วันนี้ เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

แจกฟรี Template คำนวณภาษี พร้อมสรุป วิธีคำนวณภาษีแบบจับมือทำ

ในช่วงใกล้ปลายปีแบบนี้ ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่คนมีรายได้ ต้องเตรียมพร้อมวางแผนภาษี ที่จะต้องจ่ายในช่วงต้นปีหน้ากัน
ถ้าเราคำนวณภาษีเองเป็น และวางแผนจัดการเรื่องค่าลดหย่อนได้เป็นอย่างดี ก็จะทำให้เราประหยัดเงินที่ต้องจ่ายภาษี ไปได้อีกหลายบาทเลย
แล้ววิธีการคำนวณภาษีด้วยตัวเอง มีขั้นตอนอย่างไร และทำไม เมื่อเรารู้จักวิธีใช้ประโยชน์ จากการลดหย่อนภาษี จะช่วยให้เรามีเงินเหลือมากขึ้น
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
การคำนวณภาษีที่เราจะต้องจ่ายนั้น จะประกอบไปด้วย 2 ขั้นตอนหลัก
ขั้นตอนที่ 1 : คำนวณหา “เงินได้สุทธิ”
เงินได้สุทธิ = รายได้รวม - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน
เงินได้สุทธิ ก็คือเงินได้ที่คงเหลืออยู่ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ตามสิทธิที่รัฐบาลกำหนดให้ ไปหมดแล้ว
1
โดยต่อไป เงินก้อนที่เหลืออยู่นี้ จะต้องถูกนำไปคำนวณภาษี ที่เราจะต้องจ่าย
ขั้นตอนที่ 2 : คำนวณหา “ภาษีที่เราต้องจ่าย”
ภาษีที่เราต้องจ่าย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
สำหรับประเทศไทย การคำนวณภาษี จะเป็นการคำนวณแบบขั้นบันได ที่ทำให้อัตราภาษีที่แต่ละคนจะต้องจ่าย จะไม่เท่ากัน
คนที่มีเงินได้สุทธิมาก จะต้องจ่ายภาษี ในอัตราภาษีที่มากกว่า คนที่มีเงินได้สุทธิน้อย
ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างจริง จากคุณ A กันบ้างดีกว่า โดยสมมติว่า คุณ A อายุ 30 ปี ยังโสด และทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชน
- โดยมีเงินเดือน 30,000 บาทต่อเดือน เท่ากับ 360,000 ต่อปี
- โบนัส 2 เดือน คิดเป็น 60,000 บาทต่อปี
ดังนั้น พอรวมรายได้ทั้งปี จะเท่ากับ 420,000 บาท
- หักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3% ของเงินเดือน เท่ากับ 900 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 10,800 บาทต่อปี
ถ้าคุณ A ไม่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมเลย เงินได้สุทธิของคุณ A จะคำนวณจาก
รายได้รวม 420,000 บาท - ค่าใช้จ่ายตามสิทธิ 100,000 บาท - ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท - ประกันสังคม 9,000 บาท - หักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10,800 บาท
ซึ่งจะเท่ากับ 240,200 บาท โดยจะตกอยู่ในขั้นบันไดภาษี ที่จะต้องจ่าย ในอัตราที่ 5%
ส่วนการคำนวณจำนวนเงินภาษีที่คุณ A จะต้องจ่าย เป็นแบบนี้
(240,200 บาท - ส่วนที่ได้รับการยกเว้นภาษีในขั้นแรก 150,000 บาท) x 5% = 4,510 บาท
หมายความว่า ถ้าคุณ A ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการหักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แค่ส่วนเดียว คุณ A จะต้องจ่ายภาษีทั้งหมด 4,510 บาท
แล้วถ้าสมมติว่า คุณ A ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ด้วยการซื้อกองทุน RMF ล่ะ ภาษีที่จะต้องจ่าย จะเหลือเท่าไร ?
สมมติว่า คุณ A ซื้อกองทุน RMF เพิ่มเดือนละ 2,000 บาท หรือคิดเป็น 24,000 บาทต่อปี
ทีนี้ เงินได้สุทธิก็จะกลายเป็น 216,200 บาท จากการมีค่าลดหย่อนจากกองทุน RMF มาหักเงินได้สุทธิออกไปอีก 24,000 บาท
ทำให้เมื่อไปคำนวณภาษีด้วยวิธีเดิม
(216,200 บาท - ส่วนที่ได้รับการยกเว้นภาษีในขั้นแรก 150,000 บาท) x 5% = 3,310 บาท
จะเห็นได้ว่าจำนวนเงินภาษีที่คุณ A จะต้องจ่าย จะเหลือเพียง 3,310 บาทเท่านั้น
ทำให้การตัดสินใจซื้อกองทุน RMF ของคุณ A นอกจากจะทำให้คุณ A มีเงินออมเพิ่มขึ้นถึงปีละ 24,000 บาทแล้ว ก็ยังจะช่วยให้ภาษีที่เขาต้องจ่ายเหลือน้อยลงด้วย
และเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าคุณ A มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังใช้เครื่องมือในการช่วยลดหย่อนภาษีแบบนี้ต่อไป ให้เกิดประโยชน์
คุณ A ก็จะประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายไปได้ เป็นเงินจำนวนไม่น้อย และพร้อมกันกับ การมีเงินเก็บออมสะสมในการลงทุนเพิ่มขึ้น ๆ
หากทำแบบนี้เป็นประจำทุกปี ทั้งส่วนของเงินลงทุน และผลตอบแทนจากการลงทุน ก็จะยิ่งแสดงความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น ได้รุนแรงยิ่งขึ้น
จนถึงวันที่เกษียณจากการทำงาน คุณ A ก็มีโอกาสจะกลายเป็นคนที่มั่งคั่งมาก ๆ ได้
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราคงเข้าใจถึงขั้นตอนในการคำนวณหาภาษี และเห็นความสำคัญถึงการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกันดีขึ้นแล้ว
สรุปแล้ว วิธีการคำนวณภาษี จะมีขั้นตอนสำคัญ อยู่แค่เพียง 2 ข้อ
คือการรู้ว่า “เงินได้สุทธิ” เท่าไร และอยู่ในขั้นไหนของบันไดภาษี เราก็จะรู้จำนวนเงินภาษีที่เราต้องจ่ายแล้ว
และหากเรารู้จักวิธีใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะใช้สิทธิจากฝั่งการลงทุน, ทำประกัน หรือบริจาค
ก็จะยิ่งช่วยประหยัดเงินภาษีที่เราต้องจ่าย ไปได้ไม่น้อยเลย..
โฆษณา