เมื่อวาน เวลา 10:15 • ข่าวรอบโลก

ยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ในเอเชียกลางหลังอัฟกานิสถาน

เอเชียกลางกำลังปรับเปลี่ยนบทบาทจากภูมิภาคที่เคยเป็นเพียง “ทางผ่านของอิทธิพล” กลายมาเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่อาจชี้ขาดทิศทางของภูมิรัฐศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 อย่างชัดเจน สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ส่งผลให้หลายประเทศเร่งหาทางขนส่งพลังงานและสินค้าโดยไม่ผ่านดินแดนรัสเซีย เส้นทาง “Middle Corridor” หรือ “ระเบียงกลาง” ที่เชื่อมจีน–เอเชียกลาง–คอเคซัส–ตุรกี–ยุโรป จึงถูกผลักดันให้เดินหน้าเร็วขึ้น ด้วยต้นทุนที่ลดลง และระบบโลจิสติกส์ที่มีเสถียรมากขึ้นในระยะหลัง
ในขณะเดียวกัน แนวคิดการสร้าง “ท่อส่งก๊าซ Trans-Caspian” (Trans-Caspian Pipeline) ซึ่งจะเชื่อมฝั่งตะวันออกของทะเลแคสเปียนจากเติร์กเมนิสถานไปยังอาเซอร์ไบจาน โดยไม่ต้องผ่านรัสเซีย ก็ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่ในฐานะทางเลือกด้านพลังงานระยะกลางถึงยาว โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งตุรกีและสหภาพยุโรป รวมถึงดีลการสว็อปก๊าซของเติร์กเมนิสถานผ่านอิหร่านที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025
เงินทุนจากสถาบันการเงินพหุภาคี ไม่ว่าจะเป็นโครงการ TRACE ของธนาคารโลก (World Bank) หรือกรอบการลงทุนของธนาคารยุโรปเพื่อการบูรณะและพัฒนา (European Bank for Reconstruction and Development: EBRD) ทำหน้าที่เป็น “เชื้อเพลิงทางการเงิน” ที่ช่วยคลี่คลายปัญหาคอขวดในระบบราง ท่าเรือ และศุลกากร เป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น “ขนส่งเร็วขึ้นครึ่งหนึ่ง ปริมาณเพิ่มขึ้นสามเท่า” จึงไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม และเริ่มดึงบทบาทของ “ระเบียง เหนือ” (Northern Corridor) ที่ผ่านรัสเซียให้ลดความสำคัญลง
ด้านความมั่นคง บรรยากาศตึงเครียดมากขึ้นในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นตุลาคม 2025 เมื่อมีเสียงเรียกร้องจากบางฝ่ายในสหรัฐอเมริกาให้ “ยึดฐานทัพบากราม” ในอัฟกานิสถานกลับคืน แม้ว่ารัฐบาลตาลีบันจะปฏิเสธทันที แต่ข้อเสนอเช่นนี้สะท้อนว่ารัฐบาลวอชิงตันยังมองว่าเอเชียกลางคือพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ต้องมีจุดฉายอำนาจใกล้กับจีนและภูมิภาคยูเรเซีย
อย่างไรก็ตาม การตั้งฐานถาวรในยุคหลังสงครามอัฟกานิสถานไม่ได้ง่ายเช่นเดิมอีกแล้ว เพราะมีต้นทุนทางการเมืองสูง ต้องเผชิญแรงต่อต้านจากประชาชน และติดข้อจำกัดตามกฎหมายระหว่างประเทศ
สหรัฐฯ จึงปรับกลยุทธ์สู่ความร่วมมือด้านความมั่นคงในรูปแบบไม่ตั้งฐานถาวรแต่ทำงานผ่านการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ชายแดน การแลกเปลี่ยนข่าวกรอง การสนับสนุนอุปกรณ์ และการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มรัฐอิสลามจังหวัดคอเคซัส–คัชมีร์ (ISIS–K) ที่กำลังขยายอิทธิพลผ่านทุนและเครือข่ายออนไลน์ งานส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ จึงอยู่เบื้องหลังมากกว่าการแสดงออกผ่านฐานทัพหรือยุทธศาสตร์ทหารเต็มรูปแบบ
พลังงานยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักของสหรัฐฯ ในการฝังอิทธิพลผ่านบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Chevron และ ExxonMobil ที่มีบทบาทสำคัญในคาซัคสถาน โดยเฉพาะโครงการขยายการผลิตน้ำมันที่แหล่ง Tengiz ซึ่งสามารถเริ่มผลิตน้ำมันชุดแรก (first oil) ได้สำเร็จในต้นปี 2025 และแหล่ง Kashagan ที่แม้จะเผชิญแรงกดดันด้านกฎระเบียบและต้นทุนจากฝั่งรัฐบาล แต่ก็สร้างสถิติ “หนึ่งพันล้านบาร์เรลสะสม” ได้ภายในกลางปีเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่โครงสร้างการส่งออก ซึ่งยังพึ่งพาท่อส่งน้ำมันสาย CPC หรือ Caspian Pipeline Consortium ที่ผ่านรัสเซียเป็นหลัก และเมื่อรัสเซียสั่งหยุดทุ่นเทียบเรืออย่างกะทันหันเมื่อต้นไตรมาสสองของปี 2025 ความเปราะบางของระบบก็ถูกเปิดเผยในทันที คาซัคสถานจึงเร่งกระจายความเสี่ยง โดยหันไปใช้ท่อส่งน้ำมันสาย BTC หรือ Baku–Tbilisi–Ceyhan Pipeline ผ่านคอเคซัสและทะเลแคสเปียนมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความสนใจของวอชิงตันที่ต้องการผลักดันเส้นทางที่ไม่ผ่านรัสเซียให้เป็นทางเลือกหลัก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้หันมาให้ความสำคัญกับ “ธาตุที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจสูง” (critical minerals) และยูเรเนียมมากขึ้น โดยเฉพาะหลังออกกฎหมายในปี 2024 ห้ามนำเข้ายูเรเนียมจากรัสเซีย แม้จะมีช่วงผ่อนผันไปถึงปี 2028 แต่ก็ทำให้ตลาดยูเรเนียมและกระบวนการแปรรูปแร่เกิดความเปลี่ยนแปลงทันที คาซัคสถาน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยูเรเนียมรายใหญ่ที่สุดของโลก จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในห่วงโซ่พลังงานสะอาดของสหรัฐฯ และยุโรป
กรอบความร่วมมือระดับพหุภาคี เช่น Minerals Security Partnership (MSP) และกลไก C5+1 ซึ่งเป็นการประชุมร่วมระหว่างสหรัฐฯ กับห้าประเทศเอเชียกลาง ได้แก่ คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน ก็ถูกนำมาใช้เพื่อคลายการพึ่งพาจีนและรัสเซียในห่วงโซ่อุตสาหกรรม “ขั้นกลาง” ของการผลิตแร่ แต่ในทางปฏิบัติยังมีอุปสรรคหลายด้าน
ทั้งค่าขนส่งจากทะเลแคสเปียนสู่ทะเลดำที่ยังมีต้นทุนสูง โรงงานแปรรูปที่ส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ และคาซัคสถานเองยังไม่สามารถดำเนินกระบวนการเพิ่มความเข้มข้นของยูเรเนียม (enrichment) ได้ครบวงจร ดังนั้น หากจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้เป็นรูปธรรมจริง จำเป็นต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขั้นกลาง เช่น ท่าเรือ ระบบราง ศุลกากร โรงงานแปรรูป และเครื่องมือคุ้มครองความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนเอกชน ไม่เช่นนั้น กลยุทธ์จะติดอยู่แค่ในสไลด์และเอกสารประชาสัมพันธ์
ในเชิงการทูตพหุภาคี เอเชียกลางกลายเป็นเวทีสำคัญที่มีหลายมหาอำนาจเข้ามาแข่งขันภายใต้ “กติกาของเจ้าบ้าน” โดยเฉพาะคาซัคสถานที่ยังคงยึดแนวทาง “การทูตแบบหลายขั้ว” (multi-vector diplomacy) อย่างต่อเนื่อง ทั้งสหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย สหภาพยุโรป ตุรกี และญี่ปุ่น ต่างเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น CICA (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia) และ OSCE (Organization for Security and Co-operation in Europe) ที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ทางการเมืองให้กับภูมิภาค
ขณะที่เวที C5+1 กลายเป็นกลไกหลักที่สหรัฐฯ ใช้ขับเคลื่อนวาระด้านพลังงานสะอาด แร่ธาตุ และโลจิสติกส์ แต่จุดอ่อนสำคัญของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ “ทุนทางสัญลักษณ์” เช่น การเยือนของผู้นำระดับสูง ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ดูขาดความต่อเนื่องเทียบกับมหาอำนาจรายอื่น
การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ในยุคปัจจุบันไม่ได้วัดกันด้วยรถถังหรือกองทัพอีกต่อไป แต่ชี้ขาดกันด้วยโครงสร้างสถาบัน เงินทุน กฎระเบียบ และมาตรฐานระดับโลก จีนเดินหน้าโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) อย่างจริงจัง โดยเอเชียกลางเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ ขณะที่สหภาพยุโรปเปิดตัวโครงการ Global Gateway เป็นกลยุทธ์ตอบโต้ โดยใช้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม แรงงาน และความโปร่งใสเป็นเครื่องมือทางอำนาจที่ไม่ต้องใช้อาวุธ
สหรัฐฯ แม้จะไม่มีโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เทียบเท่า แต่ได้เปรียบในด้านความคล่องตัวของภาคเอกชน กลไกการเงินสีเขียว และการประกันความเสี่ยง หากสามารถจับคู่กับเทคโนโลยีโลจิสติกส์ดิจิทัล ก็มีโอกาสชิงความได้เปรียบในเกมนี้ แต่ถ้าปราศจากการปรากฏตัวของผู้นำระดับสูง และไม่ลงทุนจริงจังในขั้นกลางของห่วงโซ่อุตสาหกรรม ข้อได้เปรียบเหล่านี้ก็พร้อมจะหายไปในเวลาอันสั้น
กล่าวให้ชัดเจนที่สุด จุดแข็งของสหรัฐฯ อยู่ที่การขับเคลื่อนผ่านภาคเอกชน ความร่วมมือความมั่นคงแบบยืดหยุ่น และการเงินสีเขียวที่ตอบโจทย์โลกใหม่โดยไม่สร้างแรงต้านมากนัก แต่จุดอ่อนก็ไม่อาจปฏิเสธได้อสหรัฐฯ ยังมีภาพจำว่า “มาเฉพาะเวลาวิกฤต” ไม่ได้อยู่สร้างอย่างต่อเนื่องเหมือนจีนหรือรัสเซีย การเมืองท่อส่งที่กระทบรายได้ของคาซัคสถานและบรรษัทยักษ์ ทำให้เกิดแรงเสียดทานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแนวทางประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชนจะเดินหน้าได้ยาก หากขาดเครื่องมือทางเศรษฐกิจมาสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ภูมิภาคนี้อาจเคลื่อนไปได้สองทิศทาง หากฉาก “Corridor-first” เกิดขึ้นจริง ธนาคารพหุภาคีและภาคเอกชนจะสามารถผลักดันเส้นทาง Middle Corridor ให้เป็นกระดูกสันหลังใหม่ของการค้าไม่ผ่านรัสเซียภายในปี 2030 พร้อมกับการเดินหน้าโครงการท่อ Trans-Caspian แบบจับต้องได้
สหรัฐฯ ก็จะสามารถใช้เครื่องมือการเงินสีเขียวและการคุ้มครองความเสี่ยงล็อกห่วงโซ่พลังงานและแร่ธาตุไว้ในมือ แต่หากภูมิภาคกลับเข้าสู่สถานการณ์ “สะดุดซ้ำ” เช่น การที่ท่อ CPC ถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดันทางการเมืองอีกครั้ง และจีนขยาย BRI จนครอบคลุมพื้นที่มากกว่าเดิม สหรัฐฯ จะต้องเร่งเติมช่องว่างเชิงสัญลักษณ์ด้วยการเยือนระดับสูง และยกระดับโลจิสติกส์ดิจิทัลพร้อมลงทุนในขั้นกลางของห่วงโซ่ ไม่เช่นนั้น “ภาพ” จะชี้ขาดมากกว่าผลงาน และอาจกลายเป็นภาพที่ไม่เข้าข้างอเมริกาในระยะยาว
โฆษณา