Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สารพันความรู้
•
ติดตาม
10 ต.ค. เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์
🇬🇧 พระเจ้าเอเธลสแตน (King Æthelstan) : กษัตริย์องค์แรกที่ปกครองอังกฤษทั้งแผ่นดิน
บทนำ : จากเกาะแห่งชนเผ่าสู่การเกิดของ “อังกฤษ”
เมื่อเราพูดถึงประเทศอังกฤษในปัจจุบัน หลายคนอาจจินตนาการถึงมหานครลอนดอน พระราชวังบักกิงแฮม หรือพระราชวงศ์วินด์เซอร์ แต่กว่าที่เกาะนี้จะกลายเป็น “อังกฤษ” (England) อย่างที่เรารู้จักในทุกวันนี้ ใช้เวลาและการหลอมรวมทางการเมืองยาวนานนับศตวรรษ
ในช่วงหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5) เกาะบริเตนตกอยู่ในภาวะไร้อำนาจกลาง ชนเผ่าหลายกลุ่มจากยุโรปเหนือ เช่น แองเกิล (Angles), แซกซัน (Saxons) และจูต (Jutes) อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ก่อกำเนิดเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ เจ็ดแห่ง เรียกรวมว่า “Heptarchy” ได้แก่ เวสเซ็กซ์, เมอร์เซีย, นอร์ทธัมเบรีย, อีสต์แองเกลีย, เคนต์, ซัสเซ็กซ์ และเอสเซ็กซ์
อาณาจักรเหล่านี้ต่างแข่งขันกันเพื่ออำนาจ บางแห่งรุ่งเรืองเพียงไม่กี่รุ่นกษัตริย์ ก่อนจะถูกผนวกหรือถูกทำลายโดยศัตรูรอบด้าน โดยเฉพาะ “ไวกิ้ง” จากสแกนดิเนเวียที่รุกรานอังกฤษอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ศตวรรษที่ 8
แต่ในความวุ่นวายนั้น ก็เริ่มมีดินแดนหนึ่งที่ค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “เวสเซ็กซ์” (Wessex) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะบริเตน ดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางของการรวบรวมชาติในเวลาต่อมา และผู้ที่สานต่อความฝันให้สำเร็จ ก็คือชายคนหนึ่งนามว่า “Æthelstan” — พระราชาแห่งเวสเซ็กซ์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “กษัตริย์องค์แรกของอังกฤษทั้งแผ่นดิน”
บทที่ 1 : รากเหง้าแห่งราชวงศ์เวสเซ็กซ์
ราชวงศ์เวสเซ็กซ์ (House of Wessex) เป็นหนึ่งในราชวงศ์แองโกล-แซกซันที่ทรงอิทธิพลที่สุด กำเนิดขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 และมีสายสืบต่อเนื่องยาวนานจนถึงสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ (Edward the Confessor) ก่อนจะสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1066 อันเป็นปีแห่งการรุกรานของชาวนอร์มัน
กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของราชวงศ์นี้ก่อน Æthelstan คือ พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช (Alfred the Great) ซึ่งครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 871–899 พระองค์เป็นวีรกษัตริย์ที่ต่อต้านไวกิ้งและวางรากฐานระบบการศึกษา กฎหมาย และกองทัพให้มั่นคง พระองค์คือบรรพบุรุษโดยตรงของ Æthelstan
พระเจ้าอัลเฟรดมหาราชมีพระโอรสชื่อ เอ็ดเวิร์ดผู้เฒ่า (Edward the Elder) ผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อมา พระองค์สามารถขยายอำนาจของเวสเซ็กซ์ไปยังอาณาจักรเพื่อนบ้านอย่างเมอร์เซียและอีสต์แองเกลีย ทำให้เวสเซ็กซ์กลายเป็น “อาณาจักรใหญ่ที่สุดในอังกฤษตอนใต้”
ในปี ค.ศ. 894 พระโอรสองค์หนึ่งของเอ็ดเวิร์ดถือกำเนิดจากหญิงผู้เป็นชายาในลำดับรอง พระนามว่า Æthelstan ซึ่งในภายหลังจะกลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดของเกาะอังกฤษยุคต้น
บทที่ 2 : ชีวิตวัยเยาว์ของ Æthelstan
Æthelstan เติบโตขึ้นในช่วงเวลาที่อังกฤษยังไม่เป็นเอกภาพ พื้นที่ทางเหนือและตะวันออกตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกไวกิ้ง ซึ่งเรียกกันว่า “Danelaw” — ดินแดนที่ใช้กฎหมายเดนมาร์ก
ตามบันทึกของนักบวชร่วมสมัย พระองค์เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดและรอบรู้ ได้รับการศึกษาจากสำนักสงฆ์และอาราม ซึ่งเป็นศูนย์กลางความรู้ในยุคนั้น พระองค์ยังได้รับการฝึกฝนศิลปะการรบ การอ่านภาษาละติน และการบริหารบ้านเมือง
มีบันทึกว่า พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช ผู้เป็นปู่ ได้มอบเสื้อคลุมและดาบทองคำให้ Æthelstan เมื่อครั้งยังเด็ก พร้อมคำทำนายว่า “หลานชายคนนี้จะทำให้แผ่นดินทั้งหมดอยู่ใต้ธงเดียวกัน”
บทที่ 3 : ขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความไม่มั่นคง
เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้เฒ่าสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 924 เกิดความขัดแย้งเรื่องผู้สืบราชสมบัติ เพราะ Æthelstan มีมารดาเป็นภรรยาในลำดับรอง จึงถูกคัดค้านจากบางฝ่าย โดยเฉพาะจากขุนนางแห่งเวสเซ็กซ์ที่ไม่ต้องการให้เขาขึ้นครองราชย์
แต่ Æthelstan ได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากชาวเมอร์เซีย และสามารถขึ้นครองราชย์ได้ในปี ค.ศ. 924 จากนั้นในปี ค.ศ. 925 พระองค์ได้รับการสวมมงกุฎอย่างเป็นทางการที่เมือง คิงส์ตันอะพอนเทมส์ (Kingston upon Thames) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตลอนดอน
ช่วงแรกของการครองราชย์เต็มไปด้วยความระแวดระวัง การต่อต้านภายใน และการคุกคามจากภายนอก แต่ Æthelstan มีคุณสมบัติของผู้นำที่เด็ดขาด พระองค์เลือกที่จะใช้ทั้ง กำลังและการทูต เพื่อขยายอำนาจ
บทที่ 4 : การรวบรวมดินแดนและชัยชนะเหนือไวกิ้ง
ในปี ค.ศ. 927 Æthelstan ได้สร้างเหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของอังกฤษ พระองค์สามารถ ยึดครองอาณาจักรนอร์ทธัมเบรีย (Northumbria) จากชาวไวกิ้งได้สำเร็จ ทำให้ดินแดนทั้งหมดตั้งแต่คอร์นวอลล์จนถึงชายแดนสกอตแลนด์อยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์
เอกสารในยุคนั้น เช่น “The Chronicle of Æthelstan” บันทึกว่ากษัตริย์แห่งสก็อตแลนด์, เวลส์ และนอร์ทธัมเบรีย ต่างเดินทางมาถวายสัตย์จงรักภักดีต่อ Æthelstan ที่เมือง Eamont Bridge ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ปกครองจากทุกแคว้นบนเกาะบริเตนยอมรับกษัตริย์คนเดียว
พระองค์จึงได้รับพระนามอย่างเป็นทางการว่า
“Rex totius Britanniae” — King of All Britain
หรือในภาษาอังกฤษยุคใหม่คือ “King of the English”
บทที่ 5 : การปฏิรูปกฎหมายและการปกครอง
เมื่อแผ่นดินรวมเป็นหนึ่ง Æthelstan ทราบดีว่าการรักษาเอกภาพนั้นยากกว่าการสร้าง พระองค์จึงเริ่มวางระบบกฎหมายและการปกครองอย่างเป็นรูปธรรม
🔹 ระบบกฎหมาย
พระองค์ออก “กฎหมายแห่งกษัตริย์ Æthelstan” ซึ่งรวมหลักการจากกฎหมายเก่าในเวสเซ็กซ์และเมอร์เซีย เน้นการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างยุติธรรม ลดการแก้แค้นส่วนตัว และกำหนดค่าปรับ (wergild) สำหรับอาชญากรรมแต่ละประเภท
พระองค์ยังส่งเสริมให้ผู้พิพากษาและขุนนางในแต่ละพื้นที่รับผิดชอบความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่น และให้ความสำคัญกับการศึกษาคำสอนของคริสต์ศาสนาเพื่อหล่อหลอมศีลธรรมประชาชน
🔹 ระบบบริหาร
Æthelstan ใช้ระบบ “hundred” และ “shire” ซึ่งต่อมาเป็นรากฐานของระบบเขต (county) ในอังกฤษสมัยใหม่ พระองค์แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เรียกว่า “reeve” (ต่อมาคือ sheriff) เพื่อดูแลภาษี การค้า และความสงบ
บทที่ 6 : การต่างประเทศและอิทธิพลในยุโรป
Æthelstan ไม่เพียงเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นนักการทูตที่เฉลียวฉลาด พระองค์สร้างพันธมิตรกับราชวงศ์ในยุโรป ผ่านการแต่งงานของพระขนิษฐาและญาติ ๆ กับกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส, เยอรมนี และนอร์เวย์
มีหลักฐานว่าพระองค์เป็นกษัตริย์อังกฤษองค์แรกที่ติดต่อกับ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) และแลกเปลี่ยนของขวัญระดับราชวงศ์ เช่น ดาบอัญมณีและพระคัมภีร์ทองคำ
นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นผู้สนับสนุนการคัดลอกคัมภีร์และการแปลภาษาละตินให้คนทั่วไปเข้าถึงความรู้มากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ให้ความสำคัญกับ “ปัญญา” ไม่แพ้ “อำนาจ”
บทที่ 7 : สงครามแห่งบรูนันเบิร์ก (Battle of Brunanburh)
เหตุการณ์สำคัญที่สุดในรัชกาล Æthelstan คือ สงครามบรูนันเบิร์ก (ค.ศ. 937) ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็น “สงครามที่สร้างชาติอังกฤษ”
กองทัพพันธมิตรของ สก็อตแลนด์, ไอริช และไวกิ้งนอร์สบ์ ยกทัพเข้ามาโจมตีอังกฤษ โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นอำนาจของ Æthelstan แต่พระองค์รวบรวมกองทัพอังกฤษและเมอร์เซียออกไปต่อสู้
การรบครั้งนี้ดุเดือดอย่างไม่เคยมีมาก่อน มีบันทึกว่า “เลือดแดงชโลมพื้นทุ่ง บรรดาเจ้าชายล้มตายราวฝนเหล็ก” ในที่สุด Æthelstan ได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด กำจัดศัตรูและยืนยันสถานะของตนในฐานะ ผู้ปกครองแห่งเกาะบริเตน
ชัยชนะครั้งนี้ถูกบันทึกไว้ในบทกวีโบราณชื่อ The Battle of Brunanburh ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาติอังกฤษ
บทที่ 8 : รัฐ ศาสนา และวัฒนธรรมในรัชสมัย
Æthelstan ทรงเป็นกษัตริย์ที่เคร่งศาสนา พระองค์ให้การอุปถัมภ์วัด อาราม และพระนักบวชอย่างกว้างขวาง มีการสร้างโบสถ์และโรงเรียนสอนศาสนาในหลายเมือง
พระองค์ยังส่งเสริมการเก็บรักษาเอกสารและจารึก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เรามีบันทึกเกี่ยวกับยุคของพระองค์มากกว่ากษัตริย์แองโกล-แซกซันองค์อื่น ๆ
ด้านศิลปะและวัฒนธรรม พระองค์สนับสนุนงานช่างทองและการประดับเครื่องบูชาอย่างวิจิตร รวมถึงเป็นผู้เริ่มใช้ตราประทับราชวงศ์ (royal seal) เพื่อรับรองเอกสารอย่างเป็นทางการ
บทที่ 9 : ปลายรัชสมัยและการสิ้นพระชนม์
หลังจากปกครองอังกฤษมานานกว่า 15 ปี พระเจ้า Æthelstan เสื่อมพระพลานามัยและเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 939 ที่เมืองกลอสเตอร์ พระองค์สิ้นพระชนม์โดยไม่มีรัชทายาท พระอนุชา เอ็ดมันด์ที่ 1 (Edmund I) จึงขึ้นครองราชย์ต่อ
พระศพของ Æthelstan ถูกฝังไว้ในวิหารมาล์มส์บรี (Malmesbury Abbey) ซึ่งพระองค์เคยให้การอุปถัมภ์อย่างมาก และกลายเป็นสถานที่แสวงบุญของชาวอังกฤษในเวลาต่อมา
บทที่ 10 : มรดกของกษัตริย์องค์แรกแห่งอังกฤษ
Æthelstan ทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ให้แก่เกาะอังกฤษ ทั้งในด้าน
การเมือง : รวมชาติอังกฤษเป็นเอกภาพครั้งแรก
การปกครอง : วางระบบเขต การจัดเก็บภาษี และกฎหมาย
ศาสนา : ทำให้คริสต์ศาสนาเป็นศูนย์กลางของชีวิตและอัตลักษณ์ชาติ
การต่างประเทศ : ยกระดับอังกฤษให้เป็นมหาอำนาจหนึ่งในยุโรป
นักประวัติศาสตร์ยุคหลัง เช่น William of Malmesbury ในศตวรรษที่ 12 ยกย่องพระองค์ว่า
“Æthelstan เป็นผู้สืบทอดอัจฉริยภาพของอัลเฟรดมหาราช และเป็นผู้บุกเบิกแห่งชาติอังกฤษ”
แม้ในยุคต่อมาอังกฤษจะเผชิญการรุกรานของนอร์มันในปี 1066 และผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่แนวคิดเรื่อง “ราชาแห่งอังกฤษทั้งแผ่นดิน” ที่ Æthelstan วางไว้ ยังคงสืบต่อมาจนถึงราชวงศ์ปัจจุบัน
บทส่งท้าย : รากฐานของ “ความเป็นอังกฤษ”
หากไม่มี Æthelstan อังกฤษอาจยังคงเป็นเพียงกลุ่มอาณาจักรเล็ก ๆ ที่สู้รบกันไม่รู้จบ พระองค์คือผู้หลอมรวมอัตลักษณ์ของคนแองโกลและแซกซันให้เป็นประชาชาติเดียว และปักหมุดให้คำว่า “England” มีความหมายทางการเมืองอย่างแท้จริง
ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยการแบ่งแยกและความขัดแย้ง ชื่อของพระเจ้า Æthelstan จึงยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้เราระลึกถึงพลังของ เอกภาพ ความกล้า และปัญญาแห่งผู้นำ
“เขาคือผู้สร้างชาติอังกฤษ ผู้รวมแผ่นดินใต้พระธงเดียว และวางรากฐานให้ความเป็นอังกฤษดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้”
ชีวิต
ความรู้รอบตัว
เรื่องเล่า
บันทึก
2
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย