Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
2 ต.ค. เวลา 15:03 • หุ้น & เศรษฐกิจ
จากเวทีโลกสู่แนวชายแดน จะเกิดอะไรหากไทยเดินเกมยกเลิก MOU 43/44
●
การยกเลิก MOU 43/44 จะทำให้ไทยสูญเสียความชอบธรรมและเครื่องมือทางกฎหมายในการเจรจาบนเวทีโลก และเสี่ยงเปิดช่องให้กัมพูชานำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลก
●
MOU ทั้งสองฉบับไม่ใช่ข้อตกลงที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ แต่เป็นกรอบการเจรจาที่สำคัญซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก และเป็นหลักฐานที่ใช้โต้แย้งการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชาได้
●
ผู้เขียนเตือนว่าการผลักดันให้ยกเลิก MOU มาจากกระแสชาตินิยมที่คลาดเคลื่อน และเสนอว่าไทยควรใช้การทูตอย่างมีกลยุทธ์โดยรักษา MOU ไว้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่ต้องใช้กำลังเผชิญหน้า
นายนิรุตติ คุณวัฒน์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ อดีต Trade Policy Analyst ขององค์การการค้าโลก (WTO) เปิดเผยบทความพิเศษว่า คำปราศรัยของท่านรัฐมนตรีต่างประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา คือหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญทางการทูตของไทยที่ผมเชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาข้อพิพาทตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา
หลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชาใช้เวทีสหประชาชาติขึ้นกล่าวถ้อยแถลง และพยายามใช้เวทีการประชุม UN เป็นพื้นที่โฆษณาชวนเชื่อว่าไทยซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าเป็นฝ่ายรุกรานก่อน กัมพูชาจึงไม่มีทางเลือกต้องป้องกันตัวเอง ซึ่งเรารู้ดีว่า การเสแสร้งฟ้องชาวโลกโดยการทำตัวเป็นประเทศเล็กๆ ที่น่าสงสาร เป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด
โดนประเทศใหญ่กว่ามารังแก โดนรุกราน และพยายามเรียกร้องให้ทั้งโลกช่วยกดดันและลงโทษไทย - เกิดขึ้นด้วยเหตุผลเดียว คือเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองในประเทศเท่านั้น
แต่การที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเป็นฝ่ายได้ขึ้นพูดภายหลัง กลับกลายเป็นโอกาสอันดีในการได้ใช้โอกาสนี้ขึ้นไป “แก้ลำ” ปรับสุนทรพจน์ให้มีเนื้อหาที่ “เข้มข้น” มากขึ้น เพื่อโต้แย้งประเด็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนไม่เป็นความจริงของทางฝ่ายกัมพูชาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ผมเชื่อว่าหลายท่านอาจไป focus ที่การโต้แย้งในมุมที่แหลมคมเช่นเรื่อง การตอบโต้ที่กัมพูชามีท่าทีที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจากการขึ้นมากล่าว speech ด้วยเนื้อหาที่ตรงกันข้ามจากสิ่งที่คุยกันในที่ประชุม 4 ฝ่ายในวันก่อน
หรือการโต้แย้งที่เหมือนการ “เสียบประจานทางการทูต” ที่กล่าวแบบตรงไปตรงมาว่ากัมพูชาชอบทำตัวเป็น victim เพื่อฟ้องประชาคมโลก หรือการบอกเล่าข้อเท็จจริงในอดีต ที่ไทยเราเอื้อเฟื้อเปิดด่านให้ประชาชนกัมพูชาอพยพหนีตายมาตั้งแคมป์อยู่อาศัยในไทยตั้งแต่ช่วงที่กัมพูชามีปัญหาสงครามในประเทศ และมาตั้งรกรากอยู่กันยาวนานจนลืมไปแล้วว่าเป็นดินแดนที่ตัวเองอยู่อาศัยเป็นของใคร ฯลฯ
1
หากเราพิจารณาในภาพรวม เราจะเห็นได้ว่าทางกระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมเนื้อหาของถ้อยแถลงทั้งหมด มาเพื่อ “วางกรอบการรับรู้” (Framing) ให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าไทยอยู่ในฝั่งที่ป้องกันตัวเองไม่ได้เป็นผู้เริ่ม และตอกย้ำว่าไทยมีจุดยืนที่ “ไม่ยอมถอย” เรื่องอธิปไตย และจะทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกอย่างสันติต่อปัญหาปัจจุบันกับกัมพูชา
แต่ที่เป็น “ทีเด็ดทีขาด” และเป็น Key Message ที่ผมอยากให้ทุกคนมองร่วมกันตรงนี้คือประโยคนี้ครับ
“...วันนี้ ประเทศของเราทั้งสองกำลังเผชิญกับทางเลือกที่ชัดเจน ในฐานะเพื่อนบ้านและมิตรสหาย เราต้องถามกัมพูชาว่าพวกเขาต้องการเลือกเส้นทางใด ระหว่างเส้นทางแห่งการเผชิญหน้าอย่างต่อเนื่อง หรือเส้นทางแห่งสันติภาพและความร่วมมือ - ประเทศไทยเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพ เพราะเราเชื่อว่าประชาชนของทั้งสองประเทศสมควรได้รับสิ่งเดียวกันนี้
1
แต่เราตั้งคำถามอย่างแท้จริงว่า กัมพูชามีเจตนาที่จะร่วมมือกับเราในการแสวงหาสันติภาพหรือไม่ - สำหรับประเทศไทย การเจรจา ความไว้วางใจ และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นหนทางสู่อนาคต เราจะยังคงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ในการมีส่วนร่วมกับพันธมิตรทั้งในอาเซียนและประเทศอื่นๆ รวมถึงมหาอำนาจ เพื่อแสวงหาสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างยั่งยืน...”
1
ประโยคนี้มีความเด็ดขาดในตัวเอง เพราะเป็นการขีดเส้นตาย (Red Line) ไว้ชัดเจนว่ากัมพูชาตอนนี้มีสองหนทางให้เลือก จะรบกันไปแบบนี้ หรือจะยอมมานั่งคุยกันดี ๆ
ประโยคนี้เป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อนานาประเทศให้มองเห็นร่วมกันว่า เราคือประเทศที่ไม่ต้องการทำสงครามหรือต้องการไปรุกล้ำดินแดนใคร และใจกว้างพอในฐานะมิตรประเทศที่จะเปิดช่องชักชวนให้กัมพูชาได้ยั้งคิด ตั้งสติกลับมาคุยกันดี ๆ
โดยชี้ให้เห็นอนาคตของทั้งสองประเทศที่ต้องเกื้อหนุนอยู่ด้วยกันไปตลอดในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ย้ายหนีจากกันไปไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นการวางแนวยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างรอบคอบ มีเหตุผลและสอดคล้องกับผลประโยชน์ในระยะยาว คือมุ่งไปที่การทูตเป็นหลัก (Diplomacy First) พร้อมกับรักษาความสามารถในการป้องกันเป็นปัจจัยต่อรอง (Credible Deterrence) ได้อย่างเหมาะสมกับปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
1
ผมขอย้อนกลับมาที่แนวคิดในเรื่อง “ความมั่นคงแห่งชาติ” (National Security) ซึ่งหากเราไปดูในบริบทของเนื้อหามันจริงๆ ไม่ได้หมายถึงการใช้กำลังทหารเท่านั้น แต่คือการผสมผสานทั้งพลังทั้งด้านแข็งและด้านอ่อน (Hard and Soft Power) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ หากเรามองปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาผ่านเลนส์แนวคิดนี้
จะเห็นได้ชัดว่า การตอบโต้ด้วยอารมณ์หรือการเร่งเร้าให้มีการเผชิญหน้า ไม่ได้ทำให้เราได้เปรียบ แต่กลับลดทอนพื้นที่ทางการทูตที่เราจำเป็นต้องใช้ในระยะยาวไปอย่างน่าเสียดาย
บางคนอาจตีความว่าการใช้ช่องทางทางการทูตเป็นแนวทางหลักในการเจรจาเรื่องข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา เป็นการแสดงออกของการต่างประเทศที่ “อ่อนแอ” หรือยอมอ่อนข้อ (appeasement) ต่อฝ่ายตรงข้าม และอาจถูกตีความว่าเป็นการเกรงอกเกรงใจจนเสียเปรียบ ซึ่งเปิดช่องให้กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ปลุกกระแสรักชาติแบบสุดโต่งออกมาเรียกร้องการใช้กำลังตอบโต้
ตั้งแต่ใช้กำลังปราบปรามความวุ่นวายตามแนวชายแดน ไปจนถึงการแสดงกำลังทางทหารตอบโต้อย่างรุนแรงเต็มรูปแบบ หรือเลยเถิดไปจนถึงแนวคิดการทำสงครามเพื่อยึดคืนดินแดนที่เคยอยู่ในเขตพิพาทสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทกำหนดเส้นเขตแดน ทำให้ประเด็นนี้ถูกนำไปปลุกกระแสแบบผิดทิศผิดทางจนเสี่ยงจะลุกลามเกินควบคุม
ในมิติด้านความมั่นคงทางทหาร แม้การป้องกันตนเองจะเป็นสิ่งชอบธรรม แต่การเปิดศึกโดยปราศจากกรอบการเจรจารองรับอาจก่อให้เกิดความสูญเสียที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งชีวิตของทหาร ชาวบ้านผู้เคราะห์ร้าย การสิ้นเปลืองงบประมาณเพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ การสูญเสียโครงสร้างพื้นฐานชายแดน ผลกระทบต่อวิถีการใช้ชีวิตของชาวบ้าน ตลอดจนการกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะสงครามไม่ได้จบลงแค่ในสนามรบ
แต่มันจะถูกยกระดับสู่เวทีโลกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในบริบทนั้น “ความชอบธรรม” กลายเป็นอาวุธที่สำคัญยิ่งกว่ากำลังทางทหาร ดังนั้นข้อเสนอเชิงดุดันที่ขับเคลื่อนจากอารมณ์มากกว่าการประเมินเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบคอบรอบด้าน จึงเสี่ยงนำไปสู่การลุกลามบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่
1
ผมเชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากเห็นภาพสงครามยืดเยื้ออย่างที่เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอล–ปาเลสไตน์ รัสเซีย–ยูเครน หรือตัวอย่างจากประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาความขัดแย้ง มาเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเมื่อใดที่ประเทศตกอยู่ในภาวะสงคราม ประตูการเจรจาทางการทูตมักจะถูกปิดลงแทบจะโดยอัตโนมัติ เมื่อช่องทางการเจรจาสันติภาพก็ถูกตัดขาด ก็จะเหลือเพียงหนทางเดียวคือการเผชิญหน้าและสู้รบกันเท่านั้น
ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับนี้ ผมได้รับทราบว่ารัฐบาลมีแนวคิดจะจัดประชาพิจารณ์เรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาในเรื่องการเจรจาเขตแดนทางบก (MOU43) และการเจรจาเขตแดนทางทะเลและพื้นที่เศรษฐกิจทับซ้อนในทะเล (MOU44) ไปพร้อมกับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งปี 69 ซึ่งส่วนตัวผมมองว่า แนวคิดนี้รีบเร่งจนเกินไป และควรมีการทบทวนอย่างรอบคอบเสียก่อนที่จะออกประกาศมาในลักษณะแบบนี้
ผมขอเรียนว่า ผมไม่ได้หมายความว่า MOU ทั้งสองฉบับแตะต้องไม่ได้ หรือยกเลิกไม่ได้ แต่คำถามสำคัญคือ วันนี้ประชาชนเข้าใจ “เนื้อหา ผลกระทบ และทางเลือก” ของ MOU ทั้งสองมากพอแล้วหรือยัง?
1
ขณะที่ความรู้สาธารณะ (Public Knowledge) ยังอยู่ในระดับจำกัด เรากลับผลักให้คนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ต้องมารับผิดชอบตัดสินใจชี้ชะตาในประเด็นที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินได้จากข้อมูลตามกระแสโซเชียลที่ทุกวันนี้ที่คนส่วนใหญ่แทบจะแยกเรื่องจริง (Fact) กับเรื่องแต่ง (Fiction) ยังไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
ลองคิดตามดูนะครับเพียงแค่กระตุ้นวาทกรรมว่า “ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับเพื่อทำให้เราชนะกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศได้” หรือการมองแต่มุมของตัวเองแล้วปักใจเชื่อว่า “MOU ทั้งสองฉบับคือการยอมรับเงื่อนไขที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ” แค่นี้ก็อาจเพียงพอจะปลุกอารมณ์ชาตินิยมให้ลุกลามเกินเลยไปกว่านี้ได้
ที่หนักไปกว่านั้น เริ่มมีขยายไปถึงการกล่าวหาว่าข้อตกลงทั้งสองฉบับ เป็น “MOU ขายชาติ” ใครสนับสนุน MOU ทั้งสองฉบับนี้คือพวกขายชาติ ทั้งที่ข้อกล่าวหาเหล่านี้ตั้งอยู่บนความเข้าใจคลาดเคลื่อน เลื่อนลอยแทบทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่า มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และมีรายละเอียดเชิงประวัติศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ และความมั่นคงซ้อนทับกันแบบแยกไม่ออก แต่หลักการสำคัญที่เราไม่ควรมองข้ามไป และควรมองเป็นจุดแรกก็คือ “เจตนารมณ์ของการจัดทำ MOU”
เนื้อหาของมันมีความชัดเจนมากว่า มันไม่ใช่การยอมจำนน หรือยอมรับเงื่อนไขอะไรใดๆ เพราะเป็นการ “Agree to Negotiate” หรือ “ตกลงกันว่าจะมาเจรจากัน” แค่นั้นเอง ซึ่งเป็นการออกแบบมาเพื่อสร้างกลไกในการเจรจาสองฝ่ายในการทำ “ขั้นตอนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน” เพื่อแก้ไขปัญหาคาราคาซังในเรื่องเขตแดนที่เราทะเลาะกับกัมพูชามาอย่างยาวนานในอดีต
และที่สำคัญ หลายท่านอาจไม่ทราบว่า การเจรจาในกรอบ MOU ทั้งสองฉบับ ถึงแม้จะใช้เวลาเจรจากันมาเนิ่นนานหลายปีไม่จบเสียที แต่ผลการเจรจากลับมีความคืบหน้าไปได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะ MOU43 ที่กำหนดให้มีการตั้งคณะเจรจาสองฝ่ายขึ้นมา คือ
คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือที่เรารู้จักกันในชื่อย่อสั้นๆว่า “คณะกรรมการ JBC – Joint Border Committee” ซึ่งคณะกรรมาธิการร่วมชุดนี้ได้มีการเจรจาสำรวจเพื่อปักปันเขตแดน (Delimitation) ไทย-กัมพูชาตลอดความยาวกว่า 800 กม ให้เกิดการตกลงยอมรับเส้นเขตแดนที่มีความชัดเจนไปมากกว่าครึ่งทางแล้ว
MOU ทั้งสองฉบับนี้จึงเปรียบเสมือนเป็น “กระดุมเม็ดแรก” ที่ต้องกลัดให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะเมื่อกระดุมเม็ดแรกถูกกลัดได้อย่างถูกต้องแล้ว การเจรจาเรื่องอื่น ๆ ในลำดับถัดไปก็จะเหมือนการกลัดกระดุมเม็ดต่อๆ ไป ให้ไล่ไปทีละเม็ดอย่างเป็นระบบ ซึ่งขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ในการ “กลัดกระดุม” หลังจากจากนี้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความยากง่ายของประเด็นเจรจา
ดังนั้น หากเรามองเพียงแค่ว่า “….งั้นยกเลิกไปเลยแล้วกัน เพราะกัมพูชาพูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมทำตาม MOU มีการละเมิดข้อตกลงตลอด…” ก็ยิ่งเป็นเหตุผลที่เราต้องยิ่งรักษากรอบการเจรจาทั้งสองฉบับนี้ไว้ เพราะมันทำให้เรามีหลักฐานอ้างอิง มีพื้นที่ทางกฎหมายและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ที่ช่วยทำให้เรามี Narrative และ Dialogue ที่สร้างน้ำหนักในเวทีโลกได้มากกว่าการฉีก MOU ทิ้งเพื่อความสะใจ
ที่สำคัญ การยกเลิก MOU สองฉบับนี้มีความเสี่ยงเป็นอย่างมากที่จะทำให้กัมพูชาได้ช่องนำเรื่องนี้ไปฟ้องศาลโลก เพราะอ้างได้ว่าไทยเป็นฝ่ายฉีกสัญญา ทำให้ไม่เหลือกลไกทวิภาคีให้เจรจาสองฝ่ายได้ ซึ่งกลายเป็นคนไทยซะเอง ที่ช่วยส่งบท “ดาวพระศุกร์ ” ให้กัมพูชาเอาไปเล่นในเวทีโลกได้อีกครั้ง ซึ่งหากเป็นแบบนี้ เราก็จะไม่มีอะไรในมือไปบังคับเค้าได้แล้ว
อีกหน่อย หากเราต้องขึ้นไปกล่าวถ้อยแถลงของไทยในเวทีโลกอีกครั้ง ต่อให้พูดดีแค่ไหน ก็ไม่มีใครรับฟัง เพราะเราโยน “ความชอบธรรม” ทั้งหมดที่เรามีทิ้งไปหมดแล้ว เพราะทุกวันนี้ การที่เราถูกท้าทายบนเวทีระหว่างประเทศ
สิ่งที่สร้างความชอบธรรมและใช้โต้กลับกัมพูชาในเรื่องเขตแดนได้อย่างมีน้ำหนักมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ MOU ทั้งสองฉบับนี่เอง เราสามารถชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากัมพูชาละเมิดเงื่อนไขใดในเอกสารนี้ และใช้เอกสารนี้เป็นฐานของการเจรจาทางการทูตเชิงรุกได้ทันที จึงไม่ใช่ภาระหรือบ่วงผูกมัดอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ผมขอบอกเลยว่า ทันทีที่เรา “ตัด” ช่องทางเหล่านี้ทิ้ง เราจะเหลือแค่เพียงสองทางเลือก ปล่อยให้สถานการณ์บีบคั้นจนเกิดการปะทะ หรือปล่อยให้ศาลโลกและชาติมหาอำนาจเข้ามากำหนดชะตาแทนเรา ซึ่งทั้งสองทางต่างไม่ใช่แนวทางที่สร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้เลย
เมื่อพิจารณาร่วมกับมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคง ไปจนถึงมิติด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตลอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
เราอาจเห็นได้ว่า ความขัดแย้งที่ถูกปลุกด้วยวาทกรรมชาตินิยมสุดโต่ง ไม่ได้ทำให้ไทย “เข้มแข็ง” ได้เลย แต่กลับทำให้เรา “ตีกรอบล้อมตัวเอง” และเสียต้นทุนทางยุทธศาสตร์ความมั่นคงและการต่างประเทศโดยใช่เหตุ
หัวใจสำคัญจึงไม่ใช่การเลือกระหว่าง “อ่อนข้อ” หรือ “ปะทะ” แต่คือ การรักษาความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ด้วยสติ เดินเกมการทูตอย่างมืออาชีพ และไม่ทำลายเครื่องมือที่เราจำเป็นต้องใช้ต่อไปในอนาคต เพราะสุดท้ายแล้ว เรากับกัมพูชาคือประเทศเพื่อนบ้านที่หลีกเลี่ยงกันไม่ได้ และประชาชนสองฝั่งพรมแดนต้องอยู่ร่วมกันต่อไป ไม่ว่าอารมณ์การเมืองจะพยายามผลักให้เราต้องมีการเผชิญหน้ากันอย่างมากแค่ไหนก็ตาม
หากกลับไปอ่านตำราพิชัยสงครามของซุนวู บทที่ว่าไว้เรื่องการโจมตีด้วยกลอุบาย (The Attack by Stratagem) ยุทธศาสตร์สำคัญที่กล่าวไว้ในบทนี้ก็คือ “ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการเอาชนะศัตรูโดยไม่ต้องรบ” ซึ่งหมายถึง การใช้การวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพื่อการเจรจา การสร้างพันธมิตร เพื่อทำลายแผนการของศัตรูและทำให้ศัตรูอ่อนแอจากภายใน
แทนที่จะเริ่มวางแผนใช้กำลังเข้าสู้รบกันตั้งแต่แรก ซึ่งจะต้องแลกมาด้วยการเสียเลือดเนื้อและทรัพยากร แนวคิดนี้ ถือเป็นแนวคิดเชิงคลาสสิคที่สำคัญของนักวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ และถูกนำมาประยุกต์ใช้กับแนวคิดในการเจรจาทางการทูตมาแล้วนักต่อนัก
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงไม่ควรวิ่งตามกระแส หรือบ้าจี้ไปกับความสะใจชั่ววูบ แต่เราควรเลือกที่จะยืนในเวทีโลกด้วยความสง่างาม ยืนด้วยหลักการ ยืนอย่างมีเหตุผล ยืนอยู่ในจุดที่ทำให้เรา “ชนะได้โดยไม่ต้องรบ” และ “รักษาผลประโยชน์โดยไม่ต้องปิดประตูเจรจา”
thansettakij.com
จากเวทีโลกสู่แนวชายแดน จะเกิดอะไรหากไทยเดินเกมยกเลิก MOU 43/44
บทความพิเศษ จากเวทีโลกสู่แนวชายแดน จะเกิดอะไรหากไทยเดินเกมยกเลิก MOU 43/44 วิเคราะห์ความเป็นไปได้และแนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นฉากต่อไปของประเทศไทย
10 บันทึก
13
5
21
10
13
5
21
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย