4 ต.ค. เวลา 02:07 • ข่าว

"ปลาหมอคางดำ": ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาจากภาครัฐ ที่แลกมาด้วยชีวิตและวิกฤตที่ไหลไปกับสายน้ำ

ปัญหาการแพร่ระบาดของ ปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron)ไม่ใช่เพียงวิกฤตทางชีวภาพและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่คือโศกนาฏกรรมที่เปิดโปง ความล้มเหลวเชิงโครงสร้างและการจัดการที่ล่าช้าของภาครัฐ ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษ ภัยพิบัติจากปลาเอเลี่ยนสปีชีส์ชนิดนี้ได้ขยายวงกว้าง สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศและชีวิตของผู้คนอย่างไม่สามารถประเมินค่าได้ โดยเฉพาะเมื่อ ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่าง "น้ำท่วม" เข้ามาผสมโรง ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างไม่อาจย้อนกลับ
โศกนาฏกรรมที่แพรกหนามแดง: บทพิสูจน์ความเสียหายที่ "ถึงชีวิต"
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดและเป็นภาพสะท้อนวิกฤตนี้อย่างชัดเจนคือ ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและประมงชายฝั่งที่เคยอุดมสมบูรณ์ ความเสียหายจากปลาหมอคางดำมิได้หยุดอยู่แค่ตัวเลขการขาดทุนทางเศรษฐกิจ (ซึ่งมีการประเมินว่า ตำบลแพรกหนามแดง เพียงตำบลเดียวเสียหายกว่า 131 ล้านบาทต่อปี) แต่ได้พรากชีวิตของผู้ประกอบอาชีพไปแล้ว
มีรายงานข่าวที่ยืนยันถึงกรณีสลดของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง/ปลาในพื้นที่ ตำบลแพรกหนามแดง ที่ตัดสินใจจบชีวิตตนเอง เนื่องจากความเครียดและปัญหาหนี้สินที่ถาโถม หลังผลผลิตในบ่อถูกปลาหมอคางดำรุกรานและทำลายจนหมดสิ้น คำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่สะท้อนถึงความสิ้นหวังว่า "คนอื่นเขาผูกคอตายกันไปก็มี เพราะเป็นหนี้เป็นสินเขา มันก็เกิดจากปลาหมอคางดำนี่แหละ"
โศกนาฏกรรมเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาของภาครัฐที่ล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ และการไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบต้นตอการระบาดมาเยียวยาได้ทันท่วงที ได้ผลักดันให้ชาวบ้านต้องเผชิญกับวิกฤตเพียงลำพัง จนบางคนตัดสินใจเลือกทางออกที่เลวร้ายที่สุด
น้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้: ตัวเร่งวิกฤตการณ์ที่รัฐไม่สามารถหยุดยั้งได้
แม้จะมีแผนปฏิบัติการและงบประมาณหลายร้อยล้านบาทออกมาเพื่อ "กำจัด" และ "ควบคุม" แต่ความพยายามเหล่านั้นก็เปรียบเสมือนการแก้ปัญหาปลายน้ำ ในขณะที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติได้เข้ามาทำลายความพยายามทั้งหมด
สถานการณ์น้ำท่วม ถือเป็น กลไกเร่งการแพร่กระจาย ของปลาหมอคางดำที่ร้ายแรงที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่อย่าง สมุทรสงคราม ที่มีระบบคลองเชื่อมต่อกับบ่อเลี้ยงอย่างซับซ้อน เนื่องจาก:
การหลุดรอดจากบ่อเลี้ยง: เมื่อระดับน้ำในคลองหรือแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นจนท่วมข้ามคันบ่อเลี้ยงกุ้งหรือปลาของเกษตรกร ทำให้ ปลาหมอคางดำจำนวนมหาศาลที่สะสมอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติสามารถไหลทะลักเข้าสู่บ่อเลี้ยง และทำลายผลผลิตที่เหลืออยู่
การขยายพื้นที่ระบาด: ในทางกลับกัน ปลาหมอคางดำที่อยู่ในบ่อเลี้ยงและแหล่งน้ำตามธรรมชาติจะสามารถไหลไปตามกระแสน้ำท่วม ไปสู่พื้นที่ใหม่ ๆ หรือพื้นที่ "กันชน" ที่ก่อนหน้านี้ยังไม่พบการระบาด ทำให้ขอบเขตของภัยพิบัติขยายวงกว้างขึ้นอย่างรวดเร็วและยากจะทำแผนที่การควบคุมได้ทัน
ทุกครั้งที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ความหวังของเกษตรกรในการฟื้นฟูบ่อก็จะพังทลายลง พร้อมกับการเพิ่มจำนวนและขยายอาณาเขตของปลาหมอคางดำ นี่คือ วัฏจักรแห่งความล้มเหลว ที่ภาครัฐไม่สามารถหามาตรการป้องกันเชิงรุกที่เข้มแข็งพอที่จะรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติได้
บทสรุป: ความรับผิดชอบที่รัฐต้องจ่ายด้วยความจริงจัง
ปัญหาปลาหมอคางดำจึงเป็นหลักฐานอันเจ็บปวดที่ชี้ว่า การจัดการภัยพิบัติทางชีวภาพของไทยยังคงล้มเหลว การประกาศเป็น "วาระแห่งชาติ" และการทุ่มงบประมาณจำนวนหนึ่งไม่สามารถทดแทน ความล่าช้าในการเริ่มต้น, ความหละหลวมในการกำกับดูแลต้นตอการนำเข้า, และการขาดมาตรการป้องกันความเสียหายเชิงรุก ที่คำนึงถึงผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าด้วยมาตรการที่เน้นการ "ตามเก็บ" แทนการ "รับผิดชอบ" และ "ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง" เพื่ออุดช่องโหว่ทางกฎหมายและสร้างระบบเฝ้าระวังที่เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับทุกปัจจัยเสี่ยง (รวมถึงน้ำท่วม) ปลาหมอคางดำก็จะยังคงดำรงอยู่ต่อไปในฐานะ สัญลักษณ์ของความล้มเหลวที่คร่าชีวิตและทำลายระบบนิเวศของชาติอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจาก ต.แพรกหนามแดง คุณคิดว่าภาครัฐควรต้องเร่งออก "มาตรการฉุกเฉิน" ใดเป็นพิเศษ เพื่อจัดการกับการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำในช่วงที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม?
โฆษณา