7 ต.ค. เวลา 07:22 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

F-16 ยอดอากาศยานแห่งกองทัพอากาศไทย EP.16 จากเด็กชายทุ่งสงสู่นักบินพันธุ์อึด (ตอนจบ)

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในบทความที่แล้วผู้เขียนได้เล่าถึงเส้นทางชีวิตของท่านผู้บัญชาการทหารอากาศท่านที่ 30 พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ทุ่งสงไปจนถึงการเป็นนักบินรบแห่งกองทัพอากาศไทย
วันนี้จะเป็นเนื้อหาต่อจากตอนที่แล้ว เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สร้างกระแสแก่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่ากำลังทางอากาศคือโล่อันแท้จริงที่จะป้องกันมิให้ภัยมาถึงประเทศเรา นี่คือเรื่องราวของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่นำมาเสนอในตอนอวสานนี้ครับ
ปีพ.ศ.2568 ปีเดียวกับที่จัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F รุ่นใหม่ให้เข้าประจำการในกองทัพอากาศไทย สถานการณ์ชายแดนที่ภาคอีสานใต้ปะทุขึ้นจากเรื่องแผนที่ที่ไม่ตรงกัน แน่นอนว่าผู้ที่จะที่หยุดยั้งความขัดแย้งนี้คือ Gripen และ F-16 ทั้ง 2 แบบนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องบินขับไล่ Multi-Role หรือ Swing-Role Aircraft ซึ่งมีความสามารถในการปฏิบัติภารกิจที่หลากหลายในเครื่องบินแบบเดียว
Gripen บินโชว์งาน 88 ปีกองทัพอากาศ
นี่คือสิ่งที่ทำให้การลงทุนคุ้มค่า เนื่องจากประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก จำเป็นต้องซื้อเครื่องบินที่สามารถทำภารกิจได้ครบถ้วน โดยไม่ต้องแยกซื้อเครื่องบินสำหรับภารกิจขับไล่ ทิ้งระเบิด และลาดตระเวนโดยเฉพาะ
พี่ไก่ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล แม้จะเคยเป็นอดีตนักบิน F-16 แต่ท่านก็มองเห็นความสำคัญของ Gripen หาใช่ว่าท่านเคยเป็นนักบินแบบนี้มาก่อน การส่ง Gripen เข้าร่วมรบเพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความสามารถของนักบินไทยที่ผ่านการฝึกฝนมาดียิ่งแล้ว
ภารกิจหลักของเครื่องบิน Gripen คือการต่อสู้กับเครื่องบินรบข้าศึกกลางอากาศแต่เนื่องจากกัมพูชาเครื่องบินรบหามีเครื่องบินรบไม่
จึงเปลี่ยนไปเป็นการโจมตีทำลายเป้าหมายภาคพื้นดินด้วยระเบิดหรือขีปนาวุธ ตามมาด้วยการลาดตระเวนทางอากาศเพื่อบันทึกภาพและส่งข้อมูลให้หน่วยข่าวกรองประเมินสถานการณ์
แม้ว่าเครื่องบินรบจะมีความพร้อมสูงแต่ภารกิจโจมตีทางอากาศหรือการทิ้งระเบิดไม่ได้เป็นเรื่องง่าย และต้องผ่านกระบวนการที่รัดกุมและซับซ้อนมาก การที่เครื่องบินรบทั้ง F-16 หรือ Gripen ถูกนำมาใช้ใน "ปฏิบัติการยุทธบดินทร์" นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากอำนาจการทำลายล้างของเครื่องบินรบนั้นสูงและตรงเป้าหมาย
F-16 ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช ประจำการมานานกว่า 37 ปี
เริ่มแรกต้องมีการกำหนดเป้าหมายภาคพื้นดินที่จะถูกให้ทำลาย โดยภารกิจการโจมตีทางอากาศมีดังนี้
▶️ BAI (Battle Air Interdiction): เป้าหมายที่อยู่ในบริเวณพื้นที่การรบอย่างเช่น BM-21 รถถัง T-55 หรือปืนใหญ่ทหารกัมพูชา หากถูกทำลายจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียความสามารถในการรบ
▶️AI (Air Interdiction) การบินโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปจากพื้นที่ปะทะ เพื่อจำกัดศักยภาพในการทำสงครามของฝ่ายตรงข้าม
▶️Center of Gravity เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อการทำสงครามของประเทศคู่สงคราม เช่น โครงสร้างพื้นฐาน, โรงไฟฟ้า, โรงผลิตอาวุธ, หรือแม้แต่การทำลายผู้นำในการทำสงคราม
การอนุมัติเป้าหมายนั้นขึ้นอยู่กับระดับความสำคัญ
▶️เป้าหมายในพื้นที่ยุทธบริเวณ อาจได้รับการอนุมัติจากแม่ทัพภาคหรือผู้บัญชาการเหล่าทัพ
▶️เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจสูงกว่า เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
▶️ เป้าหมายที่สำคัญที่สุด ต้องได้รับการอนุมัติจาก นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นทั้งหมด
F-16 ฝูงบิน 103 พร้อมกระเปาะพ่นควัน Smokewinder ที่ปลายปีก
ทั้งนี้นักบินในหน่วยบินไม่ใช่ผู้กำหนดเป้าหมายเอง แต่ทำตามคำสั่ง หากคำสั่งนั้นถูกต้องตามกฎหมาย นักบินจะต้องทำตามคำสั่งโดยไม่มีความผิด แต่ถ้าคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทหารมีสิทธิ์ไม่ทำตาม
สำหรับการเลือกใช้อาวุธด้วยความแม่นยำ การโจมตีทางอากาศต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดว่าจุดใดมีผลกระทบสำคัญต่อคู่ต่อสู้ หน่วยวิเคราะห์จะกำหนดรายละเอียดการโจมตีอย่างแม่นยำ รวมถึงประเภทอาวุธที่ใช้ จำนวนที่ต้องการทำลาย, มุมของระเบิด, และเวลาที่กำหนดต้องแม่นยำถึงหลักวินาที
อาวุธที่ใช้ติดตั้งกับ F-16 และ Gripen คือ General Purpose Bomb หรือระเบิด อเนกประสงค์ เช่น Mk.82 ขนาด 500 ปอนด์ ระเบิด Mk.82 ธรรมดาอาศัยแรงโน้มถ่วง ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนประมาณ 50 เมตร
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เพิ่มความแม่นยำด้วย ชุดคิทอัจฉริยะจนทำให้กลายเป็น Smart Bomb ซึ่งทำให้ความคลาดเคลื่อนเหลือเพียง 1-2 เมตรเท่านั้น
ทั้ง F-16 และ Gripen จะใช้ Laser Guided Bomb เช่น GBU-12 หรือ GBU แบบอื่นๆ อาวุธแบบนี้ใช้หัวตรวจจับเลเซอร์ที่สะท้อนจากเป้าหมายที่ถูกฉายโดยเลเซอร์
ลำดับถัดมาเป็น GPS Guided Bomb โดยเฉพาะ KGGB JDAM สัญชาติเกาหลี ชุดคิทระเบิดแบบนี้เมื่อใช้งานกับ Mk.82 ระบบ GPS จะนำทางเข้าหาพิกัดละติจูดและลองจิจูดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ความแม่นยำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการ ลดความเสียหายข้างเคียง (Collateral Damage) คือผลเสียต่อเป้าหมายที่เราไม่ต้องการทำลาย เช่น บ้านเรือนประชาชน หรือสิ่งปลูกสร้างอื่น. ดังนั้นในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาช่วงปลายเดือนกรกฎาคม กองทัพอากาศไทยมีเจตนาในการโจมตีเป้าหมายทางทหาร ไม่ได้เจตนาที่จะไปทำลายโรงพยาบาล, โรงเรียน, และชุมชน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำสงคราม
หากเป้าหมายเคลื่อนที่ได้และไม่สามารถเตรียมแผนล่วงหน้าได้ จะมีการใช้ภารกิจที่ยืดหยุ่นสูงก่อนใช้กำลังทางอากาศเข้าโจมตี
ในขั้นต่อไป
เครื่องบินขับไล่ Gripen กองทัพอากาศไทย
ที่ขาดไม่ได้ในสมรภูมิชายแดนยุคใหม่นี้คือการทำ Close Air Support (CAS) หรือการสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด กองกำลังภาคพื้นของเราที่กำลังปะทะอยู่จะเรียกเครื่องบินให้มาโจมตีฝ่ายข้าศึกเพื่อเพิ่มความได้เปรียบ ข้างล่างจะมีทีมควบคุมภาคพื้น (Combat Control Team) ซึ่งมีคนของทหารอากาศอยู่ด้วย คอยคุยกับนักบินและอนุมัติในเสี้ยววินาทีเพื่อให้มั่นใจว่าระเบิดจะไม่โดนฝ่ายเรา
ต่อมาเป็นภารกิจ SCAR  (Strike Coordination and Reconnaissance) เป็นการทำลายเป้าหมายที่ปรากฏขึ้นมา ณ ช่วงเวลานั้นเช่น รถยิงจรวด หรือรถของผู้นำ. เครื่องบินจะบินวนรอคำสั่งในพื้นที่ที่กำหนดโดยมีเครื่องบินที่ทำภารกิจ SCAR ทำหน้าที่ประสานงานการโจมตี และยืนยันการทำลายเป้าหมายด้วยกล้องส่องเป้า (Targeting Pod).
ภารกิจเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความ ยืดหยุ่น (Flexibility) ในการปฏิบัติการของกองทัพอากาศไทยเพื่อปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามนั่นคือการโจมตีของกัมพูชา
>>ไทม์ไลน์การใช้กำลังทางอากาศในเหตุปะทะไทย–กัมพูชา พ.ศ. 2568
วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 10:58 น. เครื่องบินขับไล่เอฟ-16 ของกองทัพอากาศไทยจำนวน 6 เครื่องได้ทิ้งระเบิดโจมตีเป้าหมายทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาฝ่ายไทยอ้างว่ากองบัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 8 และกองบัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 9 ของกัมพูชาถูกทำลายจากการโจมตีดังกล่าว
ในวันนี้เดียวกันนี้สื่อกัมพูชาใช้เฟกนิวส์เล่นงานไทยที่ระบุว่าเครื่องบินเอฟ-16 ถูกยิงตก
ต่อมาวันที่ 27 กรกฎาคมเป็นวันที่ 3 ที่กองทัพอากาศไทยใช้ F-16 ปกป้องอธิปไตยร่วมกับทหารไทยบนภาคพื้นดิน ในช่วงบ่ายกองทัพอากาศไทยได้ดำเนินการตอบโต้ โดยส่งเครื่องบินขับไล่เอฟ-16 และเครื่องบินขับไล่กริพเพน เข้าโจมตีรถยิงจรวด BM-21 ของกัมพูชาในบริเวณปราสาทตาควายและตาเมือนธม โดยสามารถทำลายเป้าหมายได้สำเร็จ ก่อนกลับฐานโดยปลอดภัย
F-16 ขณะร่อนลงที่กองบิน 1 โคราช
ในวันที่ 30 กรกฎาคมของปีเดียวกัน สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนบริเวณดังกล่าวเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่มีรายงานเหตุยิงหรือการปะทะเพิ่มเติม และไม่ปรากฏเหตุการณ์ความรุนแรงในลักษณะอื่นใด อย่างไรก็ตาม เครื่องบินขับไล่ F-16 ยังคงขึ้นบินตามแนวชายแดนเพื่อทำการบินลาดตระเวนโดยไม่มีการใช้อาวุธเหมือนกับตลอด 5 วันที่ผ่านมา
2 เดือนผ่านไปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงตึงเครียดไม่มีทีท่าว่าจะสงบ โดยมีการรายงานว่า ฝ่ายกัมพูชามีการเสริมกำลังพลและขนอาวุธหนักเข้ามาประชิดชายแดน อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางบกดูเหมือนจะถูกสยบลงชั่วคราวด้วยอานุภาพและภาพลักษณ์ของกองทัพอากาศไทย เมื่อมีรายงานว่า เพียงแค่เสียงเครื่องบินขับไล่ F-16 ของไทยขึ้นบิน ก็ทำให้ทหารกัมพูชาต้องแตกกระเจิง วิ่งหนีเข้าบังเกอร์และป่าไปคนละทิศละทางอย่างวุ่นวาย
แม้ว่าภารกิจของ F-16 ดังกล่าวจะเป็นการฝึกบินลาดตระเวนตามวงรอบปกติในเขตอีสานอันเป็นพื้นที่การฝึกบินของกองบิน 1 โคราช และไม่ได้บินเข้าไปใกล้ชายแดนแต่อย่างใด แต่การตอบสนองอย่างฉับพลันของฝ่ายกัมพูชา สะท้อนให้เห็นถึงความเกรงกลัวในแสนยานุภาพของเครื่องบินขับไล่หลักของไทย ซึ่งทางช่องสไนปอร์นิวส์เคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า F-16 นั้นติดอาวุธขั้นรุนแรงสามารถทิ้งระเบิดใส่ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และเผากำลังพลของกัมพูชาให้กลายเป็นศพได้ทั้งกองพัน
ความพร้อมรบ 24 ชั่วโมงของกองทัพอากาศไทยดำเนินงานภายใต้แนวคิด "All day all night" ซึ่งสามารถปฏิบัติการได้ทันทีเมื่อมีคำสั่งมาทุกฝูงบินรวมถึงฝูงบิน F-16 ทั้ง 2 ฝูงบิน ไม่ว่าจะเป็นฝูงบิน 403 หรือฝูงบิน 103 ต่างก็มีความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยของไทย
F-16 กองทัพอากาศนอร์เวย์จะมีส่วนปลายบริเวณแพนหางดิ่งที่ยาวออกมา นั่นคือจุดที่ปล่อยร่มชูชีพขณะลงสนาม (F-16 ไทยก็มีแบบนี้ตอนได้มาจากสิงคโปร์)
ปัจจุบัน F-16 ถูกจัดเป็นฝูงบินรบหลักที่สามารถทำได้ทั้งการรบภาคพื้นดิน โดยจะเห็นได้จากการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นโดยแม่นยำในสถานการณ์ที่ผ่านมาหรือการสกัดกั้นทางอากาศตามชายแดนไทย-พม่า กองทัพอากาศได้สื่อสารถึงความพร้อมนี้ โดยเผยแพร่ภาพผ่านการฝึกหรือการนำมาจัดเเสดงในงานต่างๆเพื่อแสดงให้เห็นถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พร้อมใช้งาน
อาวุธสำคัญที่ถูกนำมาใช้โจมตีคือ "ไข่ยักษ์" หรือระเบิด 500 ปอนด์ 1,000 ปอนด์ หรือ 2,000 ปอนด์ หรือรุ่นอะไรต่อมิอะไรที่นำมาใช้มันก็เป็นผลพวงมาจากการผลิตขึ้นเองในประเทศ ที่เราสร้างเองเพื่อให้เห็นว่าเราไม่ได้มีขีดความสามารถทางการรบแต่เรายังมีความความพร้อมในการพัฒนาอาวุธขึ้นเอง
นอกจากนี้เครื่องบิน F-16 และ Gripen ไม่ได้แบกไข่ยักษ์ ยังมีการแบกขีปนาวุธอากาศสู่อากาศบริเวณปลายปีกทั้ง 2 ข้าง แม้จะไม่ได้แสดงถึงการตอบโต้ภัยคุกคามทางอากาศต่อกัมพูชา เพราะฝ่ายเรารู้มานานว่าข้าศึกไม่มีเครื่องบินขับไล่ เราจึงต้องติดขึ้นไปเพื่อข่มขวัญและสร้างความน่าเกรงขามให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็น
ในการรบครั้งนี้มีฝูงบิน F-16 ที่ทันสมัยที่สุด คือ ฝูงบิน 403 สังกัดกองบิน 4 ตาคลี นครสวรรค์ ซึ่งเดิมทีจะถูกส่งขึ้นบินทันทีเพื่อตอบโต้เมื่อมีการรุกล้ำทางอากาศ เช่น กรณีที่กองทัพพม่าส่งเครื่องบินเข้ามาใกล้ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ชายแดนที่ภาคอีสานใต้ พี่ไก่จึงให้ฝูงบิน 403 มาวางกำลังที่โคราช
หากมีการปะทะกันสาเหตุหลักคือเรื่องของดินแดนและหากตกลงกันไม่ได้ เหตุการณ์อาจจะซ้ำรอยปีพ.ศ. 2554 หรือร้ายแรงไปมากกว่าจนเรียกว่าเป็นสงครามก็ยังได้
ปีพ.ศ.2568 Gripen มีบทบาทในสมรภูมิไทย-กัมพูชาเป็นครั้งแรก
ย้อนกลับไปในการปะทะปีพ.ศ. 2554 กัมพูชาได้มีการยิงจรวด BM21 เข้ามา ขณะที่ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยการยิงปืนใหญ่ซันโว ในช่วงเวลานั้น F-16 ยังไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก เพราะทหารบกมีบทบาทเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม หลังการปะทะในปีนั้น กัมพูชาได้เรียนรู้ถึงช่องโหว่ของกองทัพตนเอง และได้มีการจัดซื้ออาวุธเพื่ออุดช่องโหวเหล่านี้ อาวุธที่จัดซื้อส่วนใหญ่มาจากจีน เนื่องจากมีราคาถูกและมีประสิทธิภาพพอประมาณ อาวุธที่กัมพูชามีประจำการเพิ่มขึ้นได้แก่ จรวดหลายลำกล้องขนาด 300 มม. และ 122 มม. รวมถึงปืนใหญ่เคลื่อนที่
ที่สำคัญคือ กัมพูชาได้จัดซื้อระบบป้องกันภัยทางอากาศรุ่น KS1C ซึ่งถูกระบุว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดในกองทัพกัมพูชา ระบบ KS1C นี้ตามสเปคสามารถสอยเป้าหมายได้ไกลถึง 70 กิโลเมตร
หากการปะทะบานปลายเกินจะรับมือเหมือนปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาหรือร้ายแรงกว่าเดิมจนเป็นสงคราม กองทัพบกอาจร้องขอการสนับสนุนจากกองทัพอากาศและต้องใช้ F-16 เข้ามาจัดการ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการรบที่มีประสิทธิภาพคือการข่าวกรอง ไทยจำเป็นต้องทราบที่ตั้งสำคัญของกัมพูชาในแนวหลังของศัตรู เช่น ตำแหน่งของจรวดหลายลำกล้องขนาดต่าง ๆ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ KS1C
F-16 ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราชพร้อมถังเชื้อเพลิง 2 ถังใต้ปีก
ในการตอบโต้ด้วยอาวุธที่เฉียบขาด หากไทยต้องการสยบความอหังการของอีกฝ่าย แม้ว่าปัจจุบันกองทัพอากาศจะยังไม่ได้จัดซื้อระเบิดร่อนแบบ JDAM ของอเมริกา แต่ F-16 ของไทยมีความสามารถในการติดตั้งชุดคิทระเบิดร่อนของเกาหลีหรือ JDAM เกาหลี อย่าง KGGB ซึ่งระเบิดร่อนของเกาหลีนี้ถูกระบุว่ามีความสามารถสูงกว่าค่ายอเมริกา
ความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของอาวุธนี้อยู่ที่พิสัยการยิง มันสามารถปล่อยจากความสูง 3 กิโลเมตร ไปจนถึง 12 กิโลเมตร ยิ่งปล่อยจากความสูงมากระเบิดก็จะยิ่งร่อนได้ไกล โดยมีพิสัยไกลสุดถึง 120 กิโลเมตร พูดง่ายๆคือแค่ยิงจากช่องบกเข้าไปใส่ BM-21 และฐานบัญชาการในฝั่งกัมพูชานักบิน F-16 เราก็ไม่ต้องเสี่ยงถูกยิงแล้วตามมาด้วยถูกไล่ล่าแบบในหนังสงครามนั่นเองครับ
หากข่าวกรองของไทยทราบว่าที่ตั้งของระบบป้องกันภัยทางอากาศ KS1C ของกัมพูชามีพิสัยเพียง 70 กิโลเมตร และกัมพูชาอาจตั้งอาวุธใหม่ ๆ ลึกเข้าไปในประเทศเพื่อให้พ้นพิสัยการยิงของปืนใหญ่ไทย พิสัย 120 กิโลเมตรของระเบิดร่อน KGGB ที่หลุดจากใต้ปีกของ F-16 ไทยนั้นรับประกันได้ว่าจะไม่รอดพิสัยการยิงอย่างแน่นอน
นั่นหมายความว่า F-16 สามารถโจมตีเป้าหมายสำคัญของกัมพูชาได้อย่างปลอดภัยจากระยะไกล โดยไม่ต้องเข้าสู่การโดนเด็ดปีกของระบบป้องกันภัยทางอากาศของฝ่ายตรงข้ามอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
วันที่ 30 กันยายนพ.ศ.2568 วันนี้เป็นวันสำคัญที่กองทัพอากาศและเป็นสุดท้ายของแม่ทัพฟ้าคนดัง เพราะได้มีการจัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศระหว่าง พี่ไก่ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ซึ่งเกษียณอายุราชการ กับ พี่คิม พลอากาศเอก เสกสรร คันธา ผู้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ (ท่านใหม่) โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพอากาศ ข้าราชการทหารอากาศ ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ สมาคมคู่สมรสทหารอากาศ สมาคมสโมสรลูกเสืออากาศ และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธี ณ ลานอเนกประสงค์ อุทยานการบินกองทัพอากาศ
พลอากาศเอก เสกสรร คันธา ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ท่านใหม่)
โดยพลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ส่งธงประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ และแฟ้มเอกสารรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้แก่ พลอากาศเอก เสกสรร คันธา ผู้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ (ท่านใหม่) เพื่อแสดงถึงการส่งมอบหน้าที่และการบังคับบัญชาอย่างเป็นทางการ ในโอกาสนี้ กองทัพอากาศได้จัดกำลังพลสวนสนามเพื่อเป็นเกียรติ จำนวน 4 กองพัน ประกอบด้วย
▶️กองพันที่ 1 จัดกำลังพลจาก กรมนักเรียนนายเรืออากาศ รักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช
▶️กองพันที่ 2 จัดกำลังพลจาก กองนักเรียน โรงเรียนจ่าอากาศ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ
▶️กองพันที่ 3 จัดกำลังพลจาก กรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
▶️กองพันที่ 4 จัดกำลังพลจาก กรมทหารต่อสู้อากาศยาน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
เครื่องบินขับไล่ GRIPEN บินผ่านช่วงมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ
นอกจากนี้ยังจัดเครื่องบินขับไล่ GRIPEN จำนวน 1 เครื่อง จากฝูงบิน 701 กองบิน 7 สุราษฎร์ธานี ทำการบินผ่านพิธี จำนวน 2 ห้วง โดยห้วงแรกทำการบินผ่านในช่วงพิธีส่งธงประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ และห้วงที่สองทำการบินผ่านในช่วงผู้บัญชาการทหารใหม่ขึ้นแท่นรับการเคารพ
ซึ่งในปีนี้ได้งดพิธีสวนสนามทางอากาศ เนื่องจากกองทัพอากาศตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการห้วงอากาศ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการเดินทางของพี่น้องประชาชนในห้วงเวลาดังกล่าว จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการบินและการใช้ห้วงอากาศ ทั้งนี้ ได้พิจารณาปรับห้วงเวลาการบินให้กระชับ รวดเร็ว และลดผลกระทบต่อเที่ยวบินพาณิชย์และการเดินทางของประชาชนให้น้อยที่สุด
อย่างไรก็ตามการจัดเครื่องบินขับไล่ GRIPEN มาบินสวนสนามเพียง 1 เครื่อง มาบินสวนสนามมันไม่ใช่แค่การบินสวนสนามที่เรียบง่าย การนำ GRIPEN มาบินอาจสื่อถึงความเป็นผู้นำของพี่ไก่ อดีตผบ.ทอ.ที่คัดสินใจส่งเครื่องบินขับไล่แบบนี้มารบจริงเป็นครั้งแรก อีกทั้งมันคือกำลังทางอากาศอันยิ่งใหญ่ที่จะมาสานต่อทุกๆภารกิจที่เครื่องบินขับไล่ F-16 ฝูงบิน 102 กองบิน 1 โคราชเคยทำไว้
นี่คือก้าวใหม่แห่งกองทัพอากาศไทยกับการมีเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงที่มาพร้อมกับขีปนาวุธอากาศสู่อากาศที่ยิงได้ไกลที่สุดอย่าง Meteor และมีระเบิดร่อนที่ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเรื่องราวนี้กำลังจะเริ่มต้นที่โคราชต่อจาก F-16 ในฐานะผู้สืบทอดเจตนารมณ์ในการปกป้องน่านฟ้าอีสานใต้
GRIPEN คือเรื่องราวใหม่ของกองทัพอากาศไทยที่ชวนให้ติดตาม แม้จะไม่มี F-16 บินบนฟ้าให้คนชายแดนฝั่งนั้นได้ยิน แต่เมื่อใดที่มีเสียง GRIPEN บินบนฟ้าเมื่อนั้นปวงประชาทั้งหลายจะอุ่นใจที่บนน่านฟ้าไทยมีเครื่องบินขับไล่สุดทันสมัยคอยปกป้อง
บิ๊กคิมขณะให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
"ผมไม่คิดว่าจะมีเวลามาเลี้ยงฉลองการรับตำแหน่ง หรือรับการแสดงความยินดีใด ๆ ในขณะที่ยังมีพี่น้องทหารปฎิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน เพื่อรักษาธิปไตย อยู่ทุกวัน ทุกคืน"
"สิ่งแรกที่ผมจะกระทำคือ จะสั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกองทัพอากาศ เตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจได้ทันทีเมื่อรับคำสั่ง และคิดว่าเราไม่ได้ต้องการสงคราม แต่ถ้าเราต้องการสันติภาพ เราต้องพร้อมรบ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพอากาศ"
พลอากาศเอก เสกสรร คันธา ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ท่านใหม่)
สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับ F-16 ที่จัดทำขึ้นในวาระพิเศษครบรอบ 30 ปี F-16 ฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี ก็จบลงไปแล้ว ผู้เขียนขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนจบบทความทั่งหมด 16 ตอน เมื่อมีโอกาสพิเศษจะนำเสนออาวุธยุทโธปกรณ์ของทุกเหล่าทัพไม่ว่าจะเป็นบก เรือ อากาศ ออกมาเเบบนี้ให้ทุกท่านได้ติดตามกัน
ผู้เขียนขอขอบคุณนักบิน ผู้บังคับบัญชาตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกท่านที่ทำให้บทความนี้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านบทความนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับท่านผู้อ่านทุกท่าน ขณะนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
SUKASOM HIRAMPHAN
Long Shot
Top News
OMID83
chaiwatf16
aviation.snap
The Standard
ปิยะฉัตร แกหลง
เรียบเรียงโดย : เบิ้ล ตาควาย
โฆษณา