7 ต.ค. เวลา 09:29 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🚀 “OpenAI Agent Builder” จุดเปลี่ยนที่ฆ่าสตาร์ทอัพ แต่เปิดทางให้ผู้สร้างยุคใหม่?

ทำไม “คูเมือง” ที่แท้จริงของธุรกิจยุค AI ไม่ใช่เทคโนโลยีอีกต่อไป แต่คือ “คุณค่า ความเข้าใจมนุษย์ และความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว”
====
💥 โลกใหม่หลัง Dev Day 2025?
เมื่อ AI ทำให้เกมสตาร์ทอัพเปลี่ยนจาก “การสร้างเทคโนโลยี” เป็น “การอยู่รอดในโลกที่เทคโนโลยีลอกได้ทุกอย่าง”?
คืนเดียวหลังจาก OpenAI เปิดตัว Agent Builder เครื่องมือที่ให้ใครก็สามารถสร้าง AI Assistant ของตัวเองได้ภายในไม่กี่นาที โลกของสตาร์ทอัพสะเทือนทันที เพราะนั่นหมายถึง “แต้มต่อทางเทคนิค” ที่เคยเป็นอาวุธหลักของผู้ก่อตั้งทั่วโลก กำลังจะหายไปอย่างสมบูรณ์
วันนี้ Founder ทุกคนเข้าถึงโมเดลระดับโลกได้เท่ากันหมด แต่สิ่งที่แยกผู้ชนะออกจากผู้แพ้คือ “คุณค่าที่สร้างได้ด้วยมนุษย์”
สิ่งที่ OpenAI ทำใน Dev Day 2025 ไม่ใช่เพียงการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่อย่าง AgentKit, Apps SDK หรือ Codex Pro แต่คือการ “พลิกนิยาม” ของคำว่า Innovation ทั้งระบบ เพราะตอนนี้เครื่องมือที่เคยต้องใช้ทีม 10 คนและเวลาหลายเดือน สามารถทำได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงโดยคนคนเดียว โลกกำลังเข้าสู่ยุคของ Defensibility Crisis เมื่อเทคโนโลยีไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้อีกต่อไป และสิ่งที่เหลืออยู่คือ “ความเข้าใจมนุษย์” ที่ลึกกว่าคู่แข่ง
ในอดีต บริษัทที่มีเทคโนโลยีเหนือกว่า คือผู้ชนะ แต่ในวันนี้ ความเร็วของการลอกเลียนแบบทำให้ “เทคโนโลยี” กลายเป็นของกลางที่ใครก็ใช้ได้ การสร้างคูเมืองด้วยเครื่องมือเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพออีกต่อไป
====
🏰 “คูเมืองแบบเก่า” พังแล้ว เมื่อ “คูเมืองใหม่” ต้องสร้างบนฐานของคุณค่า ความสัมพันธ์ และ Insight ของผู้คน
อดีตของสตาร์ทอัพคือการวิ่งแข่งเพื่อ “สร้างก่อน” แต่อนาคตคือการแข่งขันกันที่ “เข้าใจลึกกว่า” Founder ที่เก่งที่สุดในยุคนี้ไม่ใช่คนที่รู้จักเทคโนโลยีมากที่สุด แต่คือคนที่เข้าใจว่าผู้ใช้รู้สึกอะไร คิดอย่างไร และต้องการอะไรโดยไม่พูดออกมา
“เทคโนโลยีคือหัวใจของเครื่องจักร แต่ความเข้าใจมนุษย์คือหัวใจของธุรกิจ”
ในโลกที่ AI กำลังทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น ถูกลง และง่ายขึ้น ธุรกิจจะต้องสร้าง “คุณค่า” ที่ไม่สามารถคำนวณด้วยโค้ดได้ นี่คือ 5 คูเมืองใหม่ของยุคหลัง Agent Builder และบทเรียนที่องค์กรไทยต้องเรียนรู้ ก่อนที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกครั้ง
====
1️⃣ Own the Data — เป็นเจ้าของข้อมูล ไม่ใช่แค่ผู้ใช้เทคโนโลยี
API คือของสาธารณะ แต่ “ข้อมูล” คือขุมทรัพย์ส่วนตัว บริษัทอย่าง Throxy (YC x25) ไม่รอข้อมูลจาก LinkedIn หรือ Apollo แต่สร้างระบบเก็บข้อมูลของตนเอง ทุกครั้งที่มีการใช้งาน ระบบจะเรียนรู้และฉลาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเติบโตด้วยตัวเองในทุกวินาที
ในไทย ธุรกิจจำนวนมากยังอยู่ในวังวนของการ “เช่า Data”  ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ เช่น LINE, Shopee, Meta หรือ TikTok โดยไม่สร้างฐานข้อมูลผู้ใช้ของตนเอง เมื่อใดที่แพลตฟอร์มเหล่านี้เปลี่ยนนโยบายหรือเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่ม ธุรกิจไทยก็ต้องเริ่มจากศูนย์ สิ่งที่น่ากังวลคือ เรามีเครื่องมือเท่ากับโลก แต่กลับไม่มี ฐานข้อมูลของเราเอง
ยุคหน้า ผู้ชนะไม่ใช่คนที่ใช้ AI เก่งที่สุด แต่คือคนที่มี Data ให้ AI เรียนรู้มากที่สุด
การสร้าง “Data Moat” จึงไม่ใช่แค่การเก็บข้อมูลจำนวนมาก แต่คือการเก็บ “ข้อมูลที่มีความหมาย” เช่น ความถี่การใช้ พฤติกรรมที่สะท้อนอารมณ์ และข้อมูลที่สะท้อนเจตนา (Intent Data) ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ถ้าไม่มีมนุษย์ช่วยตีความ
====
2️⃣ Build the UX Moat — เมื่อประสบการณ์ผู้ใช้คือเกราะป้องกันสุดท้าย
ในโลกที่เทคโนโลยีถูกโคลนได้ทุกวัน สิ่งเดียวที่ลอกไม่ได้คือ “ความรู้สึกของผู้ใช้” แอปอย่าง Granola ไม่ได้ชนะเพราะบันทึกการประชุมได้ดีกว่า แต่เพราะมัน “รู้สึกดี”  เร็ว เรียบง่าย และเข้าใจผู้ใช้ในระดับจิตวิทยา UX จึงไม่ใช่เรื่องของดีไซน์ แต่คือ “ความเข้าใจมนุษย์” ที่ฝังอยู่ในทุกคลิก ทุกเสียง และทุกคำตอบของระบบ
ตัวอย่างในไทย เช่น Robinhood ของ SCB ที่ใช้ประสบการณ์ผู้ใช้ที่เข้าใจความรู้สึกของร้านอาหารรายเล็ก เพื่อสร้างความภักดี และ K PLUS ของกสิกรไทย ที่ออกแบบประสบการณ์ทางการเงินให้ซับซ้อนน้อยที่สุด UX ที่ดีคือการทำให้สิ่งยาก “หายไป” จนผู้ใช้รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติ นั่นคือคูเมืองที่ไม่มีใครขุดลอกได้
ในโลกที่ทุกคนมีเทคโนโลยีเท่ากัน ผู้ชนะคือคนที่สร้างประสบการณ์ที่มนุษย์อยากอยู่ด้วยซ้ำไป
UX Moat ไม่ได้เกิดจากเงินทุนหรือทีมดีไซน์ แต่เกิดจาก “Empathy”  ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความต้องการของผู้ใช้ ที่บางครั้งพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว
====
3️⃣ Empower Non-Tech Users — ให้คนธรรมดากลายเป็นผู้สร้างระบบ
AI ที่ดีไม่ใช่ AI ที่ซับซ้อนที่สุด แต่คือ AI ที่ทำให้คนทั่วไป “ทำสิ่งที่เคยยากให้เป็นเรื่องง่าย” Lovable คือกรณีศึกษาคลาสสิก  จากเดิมที่ต้องใช้ทีมดีไซน์หลายคน ตอนนี้ใครๆ ก็สร้างแบรนด์ของตัวเองได้ในไม่กี่นาที ทั้ง Moodboard สี และฟอนต์ครบชุด
ในประเทศไทย แนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นจริง ฝ่าย HR เริ่มสร้าง Chatbot ตอบคำถามพนักงานเอง ฝ่ายการตลาดเริ่มใช้ AI เขียนแผนสื่อสารและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าโดยไม่ต้องรอ Data Scientist และเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ ใช้ ChatGPT วิเคราะห์ยอดขายประจำเดือน เพื่อปรับโปรโมชั่นได้ด้วยตนเอง
คูเมืองใหม่คือการปลดล็อกพลังของคนที่ไม่ใช่สายเทคนิค ให้กลายเป็นผู้สร้างระบบแทนที่จะรอระบบจากคนอื่น
นี่คือแนวโน้มสำคัญของเศรษฐกิจใหม่ ที่คนในองค์กรทุกระดับจะกลายเป็น “Citizen Developer” ผู้สร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์หน้างานของตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอฝ่าย IT หรือ Consult ภายนอกอีกต่อไป
====
4️⃣ Move Up the Stack — จาก “ฟีเจอร์” สู่ “ระบบนิเวศที่คนขาดไม่ได้”
Perplexity AI เริ่มจากเครื่องมือค้นหาด้วย AI แต่กำลังกลายเป็น “AI Browser” ที่ผู้ใช้ใช้แทน Google ได้จริงในชีวิตประจำวัน นี่คือการย้ายจาก “ฟีเจอร์” ไปสู่ “พฤติกรรม” ที่ฝังอยู่ในชีวิตผู้ใช้
ในไทย เราเห็นทิศทางนี้จากหลายองค์กร เช่น LINE MAN Wongnai ที่ไม่ได้ขายอาหารอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นระบบนิเวศธุรกิจร้านอาหาร หรือ SCB EASY ที่กำลังพัฒนาไปสู่แพลตฟอร์มการใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่แอปการเงิน การเข้าไปอยู่ใน “จังหวะชีวิตของผู้ใช้” คือการสร้างคูเมืองที่ไม่มีใครมาแทนได้
อย่าขายเครื่องมือที่คนใช้ชั่วคราว  ให้สร้างระบบที่คนใช้ทุกวันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา
บริษัทไทยที่เข้าใจแนวคิดนี้จะสามารถต่อยอดจากการขายบริการรายครั้ง ไปสู่การเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของชีวิตประจำวัน”  เช่น Grab ที่เริ่มจากการเรียกรถ แต่วันนี้กลายเป็น Payment Platform และ Super App ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
====
5️⃣ Go Deep, Not Wide — หยุดอยากเป็นทุกอย่าง แล้วโฟกัสสิ่งเดียวให้ดีที่สุด
ในโลก AI ที่ทุกอย่างถูกทำให้เร็วและง่าย บริษัทที่พยายาม “ทำทุกอย่าง” จะจมหายไป แต่บริษัทที่ “เจาะลึก” อย่างหมกมุ่น จะกลายเป็นผู้นำตลาดเฉพาะทางอย่างยั่งยืน ElevenLabs คือกรณีตัวอย่าง พวกเขาโฟกัสเพียงอย่างเดียวคือ Voice AI และทำให้ดีที่สุดในโลก วันนี้เสียงของ ElevenLabs ถูกใช้ในสื่อ ครีเอเตอร์ และบริษัทระดับโลกนับพันแห่ง
ในไทย เราเห็นสัญญาณคล้ายกัน เช่น FlowAccount ที่เข้าใจปัญหา SME อย่างลึก และ Builk ที่รู้จริงเรื่องอุตสาหกรรมก่อสร้างดิจิทัล แต่บริษัทจำนวนมากกลับ “ขยายกว้าง” ก่อนจะ “เก่งพอ” ในสิ่งหนึ่ง ผลคือสูญเสียเอกลักษณ์และจุดยืนของตัวเองในที่สุด
ในโลกที่ AI ทำได้ทุกอย่าง สิ่งเดียวที่มนุษย์ควรทำคือ ทำสิ่งเดียวให้ดีที่สุดในโลก แล้วโลกจะจำเราได้
====
⚖️ บทเรียนใหญ่สำหรับองค์กรไทย: “อย่าเปลี่ยนเครื่องมือ โดยไม่เปลี่ยนวิธีคิด”
องค์กรไทยจำนวนมากยังติดอยู่ในยุคของ “นวัตกรรมเชิงพิธีกรรม” ตั้ง Innovation Lab, จัด Hackathon, หรือซื้อลิขสิทธิ์ AI มาใช้ แต่ไม่เคยเปลี่ยนกระบวนทัศน์ภายในจริง เราเห็นโครงการที่เริ่มด้วยเสียงตบมือ แต่จบลงด้วยไฟล์ PowerPoint ที่ไม่มีใครเปิดอีกเลย เกมของโลกใหม่ไม่ได้อยู่ที่ “ใครเริ่มก่อน” แต่อยู่ที่ “ใครปรับตัวเร็วและลึกพอ”
“องค์กรที่เปลี่ยนวิธีคิด จะใช้ AI เป็นพลังเร่งการเติบโต
องค์กรที่ไม่เปลี่ยน จะใช้ AI เป็นข้ออ้างในการชะลอการเปลี่ยนแปลง”
ผู้นำไทยต้องเลิกถามว่า “เราควรใช้ AI ยังไง” แล้วเริ่มถามว่า “เราจะเปลี่ยนวิธีคิดของคนในองค์กรให้เรียนรู้ AI ยังไง” เพราะสุดท้ายแล้ว นวัตกรรมไม่เกิดจากเครื่องมือ แต่มาจาก “ทัศนคติของคน” ที่ใช้มันต่างหาก
1
====
🌍 จากยุคของ Software Startup สู่ยุคของ “Human Startup”
ยุคต่อไปของการสร้างธุรกิจจะไม่ใช่การแข่งขันว่า “ใครเขียนโค้ดได้เก่งกว่า” แต่คือ “ใครเข้าใจมนุษย์ลึกกว่า” Founder ที่จะอยู่รอดไม่จำเป็นต้องเป็นวิศวกร แต่ต้องเป็นนักคิด นักสื่อสาร และนักออกแบบประสบการณ์ที่มองเห็นความต้องการที่ซ่อนอยู่ของผู้คน
AI จะไม่ฆ่าความฝันของผู้ประกอบการ แต่มันจะฆ่าความคิดแบบ “ลอกของคนอื่นมาเร็วกว่า” เพราะในโลกที่ทุกคนมีเครื่องมือเท่ากัน สิ่งเดียวที่ต่างคือ “เจตนา” และ “ความเข้าใจมนุษย์” ที่ใส่ลงไปในสิ่งที่เราสร้าง
นี่คือยุคที่เทคโนโลยีจะไม่ใช่คูเมืองอีกต่อไป แต่ “คุณค่า ความเข้าใจ และความเป็นมนุษย์” จะเป็นกำแพงสุดท้ายที่ไม่มีใครข้ามได้
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#AI
#StartupStrategy
#OpenAI
#Innovation
#Defensibility
#BusinessMoat
#FutureOfWork
#HumanStartup
โฆษณา