Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
วันนี้ เวลา 02:25 • หุ้น & เศรษฐกิจ
DELTA ขาใหญ่...ใครจะทำอะไรได้!
●
ราคาหุ้น DELTA ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเท่าตัวในเวลา 3 เดือน สวนทางกับผลประกอบการของบริษัท ที่กำไรสุทธิลดลงอย่างต่อเนื่อง
●
การปรับขึ้นของหุ้น DELTA เพียงตัวเดียว ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย ทำให้ภาพรวมของตลาดอาจไม่สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง
●
บทความชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ที่มีน้อยมาก และการที่หน่วยงานกำกับดูแลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม
ตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ ถึงแม้สภาพภายนอกจะดูเหมือนว่าเป็น “ขาขึ้น” หลังจากที่ศรัทธาของนักลงทุนเริ่มไหลกลับคืนมา แต่หากมองตามความเป็นจริง กลับพบว่า ขณะนี้มีหุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัวที่เป็นตัวแปรในการผลักดันดัชนีหุ้นไทยให้ขยับขึ้น
หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นได้ว่า หุ้นไม่กี่ตัวที่ว่าเหล่านี้ ก็จะมีเพียงนักลงทุนไม่กี่กลุ่ม หรือ ไม่กี่คน ที่มีส่วนได้เสีย และด้วยปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างจะเบาบางในแต่ละวัน จึงไม่ได้สะท้อนภาพสภาวะทางเศรษฐกิจ และการเงินของประเทศแต่อย่างใด...
หมายความว่า สภาพคล่องทางเศรษฐกิจที่อ้างอิงด้วยดัชนีหุ้น อาจเป็นแค่ภาพลวงตา ที่อาจหลอกให้นักลงทุนที่ไม่ลงลึกในข้อมูล อาจหลงเข้ามาถูก “กินตับ” ได้ง่ายๆ
ชัดเจนที่สุดในจังหวะนี้ หนีไม่พ้นหุ้นใหญ่เบอร์หนึ่งของไทย อย่าง DELTA ซึ่งหากจะว่ากันตามจริง พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทแห่งนี้ มีรายได้ 87,904 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 10,117 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10,872 ล้านบาท ลดลง 6.94% ขณะที่ไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิ 4,629 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,565 ล้านบาท ลดลง 29.5% ถือได้ว่าถดถอยทั้งรายไตรมาสและรายปี
ขณะเดียวกัน...หากมองไปที่ราคาหุ้น กลับพบว่า ในวันที่ 30 มิ.ย. 68 ราคาหุ้นของ DELTA ปิดตลาดไปที่ราคา 96.00 บาท ผ่านไป 3 เดือนกว่าๆ เทียบกับล่าสุดที่ราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงถึง 201.00 บาท กลายเป็นปรับขึ้นไปถึงเท่าตัว (100%) ซึ่งสวนทางกับทิศทางของผลการดำเนินงาน
1
ทั้งส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ของหุ้นตัวนี้ขยับขึ้นไปสูงกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ทั้งที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ย มีเพียงแค่ราว 3,000 ล้านบาท ต่อวันเท่านั้น
ว่ากันตามตรง...กรณีของ DELTA ถือว่าเป็นกรณี “คลาสสิค” ของตลาดหุ้นไทย ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารรายไหนที่เข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแล (Regulators) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หรือ ดูแลสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต่างก็พากันพูดเหมือนกันว่า จะจัดการปัญหานี้
แน่นอนว่า สิ่งที่เจ๊เมาธ์ได้ยินบ่อยที่สุด คือ ปัญหาการกระจายหุ้นให้รายย่อย (Free Float) ซึ่ง DELTA มีอยู่น้อยนิด ขณะเดียวกันสัดส่วนการถือครองของต่างชาติเต็มเกือบทั้งบริษัท ซึ่งเหล่าผู้มีหน้าที่ดูแลตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็นสมัยไหนต่างก็รู้ดี และต่างพูดเหมือนกันว่าจะจัดการอย่างนั่นอย่างนี้
แต่ในท้ายที่สุด เจ๊เมาธ์ก็เห็นแค่มีแต่คนพูด แต่ไม่เห็นมีคนทำ...ประมาณว่า เป็นพวก NATO (No Action-Talk Only) ทั้งที่เรื่องเช่นนี้ สุ่มเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถืออย่างที่ตลาดหุ้นของประเทศควรจะมีเป็นอย่างยิ่ง
อย่างแรก คือ การปล่อยให้หุ้นตัวเดียวแบกดัชนีตลาดหุ้นไทย ทั้งตลาดเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทย ที่อาจถูกมองว่า มีหุ้นใหญ่แค่ตัวเดียว ก็ใช้ลากเล่นรอบหาเงินได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็น SET50 Index Futures หรือ DW ต่างก็ถูกปั่นกันเล่นกันสนุกสนาน และถ้าหากไม่มี DELTA เพียงตัวเดียว อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีสภาพที่ไม่ต่างไปจากตลาดหุ้นลาว หรือ ตลาดหุ้นเขมรไปโน้นเลยก็เป็นได้...ของแบบนี้มันไม่แน่
อย่างที่สอง เป็นเรื่องของสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติที่สูงเกือบทั้งบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มทุนเดิมที่มาจากประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทแม่ของ DELTA ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีก็จะเห็นได้ว่า โครงข่ายของการดันราคาหุ้น DELTA มีแนวโน้มว่าจะมีแหล่งที่มาจากกลุ่มทุนไต้หวัน เพราะไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนชาวไต้หวันและโบรกเกอร์ที่มีที่มาจากไต้หวัน ต่างดูเหมือนมีส่วนในการแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงมีปริมาณการซื้อขายอย่างที่วนอยู่ในเครือข่ายอย่างน่าสนใจเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม หากจะมองในอีกมุม เจ๊เมาธ์ก็เห็นใจบรรดาผู้ดูแลตลาดหุ้นเหล่านี้ ทั้งนี้เพราะถ้าหากคนเหล่านี้ ต้องการเครดิตว่าได้ส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้นให้เติบโต ก็ดูเหมือนการปล่อยให้ DELTA สร้างผลงานเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะอย่างน้อยก็ช่วยดันดัชนีและดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ได้
ขณะเดียวกัน หากต้องจัดการให้เด็ดขาดและเห็นผล ก็ดูเหมือนว่า จะทำได้ยาก หรือ ทำไม่ได้ เพราะทุนใหญ่ที่ค้ำอยู่ลงไปลึกเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่ตัวเล็กเหล่านี้จะทำอะไรได้
ท้ายที่สุดถึง แม้ว่าเรื่องของเงินที่อยู่ในกระเป๋าของนักลงทุน ถ้าไม่ควักออกมาเอง ก็ไม่มีใครดึงออกมาได้ ถ้าเราไม่ใจอ่อนก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าหากว่า ตลาดหุ้นไทยมีกลไกที่สามารถปกป้องนักลงทุนทุกคนได้อย่างเท่าเทียม ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดียิ่งกว่า ไม่ใช่ว่าพอมีปัญหาเกิดขึ้นก็หาคนรับผิดชอบไม่ได้ โยนเรื่องกันไปมาแล้วก็เงียบหาย เหมือนที่เคยผ่านมา ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงไม่ไหวเจ้าค่ะ
บันทึก
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย