เมื่อวาน เวลา 12:34 • ความคิดเห็น
ฮิตเลอร์กับลัทธินาซี เป็นตัวอย่างชั้นดีว่าคำว่าอนุรักษ์นิยมบางครั้งไม่ใช่การรักษาความงามของอดีต แต่คือการรักษาอำนาจของคนไม่กี่คน หากปล่อยให้ความกลัวและความอยากคุมมากำหนดทิศทางสังคม ผลลัพธ์มันก็โหดร้ายจนไม่น่าเชื่อ
เริ่มจากภาพจำง่ายๆของคนที่ประกาศตัวว่าอยากคืนความเป็นปกติ คืนความยิ่งใหญ่ให้ชาติ แต่ในความจริงนั่นแหละคือกรอบอุดมการณ์ที่กลั่นกรองผู้คนออกเป็นหมวดหมู่ ใครไม่เข้าพวก ใครเป็นคนต่างชาติ ใครคิดต่าง ทั้งหมดกลายเป็นภัยคุกคามที่ต้องกำจัด ประเด็นคืออนุรักษ์นิยมแบบที่กลายเป็นลัทธิ ไม่ได้ปกป้องคุณค่าเดียวกับที่คนทั่วไปนึกถึง มันปกป้องผลประโยชน์ของคนที่มีอำนาจและต้องการรักษาอำนาจนั้นด้วยทุกวิธีทาง
คิดดูนะ เขาเริ่มจากตรรกะที่ฟังดูเรียบง่าย ความบริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์ ความมั่นคงของชาติ พอผูกกับรัฐเผด็จการ มันเปลี่ยนเป็นเครื่องมือไล่ล่าคนกลุ่มหนึ่ง จนเกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ คนที่กลายเป็นเหยื่อไม่ได้เลือกอะไร หลายคนเป็นเพียงคนธรรมดาที่เกิดมาไม่ตรงกับนิยามอันคับแคบของอำนาจ
และเมื่อการกวาดล้างกลุ่มหนึ่งสำเร็จ นิยามของศัตรูก็ขยายออก รายต่อไปไม่ใช่แค่คนกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นทุกคนที่คิดต่าง เป็นศิลปิน นักคิด นักกิจกรรม ชนชั้นแรงงาน หรือคนจนที่ถูกมองว่าเป็นภาระของรัฐ นี่แหละหลักการของลัทธิอำนาจ หากใครไม่เชื่อง ใครยืนต่างฝั่ง ก็มีโอกาสถูกทำให้หายไป
บทเรียนจากฮิตเลอร์คืออย่าหลงเชื่อคำพูดหวานหูที่อ้างคำว่าอดีต คำว่าเกียรติยศ หรือคำว่าอนุรักษ์ เพื่อมาปกปิดความตั้งใจที่จะรวมอำนาจ การรักษาแบบแท้จริงควรหมายถึงการรักษาความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่การคัดคนออกจากสังคมตามเกณฑ์ที่ใครตั้งขึ้นเอง
ฉะนั้นถ้าจะเรียกสิ่งนี้ว่าอนุรักษ์นิยม ก็ต้องตั้งคำถามกลับให้ชัด ว่าอนุรักษ์อะไร หากเป็นการอนุรักษ์ความเป็นคน คือสิทธิ เสรีภาพ ความยากดีมีจนของคนทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน แต่ถ้าเป็นการอนุรักษ์อำนาจของคนบางกลุ่มที่พร้อมจะเหยียบย่ำผู้อื่นเพื่อความมั่งคั่ง นั่นไม่ใช่อนุรักษ์นิยม มันคืออำนาจนิยมในคราบคำสุภาพ
อย่าลืมว่าอำนาจที่ไม่มีการตรวจสอบ เมื่อรวมกับความกลัว มันเปลี่ยนคนปกติให้กลายเป็นผู้ร่วมกระทำผิดได้ง่ายๆ การจำได้ว่าอดีตเคยเกิดอะไรขึ้น การพูดความจริง และการไม่ยอมให้ความเกลียดชังกลายเป็นนโยบายรัฐ คือวิธีป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง
โฆษณา