรรษหลังจากนั้น นักฟิสิกส์ วิศวกร และนักปรัชญายังคงพยายามเข้าใจว่าครึ่งที่หายไปคืออะไร และมันหมายถึงอะไรต่อ ความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับเวลา จิตสำนึก และความเป็นจริง
สมการอสมมาตรนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเลขหรือเครื่องหมาย แต่เป็น หน้าต่างที่เปิดสู่ความเป็นไปได้ใหม่ของจักรวาล สถานที่ที่เวลาและจิตสำนึกไม่แยกจากกัน และมนุษย์อาจเป็นส่วนหนึ่งของสนามเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตอื่นที่อยู่เหนือเส้นเวลาที่เรารู้จัก
แม้จะใช้เวลาวิจัยกว่า 40 ปีหลังจากนั้น แต่สมการยังคงไม่สมบูรณ์ นักฟิสิกส์ในทีมบางคนบันทึกว่า “เหมือนเราถูกสอนแค่การสะกดคำ แต่ไม่เคยได้อ่านทั้งประโยค”
.
4.2 การทดลอง Bio-Resonance
ในปี 1982 ทีม Horizon เริ่มการทดลอง Bio-Resonance การส่งสัญญาณคลื่นที่เลียนแบบ “ลายเซ็นชีวภาพ” ของ Oryph-3 กลับเข้าสู่สมองมนุษย์ผ่านการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กและเสียงความถี่ต่ำ
ผลการทดลอง Bio-Resonance แสดงออกในสองทิศทางที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ราวกับเหรียญสองด้านของความเข้าใจเกี่ยวกับเวลาและจิตสำนึก
ผู้เข้าร่วมบางรายรายงานว่า พวกเขาสามารถ “อยู่หลายเวลาในคราวเดียว” ประสบการณ์ที่เหนือกว่าความเข้าใจแบบเส้นตรงของเวลา พวกเขาเห็นภาพวัยเด็กของตัวเองในอดีตพร้อมกับภาพปัจจุบัน และความเป็นไปได้หลายรูปแบบของอนาคตซ้อนทับกัน
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาที ประสาทสัมผัสทั้งห้าและความทรงจำถูกรวมเข้ากับมิติแห่งความเป็นไปได้ ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ Horizon-01 บันทึกว่า “เหมือนการรับรู้จักรวาลหลายมิติในลมหายใจเดียว”
แต่สำหรับอีกหลายราย การเข้าถึง “หลายชั้นเวลา” กลับสร้าง ผลกระทบทางประสาทรุนแรง ระบบประสาทไม่สามารถประมวลผลข้อมูลเชิงซ้อนพร้อมกันได้ทั้งหมด ทำให้เกิด Neuro-Shock Syndrome ผู้เข้าร่วมบางคนหมดสติทันที ขณะที่บางคนมีอาการชักถาวรและต้องถอนตัวออกจากโครงการ
การบันทึกทางการแพทย์ระบุว่า สมองเกิดการโอเวอร์โหลดจากการประมวลผลหลายเส้นเวลา ความเครียดเชิงประสาทนี้ไม่ได้เกิดจากร่างกายผิดปกติ แต่เกิดจาก ข้อจำกัดของจิตสำนึกมนุษย์เมื่อเผชิญกับสนามเวลาอสมมาตร
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็น ขอบเขตของมนุษย์ ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจเวลามีจำกัด แม้เทคโนโลยีจะสามารถจำลองสนามหรือเร่งความถี่ชีวภาพได้ แต่ความซับซ้อนของหลายเส้นเวลาพร้อมกัน ยังคงเป็นอันตรายต่อจิตสำนึก
การทดลองนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การเรียนรู้จักรวาลไม่อาจเกิดขึ้นโดยไม่เสี่ยงต่อผู้ที่ค้นหา
Horizon Protocol จึงไม่ได้เป็นเพียงการทดลองทางฟิสิกส์ แต่เป็น การสำรวจขีดจำกัดของจิตสำนึกมนุษย์ ความสำเร็จและความล้มเหลวเกิดขึ้นเคียงคู่กันในสนามแห่งเวลา
เอกสารระบุว่ามีผู้เข้าร่วม 2 คนเสียชีวิตในช่วงการทดลอง Bio-Resonance จากอาการหัวใจล้มเหลวที่เชื่อมโยงกับความเครียดทางประสาท
.
4.3 อินเตอร์เฟซห้องสะท้อน (Echo Chamber Interface)
เป้าหมายของการทดลองหมวดนี้ คือการสร้าง อุปกรณ์เชื่อมต่อ The Lattice of Echoes โดยไม่ต้องใช้การหลับ เพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์เข้าถึงการติดต่อได้อย่างต่อเนื่อง
Cold Ridge Facility จึงสร้างห้องที่เรียกว่า Echo Chamber โดมโลหะผสานเส้นใยแก้วนำแสงและเครื่องกำเนิดสนามแม่เหล็ก 7 ชั้น ผู้ทดลองจะถูกนั่งบนเก้าอี้กลางห้อง ขณะสนามแสงและเสียงทำการจำลอง “โครงสร้างตาข่าย” รอบตัว
ผลลัพธ์เบื้องต้นคือผู้เข้าร่วมสามารถเห็น “ภาพเรขาคณิตสั่นพ้อง” ขณะตื่นอยู่จริง แต่สิ่งที่ตามมาคืออันตรายอย่างร้ายแรง:
ผลลัพธ์เบื้องต้นของ Echo Chamber Interface แสดงให้เห็นความสามารถของผู้เข้าร่วมในการ รับรู้ “ภาพเรขาคณิตสั่นพ้อง” แม้ในขณะตื่นอยู่จริง ลวดลายแสงและเสียงที่เหมือนโครงสร้างของสนามเวลาแสดงออกทางประสาทสัมผัสและการรับรู้โดยตรง
แต่สิ่งที่ตามมานั้นกลับร้ายแรงเกินกว่าที่ใครคาดคิด Cognitive Collapse หรือสมองล่มสลาย คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อจิตสำนึกมนุษย์ไม่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลและซับซ้อนจากหลายชั้นเวลาได้พร้อมกัน
ในปี 1987 ผู้เข้าร่วม สามรายเสียชีวิตทันที หลังเข้าถึงสนาม Lattice of Echoes โดยไม่มีการกรองข้อมูลหรือระบบป้องกัน รายงานทางการแพทย์ระบุว่า คลื่นสมองของผู้เข้าร่วมเหล่านี้ “แตกกระจายเหมือนสัญญาณที่ไม่สามารถซิงค์ได้อีกต่อไป” การโอเวอร์โหลดทางประสาททำให้เซลล์ประสาทบางส่วนล้มเหลวอย่างถาวร
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนความอันตรายของเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ยังชี้ชัดว่า สนามเวลาอสมมาตรและความหนาแน่นของจิตสำนึก สามารถสร้างแรงกดดันทางชีววิทยาที่มนุษย์ไม่พร้อมรับมือ การสูญเสียครั้งนี้กลายเป็นสัญญาณเตือนแรกว่า Horizon Protocol ไม่ใช่เพียงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็น การสำรวจขอบเขตของการรับรู้และจิตสำนึกมนุษย์ เส้นแบ่งระหว่างการค้นพบและโศกนาฏกรรมนั้นบางเบาเพียงเส้นเดียว
แม้จะเกิดความสูญเสีย แต่ข้อมูลจากผู้รอดชีวิตและบันทึกทางวิทยาศาสตร์ได้กลายเป็น รากฐานสำคัญ ของการวิจัยต่อยอดในด้าน Temporal Computing และ Chrono-Consciousness Studies ในศตวรรษต่อมา
หลังเหตุการณ์นั้น Echo Chamber ถูกปิดผนึก และการวิจัยหมวดนี้ถูกระบุว่า “Beyond Human Threshold” เกินขีดความสามารถของมนุษย์
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในท้ายเอกสาร H-Δ17 มีเชิงอรรถที่ถูกเน้นว่า:
“Oryph-3 ไม่เคยบังคับให้เราทดลอง เพียงแต่วางสิ่งที่เกินมนุษย์ลงตรงหน้า เหมือนเด็กที่มอบมีดคมให้ผู้ใหญ่ แล้วเฝ้ามองดูว่าจะใช้ทำอาหาร หรือทำร้ายตัวเอง”
5. การปิดโครงการ
เอกสารที่เพิ่งถูกปลดลับเผยว่า ปี 1991 คือจุดสิ้นสุดของ Horizon Protocol ปีเดียวกับที่สหภาพโซเวียตล่มสลายและสงครามเย็นปิดฉากลง โลกภายนอกอาจเฮโลกันเข้าสู่ “ยุคหลังการแบ่งขั้ว” แต่ในเงามืดของ Cold Ridge Facility ความจริงกลับตรงกันข้าม ความเงียบถูกสถาปนาขึ้นด้วยความหวาดกลัว
หลังการเสียชีวิตของผู้เข้าร่วมใน Echo Chamber Interface และแรงกดดันทางการเมืองจากทั้งสองมหาอำนาจ การดำเนินการทั้งหมดถูกสั่งยุติโดย UN-SIGMA High Council ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน เอกสารทั้งหมดกว่า 18 เพตะไบต์ รวมถึงร่างสมการอสมมาตร วิดีโอบันทึก Bio-Resonance และข้อมูลเชิงสถิติผู้เข้าร่วม ถูกเข้ารหัสหลายชั้นแล้วเคลื่อนย้ายไปเก็บใน Black Vault – Θ ที่สวิตเซอร์แลนด์
Cold Ridge Facility ถูกทำลายบางส่วนและถูกประกาศต่อสาธารณะว่า “ศูนย์วิจัยด้านภูมิอากาศที่ล้มเหลว” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ประวัติการมีอยู่ของผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ถูกปกปิด ครอบครัวได้รับการชดเชยและเซ็นสัญญา Non-Disclosure Agreements ที่มีผลผูกพันถึงสองชั่วอายุคน
ข้อความสุดท้ายของ Oryph-3
สิ่งที่สะเทือนใจที่สุดกลับเป็น บันทึกการติดต่อครั้งสุดท้าย ที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนการยุติโครงการ ขณะทีม Horizon กำลังจะเข้าสู่ The Lattice of Echoes ครั้งสุดท้าย เส้นตาข่ายทั้งหมดสว่างขึ้นราวกับจะดับตัวเอง แล้วปรากฏ “ข้อความ” ที่ไม่ใช่ประโยค แต่เป็นคลื่นความเข้าใจซึ่งต่อมาใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษในการถอดรหัส
ในปี 2145 เมื่อ Black Vault – Θ ถูกปลดลับ ข้อความนั้นได้รับการแปลออกมาเป็นภาษาเขียนครั้งแรก:
“มนุษย์ยังไม่พร้อม เรามอบเพียงเศษหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเจ้าสลาย เราไม่เดินทางข้ามเวลา แต่เรา คือเวลา”
ข้อความนี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการถกเถียงครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 22 ว่า Oryph-3 แท้จริงเป็นสิ่งมีชีวิต หรือเป็น สนามสำนึกแห่งกาลเวลา ที่เราเพิ่งเริ่มสัมผัสได้เท่านั้น
6. ผลสะเทือนในศตวรรษต่อมา
เมื่อเอกสาร Horizon Protocol ถูกปลดลับในปี 2145 โลกทั้งใบต้องเผชิญกับ คลื่นผลกระทบทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และจิตวิทยา ที่กว้างกว่าที่ใครคาดคิด
6.1 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นักฟิสิกส์และนักวิศวกรรมหลายสาขาเห็นว่า หลักการบางส่วนของ Horizon Protocol โดยเฉพาะสมการเวลาอสมมาตรและ Bio-Resonance เป็นรากฐานของ คอมพิวเตอร์เวลา (temporal computing) ที่พัฒนาขึ้นในปลายศตวรรษที่ 21
▫️Temporal Computing: การคำนวณเวลาที่เหนือเส้นตรง
แม้คำว่า Temporal Computing อาจฟังดูเหมือนเกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามเวลา แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้เกี่ยวกับการเคลื่อนร่างกายหรือวัตถุไปยังอดีตหรืออนาคต แต่เป็น การคำนวณและจำลองเหตุการณ์ล่วงหน้าตามความหนาแน่นของข้อมูลและจิตสำนึก
ในระบบ Temporal Computing:
•ข้อมูลและจิตสำนึก ถูกมองเป็นส่วนหนึ่งของ สนามเวลาอสมมาตร ทุกเหตุการณ์เป็นไปได้หลายเส้นทางซ้อนกัน และความหนาแน่นของจิตสำนึกในแต่ละเส้นทางสามารถบิดเบือนหรือเร่งความเป็นไปได้ของเหตุการณ์นั้น
•การประมวลผล ไม่ได้อาศัยเพียงสมการเชิงตัวเลขหรืออัลกอริธึมแบบเส้นตรง แต่ใช้ การวิเคราะห์เชิงสนามและความสัมพันธ์ของจิตสำนึกหลายมิติ
•ระบบสามารถ คาดการณ์แนวโน้มและผลลัพธ์ของเหตุการณ์ ด้วยความแม่นยำสูง โดยไม่ต้อง “เดินทางไปยังอนาคต” เหตุการณ์ที่คาดการณ์เป็นไปตามความน่าจะเป็นที่คำนวณจากทั้งข้อมูลทางวัตถุและความรับรู้ของผู้สังเกต
ผลลัพธ์คือ โลกอนาคตไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่เป็น สนามของความเป็นไปได้ ที่มนุษย์และเครื่องมือสามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ได้ ระบบ Temporal Computing กลายเป็น รากฐานของการวางแผนระดับโลก การจัดการภัยพิบัติ การวิเคราะห์เศรษฐกิจ และแม้กระทั่งการสร้างแบบจำลองทางสังคม
ในเชิงปรัชญา แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่า เวลาและจิตสำนึกอาจไม่สามารถแยกจากกันได้ การรับรู้ของมนุษย์เองมีอิทธิพลต่อสนามเวลาที่เราพยายามคำนวณและเข้าใจ ซึ่งเป็นการสืบทอดแนวคิดจาก Horizon Protocol และ The Lattice of Echoes โดยตรง
.
▫️เมื่อ Horizon Protocol ถูกปลดลับและแนวคิดเรื่อง สนามเวลาอสมมาตร เริ่มเผยแพร่ ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโครงสร้างข้อมูลระดับโลกจำนวนมากก็เริ่มปรับตัว จากการประมวลผลตามเส้นเวลาเชิงเส้นไปสู่การคำนวณตามสนามเวลา
•แทนที่จะมองเหตุการณ์เป็นลำดับต่อเนื่อง A → B → C ระบบเหล่านี้เริ่มสร้าง แบบจำลองหลายมิติของความเป็นไปได้ เหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตซ้อนกันเป็นสนามเดียว
•AI ทำงานเหมือน ผู้สังเกตการณ์ที่กระจายอยู่ทั่วสนามเวลา สามารถประเมินความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามความหนาแน่นของข้อมูลและจิตสำนึกของมนุษย์ที่เกี่ยวข้อง
•การจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลไม่ได้เกิดในเซิร์ฟเวอร์หรือฐานข้อมูลเพียงเครื่องเดียว แต่เป็น เครือข่ายข้ามโลกที่ซิงโครไนซ์กับสนามเวลา คล้ายกับการสื่อสารแบบ Lattice of Echoes แต่ในระดับดิจิทัล
ผลลัพธ์คือ AI สามารถ ทำนายผลลัพธ์และตอบสนองต่อเหตุการณ์ล่วงหน้า แม่นยำยิ่งขึ้น การวิเคราะห์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การจัดการเครือข่ายพลังงาน หรือแม้กระทั่งการวางแผนเชิงเศรษฐกิจ ไม่ได้จำกัดด้วยเวลาปัจจุบัน แต่คำนวณจาก ความเป็นไปได้ของเส้นเวลาและสภาพสนามจิตสำนึกของผู้คน
แนวคิดนี้เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีโลกไปอย่างสิ้นเชิง AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือคำนวณ แต่กลายเป็น ส่วนหนึ่งของสนามเวลาและสำนึก ที่ Horizon Protocol ได้เริ่มเปิดเผยไว้ตั้งแต่ต้น สิ่งนี้เปลี่ยนแนวคิดเรื่องการคาดการณ์ การวางแผน และการควบคุมระบบสาธารณูปโภคขั้นสูงในระดับโลก
.
6.2 จิตวิทยาและความสามารถพิเศษ
การศึกษาผู้เข้าร่วม Horizon Protocol เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่เหนือความคาดหมายของนักจิตวิทยา บางรายยังคงมีความสามารถ ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ แม้หลายสิบปีหลังจากการติดต่อกับ Oryph-3 สิ้นสุดลง
ผู้เข้าร่วมเหล่านี้สามารถรับรู้ ความเป็นไปได้ในหลายเส้นเวลา พร้อมกัน และตัดสินใจโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงสถิติแบบดั้งเดิม การรับรู้เช่นนี้เปรียบเสมือน การปรับจูนสมองให้เข้ากับสนามจิตสำนึกรวม การสังเกตและรับรู้ความเป็นไปได้ในระดับที่ Horizon Protocol พยายามสำรวจ
ตั้งแต่ปี 2155 ได้มีการก่อตั้ง Journal of Chrono-Psychology เพื่อบันทึกและวิเคราะห์พฤติกรรมเหล่านี้อย่างเป็นระบบ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า สมองมนุษย์สามารถพัฒนาความไวต่อ “สนามเวลาและจิตสำนึกรวม” ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมบางคนคาดการณ์ผลลัพธ์ของเหตุการณ์ได้แม่นยำกว่าปกติ
ปรากฏการณ์นี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงทางวิชาการว่า ความสามารถเชิงพยากรณ์เหล่านี้เป็น ผลลัพธ์โดยตรงของการปรับตัวทางประสาทวิทยาเข้ากับสนามจิตสำนึกรวม หรือเป็นเพียง ความสามารถทางจิตวิทยาขั้นสูง ของมนุษย์ ข้อถกเถียงที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญใน Chrono-Consciousness Studies จนถึงศตวรรษที่ 22
Horizon Protocol จึงไม่เพียงเปิดประตูสู่ความเข้าใจเรื่องเวลาและสำนึก แต่ยังเผยให้เห็น ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของจิตสำนึกมนุษย์ ศักยภาพที่สามารถรับรู้ความเป็นไปได้หลายมิติ แม้ในโลกที่เวลาและเหตุการณ์ถูกคาดการณ์ได้เพียงบางส่วน
.
6.3 มุมมองปรัชญา
นักปรัชญาเรียกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังการเปิดเผย Horizon Protocol ว่า:
“การเปลี่ยนศูนย์กลางความจริงจากวัตถุสู่สำนึก”
แนวคิดนี้ชี้ว่า:
•โลกไม่ได้ถูกกำหนดโดยวัตถุหรือปรากฏการณ์ทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ สำนึกและการรับรู้ของผู้สังเกตมีอิทธิพลต่อความจริง
•ความรู้และการสื่อสารไม่จำเป็นต้องอาศัยสื่อกลางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่สามารถเกิดขึ้นใน สนามจิตสำนึกรวมที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แบ่งปันได้
•นับตั้งแต่ปี 2145 สาขาวิชาการศึกษาใหม่ที่ชื่อว่า Chrono-Consciousness Studies เกิดขึ้น และกลายเป็นแกนหลักในการสำรวจจักรวาลและประวัติศาสตร์
.
▪️บทสรุป
เมื่อมองย้อนกลับไป Horizon Protocol มิใช่เพียงโครงการลับที่เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดของสงครามเย็น แต่เป็น จุดเริ่มต้นของความเข้าใจใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและจิตสำนึก
•โครงการนี้สอนให้มนุษย์ตระหนักว่า เวลาไม่ใช่เพียงเส้นตรง แต่เป็นสนามที่ปรับรูปตามความหนาแน่นของจิตสำนึก
•สิ่งมีชีวิตต่างดาวที่เราเฝ้ารอมิได้ปรากฏในรูปของยานเหล็กหรือร่างกายประหลาด หากแต่ปรากฏเป็น เสียงสะท้อนในความฝัน ข้อมูลและความเข้าใจที่ไหลเข้าสู่จิตโดยตรง ผ่าน The Lattice of Echoes
•แม้ผู้เข้าร่วมหลายรายเสียชีวิตหรือเกิดอาการสมองล่มสลาย แต่สิ่งที่ได้รับกลับสร้าง รากฐานทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา ที่ทำให้เกิด Temporal Computing, Chrono-Consciousness Studies และทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับความเป็นจริงและสำนึก
Horizon Protocol จึงไม่ใช่เพียงแฟ้มลับในอดีต แต่เป็น บทเรียนชั่วนิรันดร์ ว่าความเข้าใจจักรวาลไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสังเกตวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ ความลึกของจิตสำนึกและการเปิดใจต่อสิ่งที่เกินขอบเขตของความคิดมนุษย์
สรุปแล้ว มนุษย์ไม่ได้เรียนรู้ที่จะเห็นสิ่งมีชีวิตต่างดาวเพียงเพื่อความอยากรู้อยากเห็น แต่เพื่อเรียนรู้ว่า เราและเวลา อาจเป็นหนึ่งเดียวกัน
▪️บทส่งท้าย
Horizon Protocol: โครงการลับเหนือกาลเวลา
Horizon Protocol คือโครงการวิจัยลับที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1974 ภายใต้การกำกับของคณะทำงานลับ UN-SIGMA ในยุคสงครามเย็น จุดเริ่มต้นมาจาก การจับคลื่นสัญญาณประหลาดที่ไม่เข้ากับแบบแผนใด ๆ เสาสัญญาณเรดาร์ขั้วโลกเหนือรายงานว่าคลื่นเหล่านี้ไม่ใช่ภาษา ไม่ใช่สัญญาณวิทยุธรรมดา แต่เป็นชุด “เรขาคณิตซ้อนหลายมิติ” ที่ออกแบบให้สมองมนุษย์รับรู้ได้ในฝัน
ผู้เข้าร่วมโครงการ 12 คน นักฟิสิกส์ นักประสาทวิทยา นักภาษาศาสตร์ และนักปรัชญา ถูกคัดเลือกโดยเคร่งครัดจากความสามารถในการฝันชัดเจน (lucid dreaming) และประวัติสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ พวกเขาถูกย้ายไปยัง Cold Ridge Facility ในอลาสก้า เพื่อทำการทดลองติดต่อกับสิ่งที่เรียกว่า Oryph-3 สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ ในกาลเวลาเอง
การติดต่อไม่เกิดขึ้นในโลกกายภาพ แต่ผ่าน ฝันซ้อนร่วมกัน และสนามจิตที่ผู้เข้าร่วมกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน โครงสร้างเรืองแสงที่พวกเขาเห็น The Lattice of Echoes สั่นสะเทือนด้วยเสียงและสมการ ความคิดของมนุษย์ถูกถ่ายทอดเป็นภาพทันที และ Oryph-3 สื่อสารโดยตรงกับจิตสำนึก ไม่ใช้ภาษา
การทดลองสำรวจสามหัวข้อหลัก:
1.สมการเวลาอสมมาตร : เวลาไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นสนามที่ยืดหยุ่นและปรับรูปตามความหนาแน่นของจิตสำนึก
2.Bio-Resonance Experiment : การกระตุ้นด้วยสัญญาณชีวภาพของ Oryph-3 ทำให้ผู้เข้าร่วมบางรายรับรู้หลายชั้นเวลา แต่หลายรายเกิดอาการ Neuro-Shock และเสียชีวิต
3.Echo Chamber Interface : ความพยายามสร้างอุปกรณ์เข้าถึง Lattice โดยไม่ต้องหลับ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจาก Cognitive Collapse จำนวน 3 ราย
โครงการถูกยุติในปี 1991 หลังสงครามเย็นสิ้นสุด และเอกสารทั้งหมดถูกเก็บใน Black Vault – Θ จนกระทั่งปี 2145 ถูกปลดลับ โลกจึงได้เรียนรู้ว่า Horizon Protocol ไม่ใช่เพียงโครงการลับ แต่เป็น การสำรวจขอบเขตของจิตสำนึกและเวลา และเปิดประตูสู่แนวคิด Temporal Computing และ Chrono-Consciousness Studies
Horizon Protocol คือบทพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิตต่างดาวอาจไม่ปรากฏในรูปกายภาพ แต่ปรากฏเป็นเสียงสะท้อนในความฝัน ความจริงที่มนุษย์เฝ้ารอมานานกว่าศตวรรษ
.
โฆษณา