3 ต.ค. เวลา 08:48 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

How to tell if your tiredness is actually compassion fatigue

หากความเหนื่อยล้าของคุณเป็นความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้
แนวคิดเรื่อง “ความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ” ถูกนำเสนอครั้งแรก ในบริบทของพยาบาล ที่ใช้เวลาทำงานดูแลผู้ป่วย แสดงความเห็นอกเห็นใจ และความเข้าอกเข้าใจ และบางครั้ง ก็ได้เห็นผู้ป่วย ต้องเผชิญกับประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ
ความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ compassion fatigue คือ ภาวะความอ่อนล้าทางอารมณ์ จิตใจ และร่างกาย ที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ และแบกรับความทุกข์ทรมานของผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คนที่เป็น รู้สึกหมดพลัง หดหู่ วิตกกังวล หรือแม้กระทั่ง ชินชาต่อความเจ็บปวดของผู้อื่น ภาวะนี้มักพบในผู้ที่ต้องดูแลผู้อื่น เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ให้คำปรึกษา หรือผู้ดูแลคนในครอบครัวที่ป่วย หรือ เห็นหรือต้องดูแลสัตว์ป่วย ทุกข์ทรมาน หรือเห็นการตาย
ความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ มีสองส่วนหลักๆ คือ ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ และบางครั้งก็มีบาดแผลทางใจที่เกิดจากการเห็นผู้อื่น หรือเห็นสัตว์ต้องทนทุกข์ทรมาน
แน่นอนว่า ไม่ใช่แค่พยาบาลเท่านั้นที่มีความเสี่ยง แต่อาจส่งผลกระทบต่อทุกคนในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วย หรืออาชีพที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องมีส่วนร่วมทางอารมณ์กับผู้อื่น และ/หรือเห็นผู้อื่นเผชิญกับประสบการณ์ที่ยากลำบาก
แม้จะอยู่นอกเหนือหน้าที่การงานอย่างเป็นทางการดังที่กล่าวมา คุณก็อาจมีความเสี่ยงได้ หากว่าคุณใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปกับการแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ให้ผู้อื่น และ/หรือ เห็นสิ่งพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมาน
งานวิจัยเกี่ยวกับพยาบาล เผยให้เห็นว่า ความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ สามารถแสดงออกได้อย่างน้อยสองลักษณะหลัก
ประการแรก คือ ความรู้สึกชาทางอารมณ์ คือ ภาวะที่บุคคลรู้สึก "ชา" หรือ "ว่างเปล่า" จากอารมณ์ต่างๆ ทั้งด้านบวกและด้านลบ เป็นกลไกป้องกันทางจิตใจ ที่เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับความเครียดหรือบาดแผลทางใจที่รุนแรง เพื่อหยุดยั้งความเจ็บปวดทางอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา ภาวะนี้ อาจแสดงออกมาในรูปแบบของการขาดความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ รู้สึกห่างเหินจากผู้อื่น หรือรู้สึกว่าตนเอง ด้านชา หรือ ไร้ความรู้สึก
ประการที่สอง คือ อาการทางร่างกาย ซึ่งอาจมีตั้งแต่ ปวดท้อง อ่อนเพลีย และนอนหลับยาก
งานวิจัยในปี 2022 ได้สัมภาษณ์พยาบาล และคำอธิบายบางส่วนของพยาบาลเหล่านั้น ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น หนึ่งในนั้นอธิบายว่า เป็น "ความเหนื่อยล้าที่แปลกออกไป รู้สึกขุ่นมัว รู้ลึกว่ามันฝังอยู่ลึกๆ และครอบคลุมไปจนทั่วร่างกาย เหมือนกับว่าอยู่ในท่ามกลางก้อนเมฆ หรือจะคล้ายๆ กับเหนื่อยล้าจากอาการเมาค้าง"
พยาบาลอีกคนหนึ่งกล่าวถึง ความรู้สึกชาทางอารมณ์ โดยกล่าวไว้ดังนี้ว่า “มันก็เหมือนกับการที่เราสวมชุดอลูมิเนียมฟอยล์ ในบางแง่ สิ่งที่พูดไปก็ไม่ได้เข้ามาถึงฉันทั้งหมด เพราะว่าคำพูดที่พูดมานั้น ส่วนมากมันก็เด้งกลับคืนไป และมันมักเด้งกลับคืนไปอยู่เช่นนี้เสมอ”
น่าเสียดาย ที่งานวิจัยเกี่ยวกับความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจแสดงให้เห็นว่า ความเหนื่อยล้านี้ สามารถคงอยู่ต่อไปได้ ผลกระทบที่เกิดความรู้สึกชาทางอารมณ์ อาจทำให้คุณเริ่มแสร้งทำเป็นว่า ห่วงใยและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แม้ในความเป็นจริงแล้ว คุณไม่ได้รู้สึกห่วงใยและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเลย
ภาวะที่คุณไม่ได้รู้สึกห่วงใยและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนี้ ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจและเครียด และยิ่งจะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้นไปอีก
มันอาจทำให้คุณตั้งคำถามกับคุณค่าของตัวเอง เช่น ฉันอยากเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่น แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้สึกเป็นห่วงคนๆ นี้บ้างล่ะ ซึ่งทำให้คุณตั้งคำถามกับความรู้สึกของตัวเอง
ข่าวดีก็คือ ขณะนี้มีงานวิจัยหลายชิ้น แม้งานวิจัยจะมีคุณภาพที่แตกต่างกันไป แต่งานวิจัยก็ชี้ให้เห็นถึง วิธีรับมือและเอาชนะความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ
แนวทางหลัก ในการรับมือและเอาชนะความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ คือ การพยายามฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจตนเอง ความเห็นอกเห็นใจตนเอง จะเกี่ยวข้องกับ การหาเวลาพักผ่อนจากการดูแลผู้อื่น ซึ่งอาจหมายถึงอะไรก็ได้ ตั้งแต่การสละเวลาไปเดินเล่นในธรรมชาติ ฝึกสติ ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ดูทีวี หรือหาเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ
ฟังดูวิธีในการรับมือก็ชัดเจนดี แต่การทำแบบนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ แต่มีอีกเคล็ดลับหนึ่งคือ การจินตนาการถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง ที่คุณจะมอบให้กับเพื่อนที่มีความหมายต่อคุณมาก แล้วนำคำแนะนำนั้น มาปรับใช้กับตัวของคุณเอง
ผู้เขียน : Christian Jarrett (cognitive neuroscientist)
แปลไทยโดย : Wichai Purisa (senior scientist)
โฆษณา