Maruja via LA Times "Here’s how Maruja crafted its debut, ‘Pain to Power.’ Hint: ‘It’s pretty hardcore’"
-Maruja วงที่นิยามตัวเองว่า Alternative Experimental Jazz Punk จากเมืองแมนเชสเตอร์ บ้านเดียวกับ Oasis, The 1975 แต่ชื่อวงดันได้มาแบบ random จากป้ายร้านลับในย่านชุมชนห่างไกลในประเทศสเปน ซึ่งพวกเขาก็ไม่อยากให้เราคิดมากกับที่มาของชื่อวง เนื่องจากไม่มีนัยยะอะไรแอบแฝงเป็นจักสำคัญ
-นอกจากที่มาของชื่อวงที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลแล้ว การเดินทางของวงกว่าจะมีอัลบั้มแรก Pain to Power ก็มาได้ไกลหลายปีเช่นกัน
-ชื่ออัลบั้มไม่บอกก็รู้ว่ามาทรง call out ปลุกขวัญกำลังใจ แต่ก็ดันสอดคล้องกับเส้นทางและอุปสรรคของวงอยู่ไม่น้อย เริ่มจากการผลัดเปลี่ยนสมาชิกที่ดันมีความคิดสร้างสรรค์ไม่ตรงกัน
-โดย Maruja ณ ปัจจุบันประกอบด้วย Harry Wilkinson (ร้องนำ,กีตาร์) Matt Buonaccorsi (เบส) Joe Carroll (แซ็คโซโฟน) และ Jacob Hayes (กลอง)
-เหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่โคตรซวยคงหนีไม่พ้น เครื่องดนตรีถูกขโมยยกชุดในปี 2021 จนทางวงต้องเปิดรับบริจาคผ่าน GoFundMe โดยตั้งเป้าไว้ที่ 6,000 ปอนด์ (คิดเป็นเงินไทย 262,000 บาท) สรุปแล้วมีผู้บริจาคทั้งสิ้น 67 ราย หนึ่งในนั้นมี Louis Tomlinson อดีตสมาชิก One Direction ร่วมเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้วงสูงถึง 4,000 ปอนด์เลยทีเดียว จนในที่สุดยอดบริจาคแตะถึงเป้าได้สำเร็จ
-หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายไปได้แล้ว พวกเขากลับมาด้วย 2 อัลบั้มอีพี Knocknarea (2023) และ Connla's Well (2024) ได้รับฟีดแบ็คดีงามจากสื่อเพลงหลายสำนัก กลายเป็นวงดนตรีที่น่าจับตามอง ได้เซ็นสัญญากับค่าย Music for Nations ปลายปี 2024 และนำมาซึ่งอัลบั้ม Pain to Power ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น
-เริ่มต้นด้วยเสียงสะท้อนความทรมานจากนิสัยแย่ๆซาดิสม์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นในเพลง Bloodsport ที่โหมกระหน่ำลูกเล่นลายเซ็นต์ความพังค์ที่มีอยู่ในตัววงเอามาคละเคล้าอย่างมะรุมมะตุ้ม ราวกับว่าพวกเขาอยากแนะนำตัวรวดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการแร็ปของ Harry ลายเส้นแซ็คโซโฟนของ Joe ลูกเบสเป็นคลื่นๆของ Matt และไลน์กลองที่ได้ยินตั้งแต่เคาะไม้ยันกระเดื่องของ Jacob นั่นเป็นสิ่งที่โคตรดี เข้าเรื่องไวเพื่อเตรียมรับแรงกระแทกต่อจากนี้ได้เลย
-เข้าสู่องก์ใหญ่องก์แรกด้วยเพลงยาว 10 นาที Look Down on Us ที่แตกออกเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรกฉายภาพความเหลื่อมล้ำของระบบทุนนิยมผูกขาดที่คนเพียงแค่ 1% สามารถชี้เป็นชี้ตายความอยู่รอดในระบบเศรษฐกิจจนบีบขั้นชีวิตคนชั้นกลางถึงต่ำไม่ให้ได้ลืมตาอ้าปากง่ายๆ ความโลภของบางประเทศที่ทำตัวเป็นนายหน้าค้าอาวุธสงครามนำมาซึ่งสงครามที่เกิดขึ้นในปาเลสไตน์
-หลังจากผ่านพ้นความเย็นแล้ว ก็มาเจอกับจุดครึ่งทาง องก์ใหญ่องก์ที่สองในแทร็ค 10 นาที (อีกแล้ว) อย่าง Born to Die อารัมภบทด้วย spoken word ล้วนๆ ร่ายยาวถึงความตลกร้ายที่เสรีภาพทางการแสดงออกไม่มีอยู่จริง เนื่องด้วยวัฒนธรรมกดทับให้เรานั้นต้องเป็นคนพินอบพิเทา ไม่มีปากมีเสียงอยู่ร่ำไป
การปิดท้าย Outro จึงเป็นโมเมนต์แห่งการขึ้นรถไฟเหาะที่ค่อยๆขยับเขยื้อนถึงจุดบนสุดแล้วโหม่งเราด้วยการติดสปีด noise rock ที่บดขยี้ความโลกสวยให้กรีดร้องไปตามกฏของธรรมชาติอีกครั้ง
-นำมาซึ่งการ mosh pit อย่างต่อเนื่องแบบ nonstop ด้วย Break the Tension ซิงเกิ้ลแรกภายใต้ค่าย Music for Nations อย่างเป็นทางการที่ฉายภาพเจตจำนงของวงตามประโยคเกริ่นนำ สถานการณ์ความตึงเครียดดราม่าและความรุนแรงรายวันต่างมาโดยอัลกอริทึ่มที่คัดสรรมาให้เราผ่านหน้าจอมือถือโดยที่เราแทบไม่ต้องเข้าหาเองด้วยซ้ำ
-Trenches โหมดประท้วง rap rock เต็มสูบที่ประชดประชันรุนแรงที่ไม่เลือกฝั่งว่ามาจากฝ่ายไหน เมื่อผู้ใหญ่และพระเจ้าเบื้องบนไม่เคยเหลียวแล ความชิบหายก็เลยบังเกิด การ turn pain to power ก็ย่อมมีวันถูกโค่นลงเข้าซักวัน เพราะฉะนั้นจงกลับไปตั้งหลักที่สนามเพลาะอย่างมีสติเพื่อให้ฝุ่นหายตลบก่อนดีกว่า
-Zaytoun คือเพลงบรรเลงประจำอัลบั้มที่นวดคลายเส้นผู้ฟังก่อนที่จะไปเจอกับองก์ใหญ่ปิดอัลบั้ม Reconcile ที่เป็นทั้งการร่ายรำ body movement ไปพร้อมๆกับความแหลกสลายภายในหลังจากที่ได้เผชิญกับจุด trigger หลายสิ่งอย่างในชีวิต และยังเป็นการชะล้างความขุ่นมัวเพื่อโอบรับพลังงานความรักได้ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป เป็นการปิดท้ายที่ชดเชยด้วยความหวังได้อย่างหาญกล้า เป็นปลายเปิดที่ดูเลื่อนลอย แต่ก็ยังดีที่ไม่สอนให้ทิ้งสิ่งแย่ๆเพื่อทำเป็นลืมให้จบๆไป
-นี่คงเป็นการเปิดซิงฟังวงนี้ในช่วงที่พวกเขาเริ่ม kick off อย่างเป็นทางการที่รู้สึกดีโคตรๆกับการได้เริ่มเดินทางในช่วงต้นไทม์ไลน์ของ “ว่าที่วง Jazz Punk ที่กำลังจะเติบโตกลายเป็นวงระดับ global band” ที่มาเติมสีสันให้โลกดนตรีโดยที่ไม่ต้องวนด้วยการขับเคลื่อนพลังความรักสงบแบบ world music มากจนเกินไป
-แถมพวกเขามาด้วยสุ้มเสียง Jazz ที่เข้าใจง่ายโดยที่ไม่เล่นท่ายากซับซ้อนจนเกินไป แค่อาศัยประโยชน์แห่ง บรรยากาศ post rock ในการเคี่ยวความรู้สึกให้เข้มข้นอย่างถึงรส และลายเส้นแห่งแซ็คโซโฟนที่ส่งเสียง sound alert ไต่โน้ตได้อย่างทรงพลัง ในแบบที่เครื่อง synthesizer และ beat maker ก็ให้ไม่ได้เท่านี้ ความศักดิ์สิทธิ์แห่งพลัง jam band มันเป็นเช่นนี้
พวกเขาก็ฉลาดพอแก้เกมด้วยการปล่อย instrument ไหลยาวๆในบางช่วงเป็นการสร้าง space ให้คนฟัง พูดลั่นวาจาแทนการร้อง/แร็ป และจำนวนแทร็คที่กำลังพอดี runtime 50 นาทีนี่…เรียกได้ว่าสั้นที่สุดในบรรดาวง Post Rock เลยมั้ง (ฮ่าๆๆ)