เมื่อวาน เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ครั้งหนึ่ง การมีทองคำมากไป เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในสหรัฐฯ

หากวันหนึ่งเราตื่นขึ้นมา แล้วรัฐบาลบอกว่า “ห้ามทุกคนถือครองทองคำเกินน้ำหนัก 2 บาท”
โดยต้องนำทองคำส่วนที่เกิน ไปแลกเป็นเงินให้หมด ภายในเวลา 30 วันทันที ถ้าใครฝ่าฝืนก็จะมีโทษปรับและจำคุก
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง
แต่รู้หรือไม่ว่า เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
1
เรื่องราวเป็นมาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เริ่มจากการนำระบบมาตรฐานทองคำมาใช้เป็นระบบการเงิน
ซึ่งเป็นระบบการเงินที่มูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้น จะถูกตรึงไว้โดยตรงกับทองคำ ภายใต้อัตราการแลกเปลี่ยนหนึ่ง
1
โดยเงินจะมีเบื้องหลังทองคำค้ำประกันอยู่ และสามารถแลกเปลี่ยนเป็นทองคำได้เสมอ
ซึ่งปี 1819 อังกฤษ ประเทศมหาอำนาจในขณะนั้น ได้มีการใช้ระบบมาตรฐานทองคำ เป็นประเทศแรกของโลกอย่างเป็นทางการ
และนั่นก็แปลว่า สิ่งที่ตามมาคือ ระบบนี้จะถูกตั้งเป็นมาตรฐานโลก
ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ หันมาใช้ระบบมาตรฐานทองคำนี้ทั้งหมด รวมถึงสหรัฐฯ เอง ก็ใช้มาตรฐานทองคำอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1900
ในปี 1913 สหรัฐฯ จึงรวมมาตรฐานทองคำเข้ากับโครงสร้างของธนาคารกลางของประเทศ (FED)
1
ซึ่งกำหนดให้ต้องถือครองทองคำอย่างน้อย 40% ของมูลค่าสกุลเงินที่ออก และกำหนด 20.67 ดอลลาร์สหรัฐ = ทองคำ 1 ออนซ์
1
จะเห็นได้ว่า หัวใจหลัก ๆ ของมาตรฐานทองคำคือ การที่พยายามเป็นตัวควบคุมการพิมพ์เงินได้ โดยมีปริมาณทองคำเป็นตัวจำกัด
เพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อได้ รวมไปถึงสร้างเสถียรภาพให้กับราคาและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ระบบนี้กลับมีจุดอ่อนซ่อนอยู่..
ในช่วงปี 1929-1933 วิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หรือ Great Depression เกิดขึ้นในสหรัฐฯ
ส่งผลให้ ผู้คนและบริษัทต่าง ๆ ในประเทศขาดความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมไปถึงนักลงทุนต่างชาติกลัวการลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงต้องการถือครองทองคำ มากกว่าเงิน
1
ทองคำจำนวนมากได้ไหลออกจาก FED และเงินในระบบเศรษฐกิจหายไปเรื่อย ๆ โดยที่สถานะของสหรัฐฯ ในตอนนั้น ก็ไม่สามารถพิมพ์เงินเพิ่มได้ เพราะไม่มีทองคำหนุนหลัง
1
ระบบเศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง
พอเป็นแบบนี้ ในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1933 คุณ Franklin D. Roosevelt ที่เพิ่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
จึงออกกฎหมายกำหนดให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน สมาคม และบริษัท ทั้งหมดต้องนำทองคำแท่ง เหรียญทองคำ และใบรับรองทองคำ ที่ครอบครองอยู่ไปมอบให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือธนาคารสมาชิก ก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1933
1
หากฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษสูงสุดถึงจำคุก 10 ปี หรือปรับ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 8 ล้านบาทในปัจจุบัน หลังปรับเงินเฟ้อ
1
ยกเว้นการใช้งานทางอาชีพ เช่น ช่างอัญมณี, ทันตแพทย์ และอนุญาตให้ถือเหรียญทองคำ และใบรับรองทองคำ มูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
2
และในเวลาต่อมา รัฐบาลได้ปรับราคาทองคำเป็น 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
1
ซึ่งสหรัฐฯ ก็สามารถควบคุมทองคำไหลออกจากธนาคารกลางได้สำเร็จ แต่นั่นก็ต้องแลกกับการที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐถูกลดค่าลงอย่างมาก
1
ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากเลือกซ่อนทองคำไว้
แม้จะเสี่ยงต่อโทษหนัก รวมไปถึงมีการลักลอบค้าทองคำในตลาดมืด
1
โดยคาดกันว่า รัฐบาลสามารถยึดทองคำได้ราว 2,600 ตัน ถ้าคิดเป็นเงินตามราคาทองวันนี้ ก็อยู่ระดับหลักแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
1
แม้จะฟังดูมาก แต่จริง ๆ แล้วทองคำที่สหรัฐฯ ได้มานั้น คิดเป็นเพียงประมาณ 25% ของทองคำทั้งหมดที่ประชาชนถืออยู่เท่านั้น
1
นั่นหมายความว่า อีก 75% ของทองคำทั้งหมดไม่ได้ถูกส่งมอบ
1
โดยในเวลาต่อมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก
จึงได้กำหนดข้อตกลงเบรตตัน วูดส์ (Bretton Woods Agreement) ในปี 1944 โดยจะให้ทองคำและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐผูกกับทองคำเพียงสกุลเดียว
แล้วให้สกุลเงินของประเทศต่าง ๆ มาผูกกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐด้วยค่าคงที่ อีกที โดยให้ประเทศต่าง ๆ สามารถนำสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ มาแลกเปลี่ยนเป็นทองคำได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น สหรัฐฯ ได้เข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจถดถอย เกิดการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง
จึงต้องพิมพ์เงินออกมา เพื่อชดเชยการขาดดุลที่เกิดขึ้น
จนทำให้ปริมาณเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในเศรษฐกิจโลกมากกว่าปริมาณทองคำที่มี
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐก็ลดลง ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ไม่อยากถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอีกต่อไป จึงนำมาแลกเปลี่ยนเป็นทองคำแทน
จนในที่สุด ในปี 1971 สหรัฐฯ จึงประกาศยุติข้อตกลงนี้ไป ยกเลิกการผูกสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐไว้กับทองคำ และมีการลดค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวที่เป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น และใช้กันจนมาถึงในปัจจุบัน
รวมไปถึง ต่อมาในปี 1974 รัฐบาลสหรัฐฯ จึงอนุญาตให้ประชาชนถือครองทองคำได้อย่างเสรี เป็นไปตามกลไกตลาด หลังจากสั่งห้ามมากว่า 40 ปี อีกด้วย
1
แล้วเราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง ?
1
สิ่งที่เราคิดว่า แน่นอนในวันนี้ ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นแบบที่เราคาดไว้ในวันหน้า
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ ใครจะไปคิดว่า เราถือครองทองคำอยู่ดี ๆ จะถูกรัฐบาลสั่งให้แลกเปลี่ยนเป็นเงิน ที่ถูกลดค่าลงอย่างมาก หากไม่ทำตามก็เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย
แม้ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานาน ระบบมาตรฐานทองคำจะล่มสลายไปแล้ว แต่ก็น่าจะทำให้เห็นถึงได้ความสำคัญการกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี
ซึ่งการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลาย มากกว่าสกุลเงินเดียว ประเทศเดียว อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะช่วยเราลดความเสียหาย ลงไปได้บ้าง หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน..
1
โฆษณา