10 ต.ค. เวลา 16:21 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] Pain to Power - Maruja >>> พลังเสียงโอดครวญ

”หน้าที่ของเราคือการพูดถึงสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นกับเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดบนโลกใบนี้ ความโหดร้ายอันน่าสะพรึงกลัวที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต แต่ตอนนี้เราเห็นมันต่อหน้าต่อตาผ่านจอมือถือแล้ว“
Maruja via LA Times "Here’s how Maruja crafted its debut, ‘Pain to Power.’ Hint: ‘It’s pretty hardcore’"
-Maruja วงที่นิยามตัวเองว่า Alternative Experimental Jazz Punk จากเมืองแมนเชสเตอร์ บ้านเดียวกับ Oasis, The 1975 แต่ชื่อวงดันได้มาแบบ random จากป้ายร้านลับในย่านชุมชนห่างไกลในประเทศสเปน ซึ่งพวกเขาก็ไม่อยากให้เราคิดมากกับที่มาของชื่อวง เนื่องจากไม่มีนัยยะอะไรแอบแฝงเป็นจักสำคัญ
-นอกจากที่มาของชื่อวงที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลแล้ว การเดินทางของวงกว่าจะมีอัลบั้มแรก Pain to Power ก็มาได้ไกลหลายปีเช่นกัน
-ชื่ออัลบั้มไม่บอกก็รู้ว่ามาทรง call out ปลุกขวัญกำลังใจ แต่ก็ดันสอดคล้องกับเส้นทางและอุปสรรคของวงอยู่ไม่น้อย เริ่มจากการผลัดเปลี่ยนสมาชิกที่ดันมีความคิดสร้างสรรค์ไม่ตรงกัน
-โดย Maruja ณ ปัจจุบันประกอบด้วย Harry Wilkinson (ร้องนำ,กีตาร์) Matt Buonaccorsi (เบส) Joe Carroll (แซ็คโซโฟน) และ Jacob Hayes (กลอง)
-เหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่โคตรซวยคงหนีไม่พ้น เครื่องดนตรีถูกขโมยยกชุดในปี 2021 จนทางวงต้องเปิดรับบริจาคผ่าน GoFundMe โดยตั้งเป้าไว้ที่ 6,000 ปอนด์ (คิดเป็นเงินไทย 262,000 บาท) สรุปแล้วมีผู้บริจาคทั้งสิ้น 67 ราย หนึ่งในนั้นมี Louis Tomlinson อดีตสมาชิก One Direction ร่วมเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้วงสูงถึง 4,000 ปอนด์เลยทีเดียว จนในที่สุดยอดบริจาคแตะถึงเป้าได้สำเร็จ
-หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายไปได้แล้ว พวกเขากลับมาด้วย 2 อัลบั้มอีพี Knocknarea (2023) และ Connla's Well (2024) ได้รับฟีดแบ็คดีงามจากสื่อเพลงหลายสำนัก กลายเป็นวงดนตรีที่น่าจับตามอง ได้เซ็นสัญญากับค่าย Music for Nations ปลายปี 2024 และนำมาซึ่งอัลบั้ม Pain to Power ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น
-พวกเขาอาศัยช่วงที่ตารางทัวร์ทั่วยุโรปแวะมาที่บ้านเกิดเมืองแมนเชสเตอร์ในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สตูดิโอได้กลายเป็นหลังที่สองของพวกเขา ค้างแรมทำเพลงกันในนั้น 6 วันต่อสัปดาห์ กระบวนการทำเพลงเกิดจากการ jam session เล่นด้นสดไปเรื่อยจนกว่าจะพอใจ บางเพลงใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากจะคุกกรุ่นสดใหม่แล้ว ภาษาศัพท์แสงก็เข้าใจได้ไม่ยาก ที่สำคัญอัลบั้มนี้ยังสะท้อนปัญหาสังคมแบบสากลและเป็นภาพใหญ่โดยที่ไม่เจาะจงแบบ domestic ตามถิ่นกำเนิดของวง
-เริ่มต้นด้วยเสียงสะท้อนความทรมานจากนิสัยแย่ๆซาดิสม์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นในเพลง Bloodsport ที่โหมกระหน่ำลูกเล่นลายเซ็นต์ความพังค์ที่มีอยู่ในตัววงเอามาคละเคล้าอย่างมะรุมมะตุ้ม ราวกับว่าพวกเขาอยากแนะนำตัวรวดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการแร็ปของ Harry ลายเส้นแซ็คโซโฟนของ Joe ลูกเบสเป็นคลื่นๆของ Matt และไลน์กลองที่ได้ยินตั้งแต่เคาะไม้ยันกระเดื่องของ Jacob นั่นเป็นสิ่งที่โคตรดี เข้าเรื่องไวเพื่อเตรียมรับแรงกระแทกต่อจากนี้ได้เลย
-เข้าสู่องก์ใหญ่องก์แรกด้วยเพลงยาว 10 นาที Look Down on Us ที่แตกออกเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรกฉายภาพความเหลื่อมล้ำของระบบทุนนิยมผูกขาดที่คนเพียงแค่ 1% สามารถชี้เป็นชี้ตายความอยู่รอดในระบบเศรษฐกิจจนบีบขั้นชีวิตคนชั้นกลางถึงต่ำไม่ให้ได้ลืมตาอ้าปากง่ายๆ ความโลภของบางประเทศที่ทำตัวเป็นนายหน้าค้าอาวุธสงครามนำมาซึ่งสงครามที่เกิดขึ้นในปาเลสไตน์
ซึ่งก็แน่นอนว่าอารมณ์ของเพลงในพาร์ทแรกเต็มไปด้วยความถ่มถุย แต่พาร์ทสองเบาโทนให้ calm ด้วยการตั้งคำถามถึงความหวังและปลุกใจด้วยวลีชื่อเดียวกันกับอัลบั้ม เพื่อส่งต่อพลังอำนาจในการเป็นที่พักพิงให้คนรุ่นต่อไป และยังย้ำถึงตอนจบที่ว่า “นายใหญ่กำลังมองลงมาอยู่”
Turn pain to power, put faith in love
Be firm and loyal, in yourself put trust
Be twice the ocean, be twice the land
Be twice the water, for your sons and daughters
Look Down on Us
-สองเพลงแรก aggressive ให้ฉุกคิด แล้วมาแวะพักด้วยการเอื้อนเอ่ย swing jazz อย่างแช่มช้าด้วยการยอมรับในความแตกต่างที่เป็นส่วนนึงในความสวยงามบนโลกใบนี้ผ่านเพลง Saoirse ในภาษาไอริชแปลว่า “อิสรภาพ” การเบรคด้วยเพลงนี้ก็ไม่ต่างจากการเรียกคืนสติก่อนที่จะไปออกไล่ล่าแม่มดให้เรื่องมันบานปลาย
-หลังจากผ่านพ้นความเย็นแล้ว ก็มาเจอกับจุดครึ่งทาง องก์ใหญ่องก์ที่สองในแทร็ค 10 นาที (อีกแล้ว) อย่าง Born to Die อารัมภบทด้วย spoken word ล้วนๆ ร่ายยาวถึงความตลกร้ายที่เสรีภาพทางการแสดงออกไม่มีอยู่จริง เนื่องด้วยวัฒนธรรมกดทับให้เรานั้นต้องเป็นคนพินอบพิเทา ไม่มีปากมีเสียงอยู่ร่ำไป
เราจึงทำได้แค่เอาตัวรอดไปวันๆด้วยการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย ความเป็นนามธรรมอาจถมได้ไม่เต็มพอ วัตถุนิยมอาจเป็นคำตอบที่เป็นรูปธรรม แต่บางครั้งเราก็คิดน้อยไม่ต่างจากหมาที่วิ่งข้ามถนนโดยที่ไม่ระมัดระวังรถบรรทุกน้อยใหญ่ แต่ต่อให้ใช้ชีวิตโดยคิดน้อยหรือมาก สุดท้ายเราล้วนแต่ต้องตายอยู่ดี
การปิดท้าย Outro จึงเป็นโมเมนต์แห่งการขึ้นรถไฟเหาะที่ค่อยๆขยับเขยื้อนถึงจุดบนสุดแล้วโหม่งเราด้วยการติดสปีด noise rock ที่บดขยี้ความโลกสวยให้กรีดร้องไปตามกฏของธรรมชาติอีกครั้ง
-นำมาซึ่งการ mosh pit อย่างต่อเนื่องแบบ nonstop ด้วย Break the Tension ซิงเกิ้ลแรกภายใต้ค่าย Music for Nations อย่างเป็นทางการที่ฉายภาพเจตจำนงของวงตามประโยคเกริ่นนำ สถานการณ์ความตึงเครียดดราม่าและความรุนแรงรายวันต่างมาโดยอัลกอริทึ่มที่คัดสรรมาให้เราผ่านหน้าจอมือถือโดยที่เราแทบไม่ต้องเข้าหาเองด้วยซ้ำ
-Trenches โหมดประท้วง rap rock เต็มสูบที่ประชดประชันรุนแรงที่ไม่เลือกฝั่งว่ามาจากฝ่ายไหน เมื่อผู้ใหญ่และพระเจ้าเบื้องบนไม่เคยเหลียวแล ความชิบหายก็เลยบังเกิด การ turn pain to power ก็ย่อมมีวันถูกโค่นลงเข้าซักวัน เพราะฉะนั้นจงกลับไปตั้งหลักที่สนามเพลาะอย่างมีสติเพื่อให้ฝุ่นหายตลบก่อนดีกว่า
-Zaytoun คือเพลงบรรเลงประจำอัลบั้มที่นวดคลายเส้นผู้ฟังก่อนที่จะไปเจอกับองก์ใหญ่ปิดอัลบั้ม Reconcile ที่เป็นทั้งการร่ายรำ body movement ไปพร้อมๆกับความแหลกสลายภายในหลังจากที่ได้เผชิญกับจุด trigger หลายสิ่งอย่างในชีวิต และยังเป็นการชะล้างความขุ่นมัวเพื่อโอบรับพลังงานความรักได้ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป เป็นการปิดท้ายที่ชดเชยด้วยความหวังได้อย่างหาญกล้า เป็นปลายเปิดที่ดูเลื่อนลอย แต่ก็ยังดีที่ไม่สอนให้ทิ้งสิ่งแย่ๆเพื่อทำเป็นลืมให้จบๆไป
-นี่คงเป็นการเปิดซิงฟังวงนี้ในช่วงที่พวกเขาเริ่ม kick off อย่างเป็นทางการที่รู้สึกดีโคตรๆกับการได้เริ่มเดินทางในช่วงต้นไทม์ไลน์ของ “ว่าที่วง Jazz Punk ที่กำลังจะเติบโตกลายเป็นวงระดับ global band” ที่มาเติมสีสันให้โลกดนตรีโดยที่ไม่ต้องวนด้วยการขับเคลื่อนพลังความรักสงบแบบ world music มากจนเกินไป
-แถมพวกเขามาด้วยสุ้มเสียง Jazz ที่เข้าใจง่ายโดยที่ไม่เล่นท่ายากซับซ้อนจนเกินไป แค่อาศัยประโยชน์แห่ง บรรยากาศ post rock ในการเคี่ยวความรู้สึกให้เข้มข้นอย่างถึงรส และลายเส้นแห่งแซ็คโซโฟนที่ส่งเสียง sound alert ไต่โน้ตได้อย่างทรงพลัง ในแบบที่เครื่อง synthesizer และ beat maker ก็ให้ไม่ได้เท่านี้ ความศักดิ์สิทธิ์แห่งพลัง jam band มันเป็นเช่นนี้
-แต่การพยายามสร้างลายเซ็นต์ของพวกเขาก็เริ่มติดบั๊ค “เดจาวู” ด้วยสเต็ปการย่ำการโขกสับที่ช่างคุ้นเหมือนเราฟังจากแทร็คก่อนๆมาแล้วนี่หว่า ขนาดชื่อเพลง Break the Tension - Trenches เนี่ย ยังคล้องจองกันเลย ท่อนฮุกยิ่งมีการ repeat ชื่อเพลงด้วยอีก อาจเป็นความบังเอิญที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ทำให้สับสนนึกว่าเป็นเพลงเดียวกันพอสมควร
พวกเขาก็ฉลาดพอแก้เกมด้วยการปล่อย instrument ไหลยาวๆในบางช่วงเป็นการสร้าง space ให้คนฟัง พูดลั่นวาจาแทนการร้อง/แร็ป และจำนวนแทร็คที่กำลังพอดี runtime 50 นาทีนี่…เรียกได้ว่าสั้นที่สุดในบรรดาวง Post Rock เลยมั้ง (ฮ่าๆๆ)
-มันก็คือ woke music ดีๆที่บาลานซ์ความจัดจ้านและความทะเยอทะยานในระดับเหมาะสม ไม่ได้ทำหน้าที่เสี้ยมสอนบังคับให้คิดไปในทางใดทางนึงอย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้านึกถึงเป็นคน เขาคือสหายจ่าฝูงท่านนึงที่เป็นผู้นำกระบอกเสียง ยังคงเป็นคนที่พร้อมจะกอดคอเพื่อนร่วมสหายทำ mosh pit และยอมโดนผู้บังคับบัญชาสั่งทำโทษไปพร้อมๆกัน ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าจะก้มหัวยอมจำนนทำเป็นยอมเสียทุกอย่างอยู่ตลอด เค้าแค่สะท้อนเพื่อให้พึงระลึกไว้เสมอว่า ยังมีความเลวร้ายหลงเหลือบนโลกใบนี้ยากที่จะลืม
กว่าจะมีภูมิพลังก็ต้องผ่านบาดแผลมานับไม่ถ้วน
Top Tracks: Look Down on Us, Saoirse, Born to Die, Break the Tension, Reconcile
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา