6 ต.ค. เวลา 08:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ลงทุนดัชนีเป็นฐานแบบ Warren Buffett แต่ถ้าอยากชนะค่าเฉลี่ย Jim Cramer แนะนำลองทำแบบนี้เพิ่ม

ถ้าเพิ่งเริ่มลงทุน คำแนะนำที่ได้ยินกันบ่อยๆ และแม้แต่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลกบอกว่า “สำหรับคนส่วนใหญ่ วิธีที่ดีที่สุดคือซื้อกองทุนดัชนี S&P 500”
เพราะมันต้นทุนต่ำ กระจายความเสี่ยงกว้าง และช่วยให้ผลตอบแทนใกล้เคียงตลาดโดยไม่ต้องเดาหุ้นรายตัวให้ปวดหัว
บัฟเฟตต์ถึงขั้นเขียนไว้ในจดหมายผู้ถือหุ้นปี 2013 ว่าเขาแนะนำให้ผู้จัดการทรัพย์สินของครอบครัว “ใส่ 90% ในกองทุนดัชนี S&P 500 ที่ต้นทุนต่ำ และ 10% พันธบัตรระยะสั้น” เรียบง่ายแต่มีวินัย และ (ในมุมมองของเขา) จะชนะนักลงทุนส่วนใหญ่ในระยะยาว เพราะค่าธรรมเนียมและความผิดพลาดจากการเลือกหุ้นลดลงอย่างมาก
ข้อมูลก็หนุนแนวคิดเช่นกัน เพราะรายงาน SPIVA ของ S&P Dow Jones Indices ซึ่งติดตามผลงานของ “กองทุนแอคทีฟ” พบว่าในรอบยาว 15 ปี ที่ผ่านมามากกว่า 88% ของกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ “แพ้” S&P 500
พูดอีกอย่างคือคือ ชนะได้เพียงราว 12% และปี 2023 เองก็มีถึง 60% ที่ตามหลังดัชนีด้วยซ้ำ ขณะที่ครึ่งแรกปี 2025 ก็ยังมีสัดส่วนที่แพ้ดัชนีมากกว่าครึ่งอยู่ดี
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ระยะสั้นอาจมีปีที่ชนะ แต่ระยะยาวส่วนใหญ่มักจะแพ้
อย่างไรก็ตาม จิม แครเมอร์ (Jim Cramer) พิธีกรรายการ Mad Money มีมุมมองที่ต่างออกไปเล็กน้อย เพราะเขาบอกว่าถ้า “อยากให้ไปไกลกว่าค่าเฉลี่ย” กองทุนดัชนียังควรใช้เป็นแกนหลักของพอร์ต แต่ให้กันเงิน “ส่วนเล็ก ๆ” ไปเลือกหุ้นเด่นด้วยตัวเอง หากมีเวลาศึกษาและทำการบ้านจริงจัง
แครเมอร์นำเสนอแนวคิดนี้ในหนังสือเล่มใหม่ของเขา How to Make Money in Any Market ที่เพิ่งวางขายปี 2025 ซึ่งชวนมือใหม่เรียนรู้การคัดเลือกหุ้นเติบโตควบคู่กับการถือดัชนีเป็นฐานด้วย
“สมมติว่าคุณทำตามวิธีของผม โปรแกรมของผม ที่ให้เอาเงินครึ่งหนึ่งไปใส่ในกองทุนดัชนี และอีกครึ่งลองเลือกหุ้นดี ๆ สักตัว แล้วหุ้นนั้นคือ Berkshire Hathaway ล่ะ?” แครเมอร์บอกกับ CNBC Make It “ถ้าคุณซื้อ Berkshire Hathaway คุณคงรวยเละไปแล้ว”
ตัวเลขระยะยาวของเบิร์กเชียร์ก็สะท้อนภาพนั้นด้วย ตั้งแต่ปี 1965 ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยของเบิร์กเชียร์ราว 19.8%/ปี เทียบกับ S&P 500 ประมาณ 10.2%/ปี
แล้วมือใหม่ควรเลือกทางไหน? คำตอบที่ใช้งานได้จริงคือเริ่มจากแกนหลักที่มั่นคง แล้วค่อยเติมหุ้นรายตัวที่เลือกอย่างมีระบบ
1) สร้าง “แกนหลัก” ด้วยกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ
กำหนดสัดส่วนหลักของพอร์ต (เช่น 80–90% แต่แครเมอร์บอกว่าของเขาอาจจะ 50-60%) ลงในกองทุนดัชนีตลาดกว้าง เช่น S&P 500 หรือดัชนีทั่วโลก เพื่อลดความเสี่ยงหุ้นรายตัว ค่าธรรมเนียมต่ำช่วยให้ผลตอบแทนสุทธิดีขึ้นในระยะยาว และคุณไม่ต้องเดาทิศตลาดทุกไตรมาส แนวทางเดียวกับที่บัฟเฟตต์ย้ำมาหลายครั้ง
2) ลงมือแบบ “อัตโนมัติ” และคุมต้นทุน
ตั้งลงทุนประจำ (DCA) เดือนต่อเดือน รักษาค่าธรรมเนียมให้ต่ำ และรีบาลานซ์ปีละครั้ง–สองครั้ง วิธีเช่นนี้ช่วยลดอคติทางอารมณ์และลดความเสี่ยง “ซื้อแพง–ขายถูก” โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมกองทุนแอคทีฟจำนวนมากจึงแพ้ดัชนีเมื่อคิดรวมค่าธรรมเนียมและพฤติกรรมของผู้ลงทุนเองในระยะยาว ตามภาพรวมจาก SPIVA ที่เราเห็นด้านบน
3) ถ้าอยาก “เลือกหุ้นเอง” ให้ทำแบบเล็ก ๆ และมีวินัย
กันพอร์ตส่วนน้อย (เช่น 10–20% ถ้าเป็นเครเมอร์ก็จะประมาณ 40-50%) สำหรับการทดลองเลือกหุ้น ด้วยกติกาชัดเจน:
* เลือกเฉพาะธุรกิจที่เข้าใจจริง อ่านงบการเงินได้ มีเหตุผลเชิงคุณค่า/เติบโตรองรับ ไม่ใช่ตามกระแส
* จดบันทึก “การลงทุน” ของแต่ละตัว ตั้งเงื่อนไขล่วงหน้าว่าจะ “ถือเพราะอะไร–ขายเมื่อไร”
* เทียบผลของส่วนที่ลงทุนเองกับดัชนีทุกปี ซื่อสัตย์กับตัวเอง ถ้าหลายปีติดต่อกันยังแพ้ดัชนี ให้ลดน้ำหนักหรือกลับสู่พอร์ตดัชนีทั้งหมดก็ได้
แนวทางนี้ช่วยให้คุณได้ข้อดีของทั้งสองโลก ความมั่นคงและต้นทุนต่ำ จากดัชนี (สายบัฟเฟตต์) พร้อม พื้นที่ทดลองและเรียนรู้ จากการเลือกหุ้น (แรงบันดาลใจจากมุมมองของแครเมอร์) โดยไม่ทำให้ความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมสั่นไหวเกินไป
🎯 ข้อควรจำสำคัญสำหรับมือใหม่
* อย่าดูถูก “ค่าเฉลี่ยของตลาด” ค่าเฉลี่ยของตลาดคือผลรวมของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีความสามารถแข่งขันระดับโลก การได้ผลตอบแทนใกล้เคียงตลาดในระยะยาว คือกลยุทธ์ที่นักลงทุนจำนวนมากเลือก และข้อมูลระยะยาวก็หนุนชัดเจนว่ามัน “ชนะคนส่วนใหญ่” อยู่ดี
* การชนะตลาดทำได้ แต่ยากและไม่สม่ำเสมอ เบิร์กเชียร์คือกรณีพิเศษที่หาได้ไม่มาก และแม้แต่ปีที่แอคทีฟดูจะ “ไปได้” ถ้ามองยาว ๆ ภาพรวมก็ยังแพ้ดัชนีส่วนใหญ่ ดังนั้นถ้าคุณไม่มีเวลาศึกษาอย่างจริงจัง การยึดลงทุนในกองทุนดัชนีคือ “จุดเริ่มต้นที่โอเค” เสมอ
* วินัยชนะพรสวรรค์ ลงทุนสม่ำเสมอ คุมค่าธรรมเนียม รีบาลานซ์ตามแผน และไม่ไล่ตามข่าวร้อน กฎง่าย ๆ เหล่านี้ให้ผลไกลกว่าการเดาตลาดรายวันเกือบตลอดเวลา
สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะเริ่มด้วยทางของบัฟเฟตต์หรือมีรสชาติหน่อยแบบแครเมอร์ สิ่งสำคัญคือ รู้ตัวเองว่า เป้าหมายคืออะไร? รับความผันผวนได้แค่ไหน? มีเวลาเรียนรู้มากน้อยเพียงใด? ถ้าคุณซื่อสัตย์กับคำตอบเหล่านี้ “ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน” ก็มีความเป็นไปได้โดยไม่ต้องเสี่ยงเกินตัว และไม่ต้องขัดกับชีวิตประจำวันของคุณด้วย
#aomMONEY #MakeRichGeneration #WarrenBuffett
โฆษณา