4 ต.ค. เวลา 04:40 • ข่าว

ดราม่าน้ำมันไทย: "เสือนอนกิน" ไม่ยอมลดราคา จนรัฐมนตรีต้องสั่ง! ความจริงใจที่หายไปจากผู้ค้าน้ำมัน

กรณีที่ราคาน้ำมันโลกปรับลดลงต่อเนื่อง 4 วัน แต่ราคาขายปลีกในประเทศไทยกลับนิ่งสนิท จนกระทั่ง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต้องเป็นผู้จัดประชุมและสั่งการให้มีการปรับลดราคา เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึง ความไม่สมมาตรของราคาน้ำมันไทย ที่ "ขึ้นเร็ว ลงช้า" และเป็นคำถามใหญ่ต่อ ความจริงใจและความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ของบริษัทค้าน้ำมันในประเทศ
1
ความจริงที่ถูกเปิดเผย: ผู้ค้าน้ำมัน "รอ" คำสั่งรัฐ
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้ออกมาแถลงถึงมติสำคัญเพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน
--- มติ กบน. สำหรับดีเซล: เห็นชอบ ปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร
--- คำขอสำหรับเบนซิน: ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมัน ให้ปรับลดราคาเบนซินลงด้วย 50 สตางค์ต่อลิตร
--- ผลลัพธ์: ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดเหลือ 31.44 บาท/ลิตร และกลุ่มเบนซินทุกชนิดลดลง 50 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2568
คำถามคือ: เหตุใดเมื่อราคาน้ำมันโลกปรับลดลง บริษัทค้าน้ำมันจึงไม่ริเริ่มการปรับลดราคาลงด้วยตนเองทันที? การที่รัฐบาลต้องใช้ "มติ กบน." เป็นกลไกบังคับในส่วนของดีเซล และใช้ "คำขอความร่วมมือ" ในส่วนของเบนซิน สะท้อนให้เห็นว่า กำไรสูงสุด (ค่าการตลาด) ยังคงเป็นเป้าหมายหลักเหนือความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค บริษัทค้าน้ำมันเลือกที่จะ รักษาราคาเดิมไว้ชั่วคราว เพื่อให้ "ค่าการตลาด" พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ต้นทุนลดลง โดยใช้ข้ออ้างเรื่องความผันผวนของตลาดโลกและความจำเป็นในการรักษาเสถียรภาพราคา
1
สถานะกองทุนน้ำมันฯ: เกราะกำบังที่เริ่มอ่อนกำลัง
ข้ออ้างหลักที่ผู้ค้าน้ำมันมักใช้ในการชะลอการลดราคาคือ ภาระหนี้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ต้องใช้เงินส่วนต่างไปชดเชย
ข้อมูลฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 กันยายน 2568 เปิดเผยว่า กองทุนฯ มีสถานะโดยรวม ติดลบอยู่ที่ 17,838 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตที่ติดลบเกินกว่าแสนล้านบาท
รายละเอียดสถานะกองทุนฯ ดังกล่าวชี้ชัดว่า:
--- บัญชีน้ำมัน: กลับมาเป็นบวกอยู่ที่ 24,429 ล้านบาท
--- บัญชี LPG: ยังคง ติดลบอยู่ที่ 42,267 ล้านบาท (เป็นส่วนที่ต้องอุดหนุนราคาต่อเนื่อง)
การที่ บัญชีน้ำมันกลับมาเป็นบวก แสดงว่า กองทุนฯ ไม่ได้มีภาระหนี้สินหนักพอที่จะขัดขวางการลดราคาในกลุ่มเบนซินและดีเซลได้อีกต่อไป การที่ กบน. ตัดสินใจ ลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับดีเซลลง 50 สตางค์/ลิตร ก็เพื่อสะท้อนสถานะที่ดีขึ้นและแบ่งเบาภาระประชาชน การดำเนินการนี้ทำให้รายรับจากดีเซลลดลงเหลือประมาณ 30.96 ล้านบาทต่อวัน จากเดิม 61.06 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดเงินที่เข้ากองทุนฯ โดยตรง
ความจริงใจของผู้ค้าน้ำมันจึงถูกตั้งคำถามอย่างหนัก เพราะเมื่อข้ออ้างเรื่อง "กองทุนน้ำมันติดลบ" ในส่วนของน้ำมันเริ่มอ่อนกำลังลง บริษัทเหล่านี้ก็ยังคงไม่แสดงความกระตือรือร้นในการปรับลดราคาลงด้วยตนเอง จนกระทั่งต้องมีการ "ขอความร่วมมือ" และ "สั่งการ" จากภาครัฐ
บทสรุป: ผู้บริโภคคือคนกลางที่เสียเปรียบตลอดกาล
กลไก "ขึ้นเร็ว ลงช้า" ของราคาน้ำมันไทยตอกย้ำถึง อำนาจต่อรองที่เหนือกว่า ของกลุ่มทุนพลังงานในประเทศ ผู้บริโภคต้องตกเป็นเหยื่อของการทำกำไรส่วนเกินในช่วงเวลาที่ราคาตลาดโลกผ่อนคลาย และต้องรอ "คำสั่ง" จากภาครัฐเท่านั้น จึงจะได้รับการปรับลดราคาอย่างเป็นธรรม
รัฐมนตรีพลังงานระบุว่า มตินี้สะท้อนความมุ่งมั่นในการดูแลค่าครองชีพและรักษาเสถียรภาพด้านราคาพลังงาน แต่ความยั่งยืนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ค้าน้ำมันแสดงความจริงใจ และมีการปฏิรูปกลไกการกำกับดูแลค่าการตลาดให้โปร่งใสและเข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้ราคาขายปลีกสะท้อนต้นทุนที่ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องให้รัฐบาลต้องเข้ามาเป็นผู้สั่งการในทุกครั้งที่ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลดลง
คุณคิดว่า จะมีโอกาสไหม ที่บริษัทกลุ่มทุนน้ำมันทจะหันมาทำ CSR หรือ Corporate Social Responsibility ที่ทำเพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ในรูปแบบการดำเนินกิจกรรมหรือจัดทำโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในเชิงบวก จะหันมาทำกิจกรรมส่งเสริมในเรื่องของ "ความจริงใจต่อผู้บริโภคเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม"
โฆษณา