4 ต.ค. เวลา 04:17 • ความคิดเห็น
ลองนึกภาพเวลาใครสักคนพูดขึ้นมาว่า ฉันคือเสรีชน ฟังแล้วมันดูยิ่งใหญ่ คล้ายจะเป็นคนที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ กล้าพูดกล้าคิด ไม่กลัวใคร แต่พอก้มลงมามองสังคมไทยจริงๆ คุณก็อดขำปนขมไม่ได้ เพราะคำว่าเสรีชนในบ้านเรา มันไม่เคยเป็นเสรีแบบที่ตำราสอนเลย มันเป็นเสรีแบบต้องมีเงื่อนไข ถ้าเสรีในกรอบที่เขาเขียนให้เดิน คุณถึงจะปลอดภัย แต่ถ้าคุณดันหลุดจากกรอบนั้นไปเพียงก้าวเดียว เสรีชนของคุณจะถูกตีความใหม่ทันทีว่าเป็น ตัวปัญหา หรือ คนไร้ศีลธรรม แล้วก็รอรับแรงกดทับจากทั้งสังคมและกฎหมาย
เสรีชนในเมืองไทย ไม่ได้วัดจากว่าคุณมีสิทธิ์พูด แต่วัดจากว่าคุณพูดแล้วใครอยู่ข้างหลังคุณ ถ้าคุณมีพรรคพวก มีกองเชียร์ มีคนถือป้ายไฟคอยสนับสนุน คำพูดของคุณก็จะถูกยกขึ้นหิ้งเป็นเหตุผลที่ฟังดูดีขึ้นมาทันที แต่ถ้าคุณยืนอยู่ลำพัง เสียงเดียว คำว่าเสรีชนจะถูกลบล้างไปในพริบตา กลายเป็นแค่คนบ้าๆ บอๆ หรือคนที่ พูดไม่เข้าท่า
บางทีเสรีชนก็เป็นเพียงแฟชั่น เหมือนการใส่เสื้อยืดสกรีนคำเท่ๆ ลงโซเชียลแล้วคิดว่าตัวเองมีอุดมการณ์ แต่พอมีอำนาจมาสะกิดหน่อย ความกล้าแบบเสรีชนก็ละลายหายไป เหลือแต่ความเงียบที่น่าอึดอัดเหมือนเสียงสูญญากาศ ไม่มีใครอยากเสี่ยง ไม่มีใครอยากถูกลากไปขึ้นโรงขึ้นศาล ทุกคนรู้ว่ามีเสรีภาพ แต่รู้ด้วยว่าเสรีภาพนั้นอาจต้องใช้ค่าประกันแพงๆ มาซื้อคืน
และที่ขมยิ่งกว่านั้น เสรีชนของไทยยังถูกตีตราด้วยสายตาสังคม ถ้าคุณเห็นต่างในเรื่องที่ไปขัดกับขั้วอำนาจ คุณจะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ ถ้าคุณเห็นต่างในเรื่องที่ไปขัดกับขั้วศีลธรรม คุณก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลว ดังนั้นเสรีชนในประเทศนี้เลยเหมือนนักเชิดหุ่นที่ต้องคอยดูทิศทางลม พูดได้ แต่พูดต้องพอดี ทำได้ แต่ทำต้องไม่แรงเกินไป
เพราะฉะนั้น เสรีชนในไทยอาจไม่ได้หมายถึงคนที่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง แต่หมายถึงคนที่ยังกล้าหลอกตัวเองว่ามีเสรีภาพ ทั้งที่ในความจริง มันถูกบีบไว้ด้วยโครงสร้างอำนาจ กฎหมาย และสายตาสังคมที่พร้อมจะเหยียบคุณลงไปใต้ตีน ถ้าเสรีชนแปลว่ามีอิสระในการคิดและพูดโดยไม่ต้องกลัวใคร งั้นคำนี้ในประเทศไทยก็คงเป็นเพียงมุกตลกขำขื่น ที่ทุกคนหัวเราะได้ แต่ไม่มีใครกล้าเล่นจริง
โฆษณา