วันนี้ เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

มาเลเซีย กำลังปั้นตัวเอง ให้เป็น Intel แห่งอาเซียน

ถ้าไต้หวัน มี TSMC โรงงานผลิตชิปเบอร์ 1 ของโลก
เกาหลีใต้ มี Samsung โรงงานผลิตชิปเบอร์ 2 ของโลก
มาเลเซีย ก็กำลังทำให้ตัวเองเป็น Intel แห่งอาเซียน
ที่ไม่ได้มีแค่โรงงานผลิตชิปเท่านั้น แต่ต้องทำได้ตั้งแต่ออกแบบ ผลิต ไปจนถึงตรวจสอบการทำงาน ครบจบในที่เดียว
มาเลเซีย ฝันใหญ่กับเรื่องนี้มากแค่ไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
รู้ไหมว่า จริง ๆ แล้ว มาเลเซียเริ่มเดิมพันกับอุตสาหกรรมชิปมาก่อนไต้หวันจะมีโรงงานผลิตชิป TSMC ของตัวเอง
ที่ตอนนี้กลายเป็นเบอร์ 1 ของโลกเสียอีก
แต่ด้วยเส้นทางการพัฒนาของทั้งคู่แตกต่างกัน ทำให้ปัจจุบัน จึงลงเอยด้วยภาพที่ต่างกันออกไป
มาเลเซีย ตั้งเป้าดึงดูดบริษัทผู้ผลิตชิปจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศตัวเอง เช่น Intel, AMD, HP, Infineon แลกกับสิทธิพิเศษทางภาษีบางอย่าง
ซึ่งเมื่อบริษัทผลิตชิปเริ่มเข้ามาตั้งโรงงานแล้ว มาเลเซียก็เริ่มได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเป็นฐานการตรวจสอบการทำงานของชิปเหล่านี้
จนปัจจุบัน มาเลเซียกลายเป็นประเทศรับจ้างตรวจสอบการทำงานของชิปราว 13% ของทั้งโลก และเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่โลกขาดไม่ได้
ฝั่งมาเลเซียเอง ใช้โมเดลดึงดูดบริษัทต่างชาติ แล้วทำให้เกิดบริษัทท้องถิ่นที่รับจ้างตรวจสอบการทำงานของชิป แต่ไต้หวันกลับเลือกโมเดลที่ต่างออกไปแทน
ไต้หวัน ไม่ได้เน้นการดึงดูดบริษัทต่างชาติแบบที่มาเลเซียทำในช่วงปี 1970 แต่เลือกจะปั้นบริษัทท้องถิ่น ให้ไปสู่ระดับโลกในช่วงปี 1980 ที่มีชื่อว่า TSMC
TSMC เลือกวางโมเดลธุรกิจแค่รับจ้างผลิตชิปเพียงอย่างเดียว ซึ่งยังไม่มีประเทศไหนทำ จนปัจจุบัน TSMC ก็ได้กลายเป็นโรงงานผลิตชิปเบอร์ 1 ของโลกไปแล้ว
ฟังดูแค่นี้ มาเลเซียก็ไม่ได้ตัดสินใจอะไรพลาด
เพราะตัวเองยังสามารถเกาะขบวนชิป ที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกได้ แต่แค่ตัดสินใจต่างจากไต้หวันเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม มาเลเซียรู้ดีว่า แม้ตัวเองจะเป็นผู้เล่นสำคัญในวงการตรวจสอบการทำงานของชิปที่โลกเองก็ขาดไม่ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ตัวเองทำอยู่กลับสร้างมูลค่าได้น้อยมาก
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่าน้อยแค่ไหน
ปัจจุบันวงการชิปแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ นั่นคือ ออกแบบ ผลิต ไปจนถึงประกอบและตรวจสอบการทำงาน
เม็ดเงินส่วนใหญ่อยู่ที่การออกแบบชิปมากถึง 50%
รองลงมาคือการผลิตชิป 24% ในขณะที่การประกอบและตรวจสอบการทำงานเหลือแค่ 6% เท่านั้น
หรือถ้าชิปนั้นขายราคา 100 บาท จะเข้ากระเป๋าผู้ออกแบบชิป 50 บาท ผู้ผลิตชิป 24 บาท แต่จะเข้ากระเป๋าผู้ตรวจสอบการทำงานแค่ 6 บาท
ดังนั้น ถ้ามาเลเซียยังรับจ้างตรวจสอบการทำงานของชิปต่อไป
ก็เหมือนได้เพียงเสี้ยวเงินของวงการชิปไปเรื่อย ๆ แบบนี้
แต่ถ้ามาเลเซียอยากได้ส่วนแบ่งจากวงการชิปมากขึ้น
คำตอบก็ตรงไปตรงมาคือ ต้องกินรวบทั้งออกแบบ ผลิต
และตรวจสอบการทำงานของชิปทั้งหมดไปเลย
ซึ่งก็คือ การเลียนแบบโมเดลธุรกิจของ Intel ที่มีทั้งการออกแบบและผลิตชิปในเวลาเดียวกันนั่นเอง
คำถามคือ แล้วมาเลเซียพร้อมแค่ไหน กับการปั้นตัวเองให้เป็น Intel แห่งอาเซียน ?
ถ้าจะตอบว่าพร้อมแค่ไหน ก็ต้องไปดูว่า มาเลเซียมีธุรกิจออกแบบและผลิตชิปในประเทศแล้วหรือยัง
เริ่มกันที่ฝั่งออกแบบชิป
จริง ๆ ต้องบอกว่า มาเลเซียมีธุรกิจท้องถิ่นที่รับจ้างออกแบบชิปอยู่แล้ว หนึ่งในนั้นคือ SkyeChip ที่ล่าสุดออกแบบชิปขนาด 7 นาโนเมตรได้สำเร็จ
ซึ่งเป็นชิปประมวลผล AI ตัวแรกของประเทศที่ชื่อว่า MARS1000 ที่สามารถใช้ได้กับระบบอัตโนมัติต่าง ๆ
และประมวลผลภายในชิปได้เร็วมากขึ้น
แต่นอกจาก SkyeChip จะออกแบบชิปประมวลผลได้แล้ว
บริษัทยังสามารถผลิตชิปหน่วยความจำอย่าง HBM ที่สามารถท้าชนกับ Samsung ของเกาหลีใต้ได้ไม่ยาก
เรียกได้ว่า SkyeChip คือบริษัทเรือธงความหวังของมาเลเซีย เพื่อปั้นให้ประเทศกลายเป็น Intel ของอาเซียนก็คงไม่ผิดมากนัก
และเพื่อให้ธุรกิจออกแบบชิปในมาเลเซียแข็งแกร่งมากขึ้น
รัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 8,000 ล้านบาท ซื้อพิมพ์เขียวออกแบบชิปจาก ARM มาต่อยอดในประเทศ
ซึ่ง ARM ก็คือเจ้าตลาดพิมพ์เขียวชิปประมวลผลสมาร์ตโฟน ที่ครองตลาดไปแล้วกว่า 99% ของทั่วโลก โดยมีจุดเด่นเรื่องการประมวลผลไว แต่ใช้พลังงานมีประสิทธิภาพ
การที่มาเลเซียซื้อพิมพ์เขียวนี้มา เห็นได้ชัดว่า กำลังเดิมพันกับการออกแบบชิปประมวลผลขั้นสูง จากเดิมที่เคยเป็นประเทศรับจ้างตรวจสอบชิปทั่วไปเท่านั้น
สรุปแล้ว มาเลเซียก็ดูไปได้ดีกับการออกแบบชิป เมื่อรวมกับการตรวจสอบชิปที่เป็นจุดแข็งของประเทศแล้ว ความฝันที่จะเป็น Intel ของอาเซียนคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
แต่ความฝันนั้น ก็ยังดูไกลเกินเอื้อมอยู่ดี..
เพราะถ้าเรามาดูฝั่งการผลิตชิป หนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของมาเลเซียคือ SilTerra Malaysia บริษัทรับจ้างผลิตชิป ที่เป็นความหวังของประเทศ
ที่บอกว่าเป็นความหวังของประเทศ เพราะรัฐบาลมาเลเซียพยายามปั้นโรงงานขึ้นมา เพื่อผลักดันให้ประเทศผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูงขึ้นได้
แต่ปัจจุบัน SilTerra Malaysia สามารถผลิตชิปเฉพาะทาง
ที่ไม่ต้องมีความซับซ้อนสูงได้เท่านั้น และผลิตชิปได้เล็กสุดแค่ 110 นาโนเมตร
เมื่อเทียบกับ TSMC เบอร์ 1 ผู้ผลิตชิปของโลก ที่สามารถผลิตชิปซับซ้อนสูง ขนาดแค่ 2 นาโนเมตรได้แล้ว แค่นี้ก็รู้แล้วว่า เทคโนโลยีการผลิตห่างกันมากแค่ไหน
และอย่างที่บอกไปว่า SkyeChip ออกแบบชิปขนาด 7 นาโนเมตรได้แล้ว แต่ในเมื่อ SilTerra Malaysia ยังผลิตชิปเล็กสุดได้แค่ 110 นาโนเมตร ชิปที่ถูกออกแบบมา ก็ผลิตในประเทศตัวเองไม่ได้อยู่ดี
ซึ่งการที่ยังไม่มีโรงงานผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูงมากพอในประเทศได้นั้น ก็อาจทำให้ฝันที่มาเลเซียวาดไว้ไกลเกินเอื้อมเกินไป
ทั้งนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ความฝันใหญ่ของมาเลเซียตอนนี้จะกลายเป็นความจริงขึ้นได้หรือไม่ หรือสุดท้ายอาจเป็นเพียงแค่ความฝันต่อไป..
แต่ที่แน่ ๆ การมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ก็ถือว่ากล้ามากพอแล้ว
ซึ่งการมีความฝันที่ใหญ่ จะเห็นได้ว่ามักมีอยู่ใน DNA ของประเทศที่คิดไปข้างหน้าตลอดเวลา จนสามารถยิ่งใหญ่ได้โดยไม่ต้องรอโชคชะตามากำหนดอนาคตของประเทศ
สิงคโปร์ เคยมีความฝันอยากเป็นประเทศส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป แม้ประเทศตัวเองไม่มีน้ำมันเลย วันนี้ทำสำเร็จจนกลายเป็นประเทศส่งออกน้ำมันอันดับ 5 ของโลก
มาเลเซีย กำลังฝันใหญ่กับอุตสาหกรรมชิปของตัวเอง
ให้กลายเป็น Intel แห่งอาเซียนให้ได้
กลับมาที่ประเทศไทย วันนี้เรากำลังฝันใหญ่เรื่องอะไร
หรือยัง ที่ทำให้เราขีดชะตาของประเทศในอนาคตได้ว่า
เรากำลังจะเป็นผู้เล่นเศรษฐกิจคนไหนบนโลกใบนี้..
โฆษณา