8 ต.ค. เวลา 02:16 • ข่าว

💰 “ดราม่าเหรียญหลวงปู่ทวด“ (เมื่อเซียนพระซัดกันโชว์ในรายการดัง)

เมื่อ “ศรัทธา” กลายเป็นทุน และ “ความเชื่อ” คือกลไกตลาด
จากรายการโหนกระแส (EP2034, https://youtu.be/iOAUM1YA0e4?si=ONPP5MrUKwl3GWty) “สู่คำถามใหญ่ของเศรษฐกิจความเชื่อไทย?”
หมายเหตุ :
1. ข้อคิดเห็นส่วนตัวก่อนเริ่มบทความจากผู้เขียน จริงๆ เรื่องนี้เป็นความรู้ใหม่ของผมนะครับ ซึ่งก็ติดตามมาระยะตั้งแต่ภาพยนตร์ “The Stone : พระแท้คนเก๊” เลยรู้สึกอิน แต่ต้องขอออกตัวก่อนนะครับ ผู้เขียนไม่ได้ดูเป็นว่าพระใดแท้ ไม่แท้เหมือนที่เหล่าเซียนพระที่ช่วงนี้พยายามจะปลุกกระแสวงการพระเครื่อง เครื่องลางของขลัง แต่จะมองบทความในฐานะผู้ที่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์ และเข้าใจโมเดลธุรกิจมาอย่างยาวนาน
2. พอเขียนจบก็รู้สึก (เป็นความเห็นส่วนตัว) ได้ว่า “วงการพระเครื่องนี่เฟี๊ยตดีนะครับ” พื้นฐานแค่ back up ด้ว story, ประวัติศาสตร์, เรื่องเล่า ไม่มีแรงขับทางเศรษฐกิจใดใดทั้งสิ้น แต่ราคาสูงจากความ “เชื่อ” ของคนล้วนๆ พระองค์นึงมีมูลค่ามากกว่าธุรกิจ SMEs บางเจ้าที่กำลังเติบโตเพื่อพัฒนาประเทศด้วยซ้ำ…แปลกดีครับ….ยังไงก็ลองอ่านข้อเขียนนี้ได้ครับ
🔥 จุดเดือดบนหน้าจอ กับรอยร้าวของวงการพระ?
* วันที่ 7 ตุลาคม 2568 รายการ โหนกระแส ของหนุ่ม กรรชัย กลายเป็นสมรภูมิกลางจอ เมื่อสองเซียนพระคนดัง คือ “บอย ท่าพระจันทร์” และ “โอ๊ต บางแพ”  เผชิญหน้ากันด้วยเดิมพันสูงสุดแห่งศักดิ์ศรีเรื่องที่มีวิวาทะกันมาในโลกโซเชีบลสักพัก เรื่อง “เหรียญ หลวงปู่ทวด รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ ปี 2508 เนื้อทองคำ แท้หรือเทียม?”
* เสียงถกเถียงระหว่าง “หลักฐานจากตัวเหรียญ” (รอยตัด, พิมพ์, บล็อก) กับ “หลักฐานจากประวัติศาสตร์รุ่น” ดังสนั่นกลางจอ พร้อมคำประกาศว่า “ถ้าแท้จะออกจากวงการ” อีกฝ่ายก็บอก “ถ้าอย่างที่ผมพูด รับบูชา 5 ล้าน”
* กลายเป็น Talk of the Town ที่สะท้อนให้เห็นสิ่งใหญ่กว่านั้น คือ “วงการพระเครื่องไทยไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่ขับเคลื่อนด้วย ทุนทางความเชื่อ”
ในพริบตาเดียว ราคาของพระเครื่องหนึ่งองค์ถูกกำหนดใหม่ด้วยน้ำเสียงของคนสองคน ทั้งประเทศจับตาดู และตลาดสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความร้อนแรงของดราม่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ของแท้–ของปลอม” แต่คือภาพจำลองของระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยศรัทธา ความไว้วางใจ และพลังของบุคคลที่มีอิทธิพลเหนือข้อเท็จจริง
🧭 “เศรษฐกิจแห่งศรัทธา” ที่ซ่อนอยู่หลังดราม่า
คำถามใหญ่ไม่ใช่แค่เหรียญแท้หรือปลอม แต่คือ “ทำไมตลาดที่มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ถึงยังต้องรอคำตัดสินจากปากใครบางคน?”
* อุตสาหกรรมพระเครื่องไทยคือส่วนหนึ่งของสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Mutelu Economy หรือ เศรษฐกิจสายมู ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมต่อปีระดับ 2–3 หมื่นล้านบาท (อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยปี 2019 และงานวิจัยปี 2024 ที่ประเมินมูลค่าตลาดปี 2567 ราว 2.8 หมื่นล้านบาท) โดยมีแรงซื้อจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะนักสะสมชาวจีนที่มองพระเครื่องไทยเป็น “สินทรัพย์จิตวิญญาณ” ที่มีสภาพคล่องสูงขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดออนไลน์
* นี่คืออุตสาหกรรมที่ผสมผสาน “วัฒนธรรม + ความเชื่อ + การค้า” เข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น เหมือนกับตลาด NFT หรือไวน์หรูในต่างประเทศ แต่ต่างตรงที่ “ระบบตรวจสอบความจริง” (Provenance Infrastructure) ยังอยู่ในยุคก่อนดิจิทัล และอาศัยเพียงชื่อเสียงของผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คนในการชี้เป็นชี้ตาย
* ในตลาดแบบนี้ ศรัทธากลายเป็นสินทรัพย์ และการยืนยันของบุคคลกลายเป็นกลไกตลาด เมื่อใครสักคนประกาศ “รับบูชา” ด้วยราคาเฉียดล้าน มันไม่ใช่แค่การซื้อขาย แต่คือการสร้าง Anchor Price ให้ตลาดทั้งวงการ สไตล์เดียวกับที่ Elon Musk ทวีตเรื่องคริปโตแล้วราคาพุ่งในชั่วข้ามคืนนั่นแหละ
🏗️ โครงสร้างความเชื่อของวงการพระเครื่อง?
ตลาดพระเครื่องไม่ได้อยู่ได้เพราะกลไกอุปสงค์อุปทาน แต่เพราะ “โครงสร้างของศรัทธา” ที่ซับซ้อนทำงานร่วมกันอย่างแนบเนียน ตั้งแต่จิตวิญญาณของผู้บูชา จนถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของผู้ค้า
1. “Belief Layer” — ศรัทธา = จุดเริ่มต้นของมูลค่า
* พระเครื่องไม่ใช่สินค้า แต่เป็น “ตัวแทนของความเชื่อ” ว่าจะให้โชค ให้คุ้มภัย หรือสร้างบุญ การมีเหรียญแท้จึงเท่ากับการครอบครองพลังทางจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เพียงวัตถุทางกายภาพ ความเชื่อเหล่านี้ฝังอยู่ในรากวัฒนธรรมไทยมานานนับศตวรรษ และขยายผลผ่านสื่อสังคมยุคใหม่ที่ทำให้ “สายมู” กลายเป็นกระแสหลักของคนรุ่นใหม่
* Belief Layer ทำให้เกิด Utility เชิงจิตวิญญาณ ที่กระตุ้นให้คนสะสม บูชา และซื้อซ้ำซ้อน คล้ายกับที่แฟนบอลสะสมของที่ระลึก หรือศิลปินสะสมผลงานศิลปะ เพราะมันเป็นการลงทุนในสิ่งที่ให้คุณค่าทางใจมากกว่าเงินตรา
2. Expert/KOL Layer — เซียน และใบรับรองที่กลายเป็นตราเงินตรา
* ในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยี Traceability เช่น Blockchain หรือมีมาตรฐานกลาง ใบรับรองจากสมาคม หรือ “คำพูดของเซียนดัง” คือหน่วยวัดความจริงที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยตรง
* การรับรองจาก KOL ชื่อดังสามารถเปลี่ยนราคาของพระองค์เดียวให้กระโดดขึ้นหลายเท่าทันที เช่นเดียวกับวงการศิลปะที่การลงนามของภัณฑารักษ์ชื่อดังสามารถเพิ่มมูลค่าภาพวาดได้มหาศาล
* แต่ปัญหาคือระบบนี้ “ผูกกับตัวบุคคล” มากเกินไป เมื่อใดที่ผู้รับรองผิดพลาดหรือขัดแย้งกัน ระบบทั้งระบบจะสั่นสะเทือนทันที
* ดังที่เห็นในกรณี “บอย vs โอ๊ต” ซึ่งคำพูดสองประโยคทำให้ราคาของพระเครื่องรุ่นหนึ่งผันผวนราวกับตลาดหุ้น
3. Market Layer — ตลาด และแพลตฟอร์มที่สร้างสภาพคล่อง
* ตลาดพระเครื่องมีทั้งตลาดกายภาพ (ท่าพระจันทร์, พันธุ์ทิพย์งามวงศ์วาน) และตลาดออนไลน์ (เว็บ, แอป, Live สด) ที่ช่วยสร้างสภาพคล่องมหาศาล สื่อธุรกิจไทยรายงานว่ามีบางไลฟ์ขายพระหลักล้านบาทต่อชั่วโมง และหลายแพลตฟอร์มเริ่มดึงดูดทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนที่มองพระไทยเป็น soft power เชิงจิตวิญญาณ
* อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องนี้ก็เปราะบาง เพราะยังไม่มีระบบตรวจสอบข้อมูลกลาง ทำให้ “ความเร็วของการซื้อขาย” ล้ำหน้าความเร็วของ “การตรวจสอบความจริง” อย่างมาก
⚖️ ดราม่าในรายการ = “Stress Test ของระบบศรัทธา”
ในมุมมองของผู้เขียน เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือน Stress Test ของทั้งระบบศรัทธาในวงการพระเครื่อง ที่เผยให้เห็นความเปราะบางอย่างชัดเจนในสามมิติ ไม่ต่างจากเวลาธนาคารถูกทดสอบสภาพคล่องในยามวิกฤต
1. “ไม่มี Shared Truth”: ตลาดยังไม่มีมาตรฐานกลางในการตรวจสอบว่าพระแท้หรือเทียม ต้องอาศัยการตีความเชิงพิมพ์และประวัติศาสตร์ซึ่งเปิดช่องให้เกิดความเห็นต่างไม่รู้จบ เช่น กรณีที่เซียนสองฝ่ายยกภาพเหรียญเดียวกัน แต่คนหนึ่งบอกว่าแท้ อีกคนบอกว่าเทียม เพราะอ้างอิงบล็อกคนละชุด ผู้ชมทั่วไปจึงงงว่าอะไรคือ “ความจริง” ที่แท้จริงกันแน่
2. “KOL Risk สูง”: คำตัดสินของบุคคลหนึ่งสามารถขยับราคาหลายล้านบาทได้ในเวลาไม่กี่นาที เหมือนตลาดคริปโตที่ผูกอยู่กับทวีตของ Elon Musk ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเซียนชื่อดังโพสต์เพียงประโยคเดียวว่า “องค์นี้แท้” ราคาก็พุ่งทันที แต่ถ้าโพสต์ว่า “องค์นี้เก๊” ราคาก็ร่วงลงราวกับหุ้นในตลาดที่ขาดสภาพคล่อง
3. Reputation Risk ต่อ Soft Power ไทย: การปะทะกันบนสื่อหลักระดับชาติทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่รวมถึงผู้ซื้อจากต่างประเทศ ตั้งคำถามเรื่องมาตรฐานรับรองและความโปร่งใสของตลาดไทยมากขึ้น?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดราม่านี้คือกระจกสะท้อนให้เห็นว่า “ศรัทธา” ที่เคยเป็นทุนทางวัฒนธรรมกำลังถูกทดสอบด้วยแรงเสียดทานจาก “ข้อเท็จจริง” และ “ความโปร่งใส” เมื่อไม่มีระบบที่น่าเชื่อถือรองรับ ความเชื่อที่เคยสร้างมูลค่ามหาศาลก็อาจกลายเป็นชนวนทำลายตลาดได้ในชั่วข้ามคืนเช่นกัน
🧩 พระเครื่อง: Soft Power หรือ Shadow Market?
* พระเครื่องคือสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ทรงพลัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีพื้นที่สีเทามากมาย ทั้งการประเมินราคา การปลอมบัตร การเก็งกำไร และการโฆษณาผ่าน KOL ที่มักเบลอเส้นแบ่งระหว่าง “คำแนะนำ” กับ “การชี้นำตลาด” ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความเชื่อของผู้ซื้อและผู้สะสม
* ยกตัวอย่างเช่น การ Live สดขายพระที่มีผู้ติดตามหลักแสน หากผู้ขายพูดเพียงประโยคว่า “องค์นี้มีพุทธคุณสูงมาก” ราคาก็อาจพุ่งขึ้นในไม่กี่นาที ทั้งที่ยังไม่มีการตรวจสอบทางวิชาการรองรับเลยด้วยซ้ำ หรือกรณีบัตรรับรองปลอมที่เคยเป็นข่าวใหญ่ ก็สะท้อนช่องโหว่ของระบบการยืนยันที่อิงตัวบุคคลมากเกินไป
* ภาครัฐควรเริ่มมองเห็นสัญญาณนี้ มีแนวคิดในการสร้าง Cultural Asset Registry เพื่อดูแลการค้าสินทรัพย์ทางวัฒนธรรม เช่น พระเครื่อง วัตถุมงคล และของโบราณ แนวคิดนี้คล้ายกับการสร้างฐานข้อมูลกลางเหมือนที่วงการศิลปะใช้ในการตรวจสอบที่มา (provenance) ของผลงาน เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงข้อมูลจริงร่วมกันได้แบบโปร่งใส
แต่ก่อนถึงวันนั้น วงการพระเครื่องเองต้องเริ่มจากการสร้าง “ระบบความจริงร่วม (Shared Truth)” ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีสแกนสามมิติ ระบบ AI วิเคราะห์ตำหนิ หรือระบบบันทึกข้อมูลบนบล็อกเชน เพื่อให้การซื้อขายอยู่บนหลักฐานมากกว่าความเห็นส่วนตัว
เพราะตราบใดที่ตลาดยังยึดความเห็นของคนมากกว่าข้อเท็จจริง ศรัทธาก็จะเป็นทั้งพลังและกับดักในเวลาเดียวกัน
🔮 เปลี่ยนดราม่าให้เป็นมาตรฐาน
* เหตุการณ์ “บอย vs โอ๊ต” คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ตลาดพระเครื่องไทยนั้น “เติบโต” ในแง่มูลค่า แต่ “โครงสร้างความน่าเชื่อถือ” ยังคง “ไม่โต” ตามไปด้วย
* อนาคตของอุตสาหกรรม Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดของไทยนี้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงการจะกล้าพอที่จะเปลี่ยน “ดราม่า” ให้กลายเป็น “มาตรฐาน” หรือไม่?
เพราะผู้ชนะที่แท้จริงในระยะยาว ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่มีเสียงดังที่สุด แต่คือผู้ที่สามารถเปลี่ยน “ความเชื่อ” ให้กลายเป็น “ระบบ” ที่น่าเชื่อถือที่สุดได้สำเร็จ
แหล่งอ้างอิงสำคัญ
• คลิปทางการรายการ โหนกระแส EP ประเด็น บอย–โอ๊ต, รายงานข่าวหลายสำนัก (Bangkok Biz/Khaosod/Manager/Kapook) ระบุวัน–สาระสำคัญ–คำพูดเรื่อง “5 ล้าน”
• ข้อมูลมูลค่าตลาด: KResearch (2019) 1.7–2.3 หมื่นล้าน (Nation Thailand), เอกสารวิชาการไทยปี 2024 อ้างมูลค่า ~2.8 หมื่นล้านปี 2567; ภาพรวมสื่อภูมิภาคระบุ “tens of billions” และแรงซื้อจากจีน
• ระบบใบรับรอง/การตรวจสอบ (สมาคมผู้นิยมพระเครื่องฯ, คำเตือนบัตรปลอม, ระบบค้นหา)—ตัวอย่างแพลตฟอร์ม/นิตยสาร
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#พระเครื่อง
#เหรียญหลวงปู่ทวด
#โหนกระแส
#บอยท่าพระจันทร์
#โอ๊ตบางแพ
#SoftPower
#เศรษฐกิจสายมู
#TrustInfrastructure
#กลยุทธ์ธุรกิจ
โฆษณา