Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
4 ต.ค. เวลา 02:45 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
🤔 “Scrum, Kanban, Waterfall หรือ Lean Startup? หรือ “คำถามที่ผิดมาตั้งแต่ต้น?”
กรณีศึกษาเช่นเราจะเลือกใช้กระบวนการใดในองค์กรหนึ่ง? เมื่อยุคนี้ “วิธีการทำงาน” ให้เหมาะกับ “ลักษณะของงาน” สำคัญกว่า “ชื่อ Framework”?
====
💥 ข้อโต้เถียงเรื่องกระบวนการทำงานที่เรามักได้ยิน?
ใครที่เคยอยู่ในการประชุมวางแผนโปรเจกต์คงคุ้นตากับเสียงเหล่านี้?
* “ทีมเราต้องใช้ Scrum เท่านั้น!”
* “ไม่จริง Kanban ยืดหยุ่นกว่า!”
* “แต่แผนงานที่อนุมัติมามันเป็น Waterfall อยู่นะ!” เป็นต้น
การถกเถียงแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเถียงว่า “ค้อน” หรือ “ไขควง” ดีกว่ากัน โดยไม่เคยมองว่างานตรงหน้าคือ “ตะปู” หรือ “สกรู” กันแน่?
ดังนั้น คำถามที่ถูกต้องไม่ใช่ว่า “Framework ไหนดีที่สุด?” แต่คือ “งานที่เรากำลังทำมีลักษณะแบบไหน? และควรใช้เครื่องมือใดจึงจะเหมาะที่สุด?”
องค์กรที่เก่ง ไม่ใช่คนที่บังคับทีมให้ใช้ “Framework เดียวตายตัว” แต่คือความสามารถที่จะ “วินิจฉัยลักษณะงาน” ได้ แล้วเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้งานสำเร็จได้จริง
====
🧬 “DNA ของงาน” หรือวิธีสังเกตลักษณะงานอย่างง่าย?
หลายคนอาจสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าโปรเจกต์หนึ่งควรใช้ Scrum, Kanban หรือ Waterfall วิธีคิดที่เข้าใจง่ายคือการตั้งคำถามเพียงสองข้อ โดยมองให้เหมือนเรากำลังตรวจสุขภาพงานว่าเข้าข่ายแบบไหน?
1. เรารู้แล้วหรือยังว่า ต้องทำอะไร? (What) → ความต้องการชัดเจนหรือยัง? เช่น ลูกค้าระบุฟีเจอร์หรือผลลัพธ์ไว้ครบถ้วนหรือยัง?
2. เรารู้แล้วหรือยังว่า ต้องทำอย่างไร? (How) → วิธีการและเทคโนโลยีที่ใช้แน่นอนหรือยัง? เช่น มีขั้นตอนหรือเครื่องมือชัดเจนอยู่แล้วหรือยัง?
คำตอบจากสองคำถามนี้จะช่วยสร้าง “แผนที่งาน” ที่แบ่งออกเป็น 4 แบบให้เข้าใจง่าย เหมือนกับการดูแผนที่เพื่อเลือกเส้นทางเดินทาง แต่ละแบบก็จะมีเฟรมเวิร์กที่เหมาะสมต่างกันไป
====
🛠️ เลือกเครื่องมือให้ถูกกับงาน?
1. รู้ What + รู้ How → Waterfall
* ลักษณะงาน: เป็นงานที่ทุกอย่างมีความชัดเจนตั้งแต่ต้น เช่น การสร้างตึกตามแบบแปลนที่อนุมัติแล้ว หรือการผลิตสินค้าตามสูตรที่ตายตัว งานประเภทนี้เหมือนกับการทำอาหารตามสูตรสำเร็จ ไม่ต้องดัดแปลงมาก เพียงทำตามขั้นตอนก็ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง
* ทำไมเหมาะ: เพราะสามารถวางแผนเป็นลำดับขั้นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงน้อย ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองชัดเจน คล้ายการก่อสร้างสะพานที่ต้องคุมงบ คุมเวลา และคุมคุณภาพให้ได้ตามสัญญา
* เช่น การติดตั้งระบบ Payroll หรือ ERP ที่มี Scope ตายตัวและมาตรฐานชัดเจน เหมือนกับการซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่ต้องปรับใช้ให้ตรงตามคู่มือ
* เคสด้านบนนี้คือตัวอย่างหลายองค์กรพยายามเอา Scrum ไปใช้ แต่ลืมไปว่า workflow งานต้องทำอะไร? และ user ทำอย่างไร? เอาแต่ไป empathise or ideation ซึ่งไม่ใช่สิ่งจำเป็นหากมีกระบวนการทำงานมาตรฐานแล้ว ไปทำแบบนั้นยิ่งเสียเวลา และระบบที่ออกมาก็จะออกทะเลโดยมาก)
2. รู้ What + ไม่รู้ How → Scrum
* ลักษณะงาน: เป็นงานที่รู้เป้าหมายคร่าวๆ ว่าอยากได้อะไร? แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปถึงจุดนั้นอย่างไร? เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ หรือการสร้างฟีเจอร์ที่ไม่เคยทำมาก่อน งานลักษณะนี้เปรียบเหมือนการทำอาหารเมนูใหม่ที่มีภาพในหัว แต่ยังต้องลองส่วนผสมและรสชาติจนกว่าจะลงตัว
* ทำไมเหมาะ: เพราะ Scrum ออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ใช้รอบการทำงานสั้นๆ (Sprint) เพื่อลองทำต้นแบบ ทดสอบกับผู้ใช้จริง รับฟีดแบ็ก แล้วนำไปปรับปรุงทันที ลดความเสี่ยงในการพัฒนาไปไกลแล้วไม่ตอบโจทย์
* เช่น Startup ไทยที่ทำ e-commerce ทดลองระบบ Live Commerce (อาจเป็น plug-in ผ่าน YouTube เลยแบบง่ายๆ ก่อน) เพื่อตรวจสอบว่าผู้ใช้ตอบสนองหรือไม่ หากไม่เวิร์กก็สามารถหมุนกลับ ปรับใหม่ได้เร็ว ไม่เสียเวลาทำทั้งปีแล้วค่อยรู้ว่าไม่เข้าตลาด เป็นต้น
3. ไม่รู้ What + รู้ How → Kanban
* ลักษณะงาน: เป็นงานบริการหรือ support ที่ไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเข้ามาเมื่อไหร่ แต่พอรู้แล้วก็มีวิธีแก้ปัญหาชัดเจน เช่น Call Center ที่ไม่รู้ว่าลูกค้าจะโทรมาเรื่องอะไร แต่ก็มีคู่มือแก้ปัญหา หรือ IT Helpdesk ที่ไม่รู้ว่าเครื่องไหนจะเสียเมื่อไหร่ แต่ก็มีวิธีแก้ไขมาตรฐาน
* ทำไมเหมาะ: Kanban เน้นการไหลของงาน (Flow) โดยใช้บอร์ดให้ทีมเห็นงานทั้งหมดพร้อมกัน และจำกัดปริมาณงานที่กำลังทำ (WIP Limit) เพื่อไม่ให้ทีมรับงานเกินกำลังจนเกิดคอขวด
* เช่น โรงพยาบาลที่แผนกฉุกเฉินไม่รู้ว่าจะมีผู้ป่วยเข้ามาเมื่อใด แต่แพทย์และพยาบาลมี Protocol การรักษาที่ชัดเจน คล้ายการใช้ Kanban Board ที่จัดคิวผู้ป่วยตามความเร่งด่วน เป็นต้น
4. ไม่รู้ What + ไม่รู้ How → ทดลองใช้ Lean Startup
* ลักษณะงาน: เป็นงาน “นวัตกรรมใหม่” ที่ไม่แน่ใจแม้แต่ปัญหายังมีอยู่จริงหรือไม่ เช่น การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ งานแบบนี้เหมือนกับการลองทำเมนูอาหารใหม่ที่ไม่รู้ว่าลูกค้าจะชอบหรือไม่
* ทำไมเหมาะ: Lean Startup ใช้วงจร Build-Measure-Learn คือการสร้างต้นแบบเล็กๆ ออกมาทดลอง วัดผลลัพธ์ และเรียนรู้เพื่อนำไปปรับปรุงอย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงในการลงทุนก้อนใหญ่ตั้งแต่แรก
* เช่น SME ไทยที่อยากลองขาย Plant-based Food แต่ยังไม่รู้ว่าตลาดจะยอมรับหรือไม่ จึงทดลองขายตามงานแฟร์หรือเปิดบูธเล็กๆ ก่อนที่จะลงทุนทำโรงงานจริง หากฟีดแบ็กดีจึงค่อยขยาย
====
🤖 แต่พอ AI Disruption มา—> “Framework เดิมไม่พออีกต่อไป?”
ในยุคปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง ทำให้การยึดติดกับ Framework แบบเดิม (จะ Scrum, Kanban, Waterfall หรือ Lean Startup) อาจไม่ทันการณ์และไม่ตอบโจทย์? ตัวอย่างสถานการณ์เช่น
* AI ช่วยสรุป Requirement (What) ได้เร็วขึ้นมาก เช่น ใช้ ChatGPT หรือระบบวิเคราะห์ภาษาธรรมชาติช่วยประมวลผล Feedback ลูกค้าหลายพันข้อความภายในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งในอดีตต้องใช้ทีมงานหลายวัน
* AI ช่วยในส่วนของ How เช่น การเขียนโค้ดเบื้องต้น การสร้าง Test Case อัตโนมัติ หรือการออกแบบ Design Mockup ภายในเวลาอันสั้น ทำให้นักพัฒนาและดีไซเนอร์มีเวลาไปโฟกัสกับงานที่ซับซ้อนและใช้ความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเดิม
ดังนั้น คำถามใหม่ที่ต้องถามเพิ่มเติมจากเดิมว่า “เราจะใช้ AI เสริม Framework ที่เลือกได้อย่างไร?” ไม่ใช่เพียงว่าจะเลือกกระบวนการเดิมๆ เช่น Scrum, Kanban, Waterfall หรือ Lean Startup อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น เช่น
* ทีม Digital Marketing ใช้ Kanban Board ควบคู่กับ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพโฆษณาแบบเรียลไทม์ เช่น คลิกต่อโฆษณาหรือ Conversion Rate ทำให้ผู้จัดการสามารถตัดสินใจปรับงบหรือเปลี่ยนข้อความโฆษณาได้ทันที ไม่ต้องรอรายงานสิ้นเดือน
* ทีม Product ใช้ Scrum ผสมกับ AI Generative Design เพื่อสร้าง Prototype หลากหลายเวอร์ชันภายในวันเดียว แล้วนำไปทดสอบกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจริง การได้ Feedback เร็วขึ้นทำให้ทีมปรับฟีเจอร์ได้ทันท่วงทีและลดการเสี่ยงที่จะพัฒนาแล้วไม่ตอบโจทย์ตลาด
* ทีมบริการลูกค้าในไทยบางแห่งเริ่มใช้ AI Chatbot คอยตอบคำถามพื้นฐานก่อน ส่งเคสซับซ้อนต่อให้พนักงานจริง พร้อมทั้งเก็บข้อมูลเชิงลึกไว้บน Kanban Board ทำให้ทีมงานรู้ลำดับความสำคัญและแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
เมื่อมองแบบนี้ เราจะเห็นว่า AI ไม่ได้มาแทนที่ Framework แต่ทำหน้าที่เป็น "ผู้ช่วยร่วมโต๊ะ" ที่ช่วยให้ทุกเฟรมเวิร์กทำงานได้เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และสร้างคุณค่ามากขึ้น
====
📊 โลกจริง —> “งานส่วนใหญ่จะกลายเป็น Hybrid?”
ในโลกการทำงานจริงๆ แทบไม่มี Project ไหนที่เป็นรูปแบบเดียวแบบ 100% ส่วนใหญ่มักจะเป็นงานผสม (Hybrid) ที่ต้องใช้แนวทางหลายแบบมาประกอบกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
* โปรเจกต์สร้างแอปใหม่: ใช้ Scrum เพื่อพัฒนาและทดลองฟีเจอร์ใหม่ๆ แบบสั้นๆ แต่เมื่อถึงขั้นตอนเชื่อมต่อกับระบบหลังบ้านเดิมขององค์กร เช่น ระบบบัญชีหรือระบบ ERP มักต้องใช้แนวทาง Waterfall ที่วางแผนละเอียดและตรวจสอบเข้มงวด เพราะผิดพลาดไม่ได้
* Call Center: ลักษณะงานประจำวันคือการรับสายที่คาดเดาไม่ได้ เหมาะกับ Kanban ที่เน้นการจัดคิวและบริหารการไหลของงาน แต่ในเวลาเดียวกันทีมเดียวกันอาจกำลังพัฒนา Chatbot หรือระบบ AI เพื่อช่วยตอบคำถามซ้ำๆ ซึ่งต้องใช้ Scrum ในการลองผิดลองถูกและปรับจาก Feedback ของลูกค้า
* โรงพยาบาลเอกชน: แผนกฉุกเฉินต้องใช้ Kanban เพื่อรับมือผู้ป่วยที่เข้ามาแบบไม่รู้ล่วงหน้า แต่หากทีมวิจัยยากำลังพัฒนายาใหม่เพื่อทดลองคลินิก ก็อาจจะใช้ Lean Startup เพื่อทดสอบเล็กๆ ก่อนขยายผลจริง
* ธนาคารไทย: ทีม Digital Product ใช้ Scrum เพื่อสร้าง Mobile Banking รุ่นใหม่ แต่ฝ่ายกำกับดูแลกฎหมาย (Compliance) ยังต้องใช้ Waterfall ที่เอกสารและขั้นตอนทุกอย่างชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับของธนาคารแห่งประเทศไทย
ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า แต่ละงานในองค์กรเดียวกันยังต้องใช้เครื่องมือที่ต่างกัน การเถียงกันว่า “Scrum ดีกว่า Kanban” จึงไม่มีประโยชน์ สิ่งสำคัญคือการ หยิบส่วนที่ดีที่สุดจากแต่ละเฟรมเวิร์ก มาผสมให้เหมาะกับงานและบริบทจริงของเรา
====
🇹🇭 สำหรับองค์กรไทยที่เราชอบ copy มาใส่ หรือเชื่อที่ปรึกษาที่มาขายโดยไม่เข้าใจตัวเอง จะต้องปรับตัวอย่างไรจากนี้?
1. เราฮิตมากในหลายปีที่ผ่านมาว่าทำองค์กรต้องทำ Agile (แล้วหน้าตาก็ออกมาเป็น Scrum team ทั้งโครงสร้างองค์กร)
* จงเลิก Agile แบบยึดติด เช่น “Agile = Scrum” เพราะ “Agile คือ Mindset ไม่ใช่พิธีกรรม” ลองถามตัวเอง เช่น ยืน Daily แต่ไม่รู้ทำไปทำไม? ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
* ลองถามตัวเองว่าทีมได้ Value อะไรจากการยืนประชุม? หากตอบไม่ได้ แปลว่าต้องทบทวนใหม่ เป็นต้น
2. ปรับวิธีให้ตรงกับลักษณะงานจริง
* ยกตัวอย่างง่ายๆ โรงพยาบาลอาจใช้ Kanban ในแผนกฉุกเฉินเพื่อจัดการลำดับผู้ป่วยให้ไหลลื่น แต่ทีมวิจัยยาใหม่ควรใช้ Lean Startup ที่ทดลองเล็กๆ ได้ผลแล้วค่อยขยาย เพราะทั้งสองงานมีธรรมชาติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
3. Hybrid Model คือคำตอบ?
* หลายองค์กรในไทย เช่น ธนาคาร ใช้ Scrum ในการพัฒนา Mobile Banking ที่ต้องลองผิดลองถูกกับผู้ใช้จริง
* แต่กับงาน Compliance ที่กฎหมายเข้มงวด ยังต้องยึด Waterfall เพื่อความแน่นอนและตรวจสอบได้ครบถ้วน เป็นต้น
* อย่าไปบังคบว่า “ทุกหน่วยงานต้องเป็น Agile” (ว่าแต่ Agile ของคุณเป็นแบบไหน?) เป็นต้น
4. ใช้ AI เป็น Copilot (ไม่ใช่ optional แต่เป็น Manadatory)
* AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริม แต่เป็นเหมือนผู้ช่วยร่วมโต๊ะทำงานกับเราเลยในทุกๆ วัน
* เช่น การใช้ AI วิเคราะห์ Feedback ลูกค้าแทนการอ่านทีละข้อความ หรือช่วยสร้าง Prototype ภายในวันเดียว ทำให้ Scrum หรือ Kanban เดิมมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีกก็ได้
กล่าวโดยสรุป องค์กรไทยควรเลิกยึดติดตำรา แต่เลือกใช้และผสมผสาน Framework ตามธรรมชาติของงานจริง พร้อมทั้งดึง AI เข้ามาเป็นแรงเสริม เพื่อให้การทำงานทั้งเร็วและได้คุณค่ามากที่สุด
====
✨ ดังนั้น “วิธีคิดสำคัญกว่าวิธีการ” เสมอ
* ไม่ว่าจะเป็น Scrum, Kanban, Waterfall หรือ Lean Startup ทั้งหมดนี้เป็นเพียง “เครื่องมือ” คำถามที่ผู้นำควรถามเสมอคือ “งานนี้เป็นแบบไหน และทำอย่างไรให้งานสำเร็จได้จริง?”
* ไม่มี “ตำรวจ Agile” มาคอยตรวจว่าคุณทำผิดตำรา วิธีที่ถูกคือวิธีที่ทำให้งานเสร็จและลูกค้าได้คุณค่าจริง
“ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว สิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่การเลือก Framework ผิด แต่คือการยึดติดโดยไม่ยอมปรับตัว”
#วันละเรื่องสองเรื่อง #Agile #Scrum #Kanban #Waterfall #LeanStartup #AI #ProjectManagement #วิธีคิดสำคัญกว่าวิธีการ
scrum
agile
เทคโนโลยี
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย