4 ต.ค. เวลา 10:58 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] Baby - Dijon >>> ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

🚨🚨FPFM’s Best New Album Alert 🚨🚨
-ถ้าผมบอกว่า ผมเริ่มสนใจ Dijon ตั้งแต่ตอนไปร่วมโปรดิวซ์ Charli XCX อัลบั้ม how i’m feeling now เมื่อ 5 ปีที่แล้ว การได้ไปแจมกับ Bon Iver อัลบั้ม SABLE, fABLE และล่าสุด Justin Bieber อัลบั้ม Swag นั่นคงจะโกหก เริ่มต้นเลือกฟังเพราะเจอ Pitchfork ให้คะแนน 9/10 เนี่ยแหละ ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับสำนักนี้ ตอนแรกก็คิด แหล่มจริง หรือ overrated ? คำตอบที่ได้ กลายเป็นอัลบั้มที่ผมต้องเอาไปติดทำเนียบ Top Album ประจำปีนี้
-เมื่อ Dijon ได้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ผมก็ค้นพบว่าเขาพร้อมระเบิดพลังโดยไม่มีอะไรต้องเสีย ต่อให้คอนเทนท์ชีวิตส่วนตัวของเขาแทบไม่หวือหวา ไม่โชกโชนเลยก็ตาม แต่เขาเลือกที่จะหยิบประเด็นใกล้ตัวที่สุดเอามาเขย่าและเล่นแร่แปรธาตุอย่างโฉ่งฉ่าง ด้วยความรู้สึกทึ่ง แปลกใหม่ทุกครั้งที่ฟัง ทั้งๆที่ภาษาก็ง่ายไม่ได้ซับซ้อน ไม่ได้เปรียบเปรยล้ำลึกเป็นบทกวี เป็นความรู้สึกลอยๆที่จู่ๆก็แว๊บขึ้นมาจากสัญชาตญาณดิบโดยฉับพลัน
Dijon (ซ้าย) Leonardo Dicarpio (ขวา) ในภาพยนตร์เรื่อง One Battle After Another
-นี่ไม่ใช่งาน Soul R&B ทั่วๆไปที่เดินแพทเทิร์น slow jam ตัดสลับ trap beat สุดเนิบ แต่สำหรับ Dijon เลือกที่จะแหกขนบด้วยการทดลองปรับ pitch ขึ้นลงวูบวาบ ไม่เน้นความเคลียร์และเนี๊ยบ เขาจงใจ glitch เกิดรอยขรุขระและขมุกขมัว เหมือนภาพ VHS ที่บันทึกอารมณ์มากกว่าเสียงเพลง
-บางครั้งคนเป็นพ่อก็ดันกด previous กรอภาพในอดีตให้หวนกลับมานึกถึง และ กด fast forward ไปยังอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยก็มี รวมไปถึงการแซมเปิ้ลที่เปรียบเสมือนการตัดแปะภาพคอลลาจกำกับซาวนด์แทร็คที่แว๊บขึ้นมาในหัว ณ โมเมนต์ขณะนั้น ซึ่งมันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายด้วยชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วพอกัน
-ถ้านิยามด้วยคำว่า experiment มักจะเป็นเส้นบางๆระหว่างความเจ๋งกับความมั่ว ศิลปินเค้ากล้าเสี่ยงก็จริง แต่คนฟังกลับรู้สึกกังวลจนตั้งการ์ดเพราะไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย
-สำหรับ Baby ของ Dijon คือการบาลานซ์ความต้องการของตัวเองและผู้ฟังได้อย่างแนบเนียน นี่แหละคือความเก่งกาจที่ผมสัมผัสได้ หากฟังครั้งแรกแล้ว weird ไม่ต้องแปลกใจ แต่เมื่อฟังครั้งต่อไป เริ่มจับทางลูกคอ harmony ที่มันแข็งแรงอยู่อย่างนั้น กลายเป็น repeat value ที่จูงใจให้กลับมาสังเคราะห์ความรู้สึกได้ซ้ำวนไปอีกเรื่อยๆ
-แทร็คเปิดอัลบั้ม Baby! เป็นการบอกความรู้สึกภาพรวมที่ผมได้บรรยายไว้ข้างต้น ไม่ท้าวความเส้นทางการข้ามผ่านประสบการณ์ของตัวเองก่อนจะมาเป็นพ่อคน เปิดต้นม้วนก็เปิดวอร์ดห้องคลอดเลยครับ ป่าวประกาศชัดเจนถึงกำเนิดลูกชายที่ชื่อว่า Baby ไปเลย มีการตัดสลับภาพทรงจำระหว่างเส้นทางความรักอันแสนดูดดื่มชวนจั๊กจี้และการได้ร่วมใช้ชีวิตในโรงพยาบาลหลังคลอดใหม่ๆที่พวกเขากำลังเห่อเจ้าตัวน้อยสุดๆ
-ยังไม่ทันไรที่ลูกคนแรกลืมตาดูโลก ความเงี่ยนก็ครอบงำทันทีในเพลง Another Baby! ซึ่ง Dijon ก็ให้สัมภาษณ์ไปว่า เป็นความจริงจังที่เคยเสนอเมียอย่างติดตลกเฉยๆ นำมาซึ่งความรู้สึกดีสูงส่งยิ่งยวดจากพลังแห่งความรักในเพลง HIGHER! ที่เดินท่วงท่าเหมือนเพลง Day One ที่ไปแจมกับ Bon Iver ประหนึ่งอัดเพลงนี้ในช่วงไล่เลี่ยกันไปเลย เพราะ Justin Vernom มีเครดิทร่วมโปรดิวซ์ด้วย
-Yamaha เพลงที่เข้าถึงง่ายสุดและยังเป็นการกลับรากเหง้าทางสไตล์ดั้งเดิมที่เขาปูไว้ตั้งแต่อัลบั้มแรก Absolutely จังหวะจะโคนคือ The Dress ที่เพิ่มเติมด้วยท่วงท่าดรีมป็อปที่หวือหวาและฟุ้งขึ้น ยังคงจับทางลูกคอได้อย่างตรงทื่อมากกว่าเพลงอื่นๆในอัลบั้มนี้ ถ้าหากเพลงอื่นมันงงเกินกว่าจะเข้าถึงได้รวดเร็ว ยังมีเพลงนี้ที่น่าจะตกคนฟังได้ไม่ยาก
-หลังจาก Yamaha ปุ๊บ Dijon จะไม่ประนีประนอมในการปลดปล่อยความฟุ้งซ่านและความอัดอั้นออกมาให้โฉ่งฉ่างได้อย่างสะดวกโยธิน ซึ่งนั่นอาจทำให้คนที่เพิ่งเปิดใจมาฟังรู้สึกยังไม่เคยชินก็เป็นได้ เริ่มจาก FIRE! ที่ได้รับการเติมเชื้อไฟในตัวจนไม่รู้ว่านั่นคือความรู้สึกดีหรือความแผดเผาที่กลับมาทำร้ายตัวเองกันแน่
-เพลงที่ใส่วงเล็บไม่ว่าจะเป็น (freak it) และ (Referee) คือตัวอย่าง interlude สไตล์ทดลองที่ปล่อยความรู้สึกลอยๆขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยเฉพาะเพลงหลังที่มีการตะโกนแหกปากราวกับเชียร์กีฬา ซึ่งผมชอบนะ แอบฮาร์ดคอดี
-เริ่มต้นสู่ช่วง emotional ด้วยเพลงคู่ Rewind และ my man เป็นการสะท้อนไปมาระหว่าง พ่อสู่ลูก ⇔ ลูกสู่พ่อ โดยเพลงแรก Rewind สะท้อนความกังวลของ Dijon ที่มีต่อลูกชายตัวน้อยของเขาที่ต้องเติบโตแล้วมาเจอกับความเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเป็นพ่อจึงได้แต่ภาวนาให้ลูกของเขายังคงสามารถรำลึกถึงช่วงเวลาดีๆในอดีตได้ แม้จะอยู่ในช่วงที่เผชิญกับความมืดมนก็ตาม ชอบการไต่ระดับจากความ calm สู่ความ raspy ที่ภาพแห่งอนาคตช่างขมุกขมัวและคาดเดาไม่ได้เลยว่า ภาพฝันนั้นได้ถูกโหมกระหน่ำจน collapse ลงหรือไม่?
-my man เปลี่ยนการสะท้อนจากตัวเขาไปสู่พ่อแท้ๆที่ห่างเหิน เมื่อกลับมา reconnect อีกครั้งก็ประดังประเดความรู้สึกสับสน เนื้อน้อยต่ำใจที่ทำไมไม่ใกล้ชิดกันให้เคลียร์ใจมากกว่านี้ ยังคงมีกำแพงในใจที่กั้นระหว่างกันอยู่ ถือเป็นเพลงส่วนตัวที่ไม่ลงรายละเอียดมาก ทิ้งไว้ซึ่งความ emotional กรีดกราย ค้างคาใจหลังจากจบบทสนทนาครั้งนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าจะจบได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก
-loyal & Marie ถือเป็นเพลง acapella เบรคอารมณ์คุกกรุ่นฟุ้งซ่านจากเพลงก่อนๆ แล้วหายใจหายคอให้ทุกอย่างมันเย็นลง ราวกับว่า Dijon ได้สร้าง meditate moment ให้ได้ทบทวนตัวเองบ้าง จากคนที่ insecurity แล้วค่อยๆดีขึ้นจากการเริ่มเติมคุณค่าให้ตัวเอง
ตอนผมเห็น process เพลงนี้ในคลิปเบื้องหลังแล้วรู้สึกมหัศจรรย์กับเสียงจริงของแกมากๆ ขนาดใส่ออโต้จูนก็โคตร amazing ก้องกังวานอยู่แล้ว เสียงจริงเป็นความเจ๋งที่โคตรแรห์จนทำให้ระบึกได้อย่างนึงว่า อย่าดูถูกคนใช้ออโต้จูนเพียงเพราะใช้ตัวช่วยแล้วจะกระจอก มันขึ้นอยู่กับคนร้องคีย์ถึงด้วยเว้ย
-Automatic ที่กลับมาเดินเครื่องความสนุกอย่างอัตโนมัติด้วยการอิงแอบท่วงทำนองบีทฮิปฮอปจากแซมเปิ้ล 1991 Freestyle ของ GZA และ O’l Dirty Bastard ราวกับว่าเต้นรำไปกับเมียด้วยเศษเสี้ยวของท่วงทำนองที่แสนคุ้นเคยในความทรงจำที่ยังคงมี Wu Tang อยู่ในใจ
-ปิดท้ายด้วย Kindalove ที่เรียบง่ายสุดๆ ยิ่งกว่า Yamaha ไม่มีออโต้จูนหรือลูกเล่นใดๆมาแทรกแซง กล่าวได้ว่าเป็นเพลงที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการท้าวความว่า ทำไมเขาถึงรักเมียมากขนาดนี้ ? ไม่มีอะไรซับซ้อน เข้าใจในตัวตน เข้าใจความรู้สึก และคอยอยู่เคียงข้างในยามขาลง
เรียกได้ว่าเป็นการปิดท้ายที่ไม่ได้จบที่ปลายทางปัจจุบันถึงการได้เป็นพ่อคน แต่เป็นการย้อนไปถึงตอนคุกเข่า สวมแหวนขอแต่งงาน ประสบการณ์การฟังอัลบั้มนี้แทบไม่ต่างจากดูหนังที่เล่าเรื่องตัดสลับไทม์ไลน์ เมื่อเทียบกับความหวือหวาของเพลงที่ผ่านมาแล้ว การปิดท้ายด้วยความเรียบง่ายลักษณะนี้มักชวนให้ผมเฉยเมยอย่างไม่มีแรงดึงดูดเสียเลย
จนกระทั่ง…การปิด Outro ของเพลงนี้ที่ถูกต้องมนต์สะกดให้โลกมันหยุดหมุนชั่วครู่ด้วยการกดคอร์ดอิเล็กโทน แล้วหยอดด้วยการ rewind เสียงร้องแค่สั้นๆ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ซึ่งผมมองว่าที่เค้าทำแบบนี้ก็เพราะว่าเขาอยากทิ้งเศษเสี้ยวในการ wrap up ให้ติดกับคนฟังไปด้วย ผมถึงขั้นตบเข่าฉาด ! Dijon แม่งปิดอัลบั้มเก่งชิบหายเลยครับ
ถ้าใครอยู่ฟังจนจบสนิทก็จะพบว่า เขาได้ทิ้งคำว่า Baby เป็นการเชื่อมโยง Intro เพลงแรก ถือเป็นการจบแบบสร้างลูปเช่นกัน
-นอกจากขอบคุณ Pitchfork แล้ว ยังต้องขอบคุณ Justin Bieber ไม่งั้นผมก็คงไม่คุ้นชื่อ Dijon จนมองข้ามไปตั้งแต่แรก การหายตัวไปของ Frank Ocean อันแสนนานเกือบทศวรรษแล้ว วงการ R&B Soul Pop แทบจะไม่มีอะไรใหม่ เจอกับความ tradition เดิมๆมาโดยตลอด
-จนกระทั่งเพิ่งมาค้นพบ Dijon เนี่ยแหละที่ยังทดแทนความสดใหม่นั้นได้ จบจาก Baby ก็ย้อนไปฟัง Absolutely ก็ยิ่งน่าค้นหาเข้าไปอีกเรื่อยๆ ไม่จบแค่ Dijon ไปเจอ Mk.gee ที่เป็นสหายคนสนิทเจ้าประจำที่ไไปปไหนไปกันจนได้ไปช่วย JB ทำ Swag ด้วย ให้ตายเหอะ ผมค้นพบพวกเค้าช้าไปจริงๆ ยาวเลยทีนี้
-เชื่อเลยว่าการที่ JB เปิดพื้นที่ให้ทั้ง Michael และ Dijon จนเป็นที่รู้จักได้แล้ว เราคงจะได้เห็นไอ้สองคนนี้เป็นตัวละครสำคัญในวงการเพลงป็อปพอๆกับ Jack Antonoff ในอนาคตแน่นอน
-สำหรับเพื่อนๆบางคน ผมอาจจะแนะนำ Dijon ช้าไปหน่อย แต่ก็ยึดคติ พูดถึงช้าดีกว่าไม่พูดถึงเลย ประจวบเหมาะกับการได้ลองงานแสดงเป็นตัวละครสมทบหนึ่งในคณะกบฏ France 75 ในหนังเรื่อง One Battle After Another ที่กำลังฉายพอดิบพอดี ปีนี้ก็เป็นปีทองของเขาโดยแท้จริง
-อีกอย่างที่อยากพูดถึงทิ้งท้ายเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ Zane Lowe's Interview โดย Dijon ระบายความคับข้องใจเกี่ยวกับนักวิจารณ์ในโลกออนไลน์ทั้งหลาย “Armchair Crticism” ที่มักจะมีความเห็นเกี่ยวกับงานเพลงของตัวเขาเองและที่ทำร่วมกับคนอื่น ซึ่งแกอาจจะไปจำคอมเมนท์ที่ไม่ดีมาแน่ๆเลยให้ความเห็นว่า “พวกเขามีแต่ความเห็นเต็มไปหมดโดยที่ไม่เข้าใจ เพราะพวกเขาไม่เคยทำเองด้วยซ้ำ”
ในฐานะที่ผมเป็นหนึ่งในล้านนักวิจารณ์เพลงออนไลน์ ผมก็ไม่ใช่นักดนตรี รีวิวเพลงเป็นอดิเรกก็เข้าใจแหละว่า คนนอกมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์โดยที่ไม่เข้าใจความยากลำบากในการเค้นความคิดสร้างสรรค์มันต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใด
ในขณะเดียวกันก็อยากจะบอก Dijon ว่า การมีอยู่ของ music critic ที่มีคุณภาพย่อมเป็นผลดีต่อ eco-system ในการพัฒนาผลงานในการหาจุดร่วมเอ็นจอยทั้งสองฝ่ายได้ ในเมื่อพี่ก็ทำดีอยู่แล้ว พี่ก็คงความสดใหม่แบบนี้ไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ต้องแคร์หรอกว่าเค้าจะมองเช่นไร
ลางเนื้อชอบลางยา แล้วพี่จะกังวลเพื่อ?
Top Tracks: Baby!, Another Baby!, Higher, Yamaha, (Referee), Rewind, my man, Automatic, Kindalove
Give 8.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา