Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สารพันความรู้
•
ติดตาม
วันนี้ เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์
👑 ราชินีฮอฮวังอ๊ก: สตรีผู้เชื่อมสองอารยธรรม – มีตัวตนจริงหรือเป็นเพียงตำนาน?
บทนำ: ลมทะเลแห่งชะตา
ในยามเช้าที่หมอกบางปกคลุมผืนน้ำสีคราม แสงอาทิตย์แรกของวันสะท้อนบนเรือไม้ขนาดใหญ่ที่แล่นออกจากฝั่งอันไกลโพ้น เสียงคลื่นสาดกระทบหัวเรือดังสม่ำเสมอราวกับเสียงกลองแห่งโชคชะตา และตรงกลางเรือลำนั้น มีหญิงสาวในอาภรณ์ไหมสีทอง นัยน์ตาเปล่งประกายราวแสงแห่งปัญญา เธอชื่อ “ฮอฮวังอ๊ก (Heo Hwang-ok)”
หญิงสาวจากแดนไกลซึ่งจะกลายเป็น ราชินีองค์แรกของอาณาจักรคิมกวันกายา (Geumgwan Gaya) และจะถูกกล่าวขานตลอดพันปี ว่าเป็น “เจ้าหญิงจากอาณาจักรอายูธยา” ผู้เดินทางข้ามมหาสมุทรเพื่อมาสมรสกับกษัตริย์ซูโร (King Suro)
แต่เรื่องราวนี้เป็นจริงหรือไม่?
เธอมีตัวตนอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ หรือเป็นเพียงตำนานที่ชาวเกาหลีสร้างขึ้นเพื่ออธิบายความสัมพันธ์กับดินแดนไกลโพ้นอย่างอินเดีย?
บทที่ 1: ร่องรอยจากหนังสือตำนาน
ชื่อของราชินีฮอฮวังอ๊ก ปรากฏอยู่ในเอกสารเก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งของเกาหลี ชื่อว่า “ซัมกุกยูซา” (삼국유사 / 三國遺事) หรือ บันทึกเกร็ดเรื่องราวสามอาณาจักร เขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยพระภิกษุนาม “อิลยอน (Iryeon)”
ในหนังสือเล่มนั้น บันทึกไว้ว่า…
“เมื่อกษัตริย์ซูโรแห่งคิมกวันกายาขึ้นครองราชย์ พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ได้ตรัสกับกษัตริย์แห่งอาณาจักรอายูธยา ให้ส่งเจ้าหญิงองค์หนึ่งนามว่า ‘ฮอฮวังอ๊ก’ เดินทางไปยังดินแดนตะวันออกเพื่อเป็นมเหสีของกษัตริย์ซูโร ซึ่งเป็นบุรุษผู้ได้รับเลือกจากสวรรค์เช่นกัน”
คำบอกเล่านั้นฟังดูราวนิยายเทพปกรณัม แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ
เอกสารดังกล่าวบันทึกชื่อ “อายูธยา (Ayuta)” ไว้อย่างชัดเจน —
ชื่อที่สะกดคล้ายกับ “อโยธยา (Ayodhya)” เมืองศักดิ์สิทธิ์ในอินเดียตอนเหนือ บ้านเกิดของ “พระราม” ในมหากาพย์รามายณะ
นี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานที่ทำให้นักวิชาการ อินเดีย และเกาหลี ต่างหันมามองกันด้วยความสนใจว่า —
หรือว่าความสัมพันธ์ของสองอารยธรรมนี้ อาจมีจุดกำเนิดเก่าแก่กว่าที่ใครเคยคาดคิด?
บทที่ 2: เจ้าหญิงจากแดนไกล
ตำนานเล่าว่า เมื่อเจ้าหญิงฮอฮวังอ๊กอายุได้ 16 ปี พระนางได้รับนิมิตจากเทพบนสวรรค์ว่า
“จงออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออก ที่นั่นมีบุรุษผู้ได้รับเลือกจากฟ้า เขาชื่อว่า ‘ซูโร’ เขากำลังสร้างอาณาจักรใหม่ และเจ้าจะเป็นผู้ร่วมบัลลังก์กับเขา”
เจ้าหญิงจึงขออนุญาตพระราชบิดา เดินทางพร้อมขบวนเรือกว่า 20 ลำ บรรทุกเครื่องบรรณาการจากอาณาจักรอายูธยา ทั้งทองคำ ผ้าไหม เครื่องหอม และหินศักดิ์สิทธิ์ชื่อ “พิโระซก (Piroseok)” ซึ่งเชื่อว่าสามารถปกป้องผู้เดินทางในท้องทะเลได้
การเดินทางของเจ้าหญิงกินเวลาหลายเดือน ท่ามกลางลมมรสุมและคลื่นสูง เธอและบริวารต้องต่อสู้กับพายุและความกลัว แต่พระนางไม่เคยหวั่นไหว เพราะเชื่อว่าฟ้าลิขิตให้เธอเดินทางเพื่อภารกิจแห่งโชคชะตา
และในที่สุด เรือของพระนางก็เทียบท่าที่ชายฝั่งเมือง กิมแฮ (Gimhae) บริเวณตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี
บทที่ 3: การพบกันของสองโลก
เมื่อข่าวการมาถึงของเจ้าหญิงจากแดนไกลแพร่กระจายไปทั่วคายา
กษัตริย์ซูโร เสด็จออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง
ตำนานกล่าวว่า เมื่อกษัตริย์ซูโรทอดพระเนตรเห็นเจ้าหญิงฮอฮวังอ๊กครั้งแรก พระองค์ทรงรู้ทันทีว่า นี่คือสตรีที่ฟ้าส่งมาให้
พระนางมีความงามอ่อนช้อย ผิวพรรณผ่องดุจทองคำ และเปี่ยมด้วยเมตตาและปัญญา
การอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์ซูโรและเจ้าหญิงฮอฮวังอ๊ก ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสายเลือดแห่งกษัตริย์คิมแห่งกิมแฮ ซึ่งต่อมาจะเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลี
บทที่ 4: ราชินีแห่งคายา
หลังอภิเษกสมรส ราชินีฮอฮวังอ๊กได้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในราชสำนัก
พระนางนำวัฒนธรรมและภูมิปัญญาจากอาณาจักรอายูธยามาปรับใช้ในคายา
ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะการทอผ้า, เทคนิคการหล่อโลหะ, การทำเครื่องประดับ, และ แนวคิดทางจิตวิญญาณ
ว่ากันว่า นางได้แนะนำให้สร้าง “พิธีบูชาเทพแห่งน้ำและลม” ซึ่งคล้ายพิธีกรรมของอินเดียใต้ และสิ่งนี้กลายเป็นหนึ่งในพิธีพื้นบ้านที่ยังคงหลงเหลือในบางพื้นที่ของเกาหลีใต้มาจนทุกวันนี้
พระนางยังให้กำเนิดพระโอรส 10 พระองค์ ซึ่งต่อมามี 2 พระองค์ที่ใช้นามสกุล “ฮอ” ส่วนพระโอรสองค์อื่นใช้นามสกุล “คิม” (Kim) ซึ่งต่อมาคือ ต้นตระกูลคิมแห่งกิมแฮ (Gimhae Kim clan) ที่มีลูกหลานอยู่มากมายทั่วเกาหลีในปัจจุบัน
บทที่ 5: หญิงผู้เชื่อมสองอารยธรรม
เรื่องราวของราชินีฮอฮวังอ๊กจึงไม่ได้เป็นเพียงตำนานแห่งความรักระหว่างกษัตริย์และเจ้าหญิงเท่านั้น
แต่มันสะท้อนถึงการ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างเอเชียใต้กับเอเชียตะวันออก ในยุคที่โลกยังไม่มีแผนที่
เครื่องประดับที่ขุดพบในเมืองกิมแฮ บางชิ้นมีลวดลายคล้ายกับศิลปะของอินเดียโบราณ
เครื่องปั้นดินเผาบางชนิดก็มีรูปแบบไม่เหมือนของเกาหลีทั่วไป
นักโบราณคดีบางคนจึงตั้งสมมติฐานว่า ดินแดนคายาอาจมีเส้นทางการค้าทางทะเลกับอินเดียจริง ๆ ผ่านช่องแคบมะละกา และทะเลจีนใต้
ดังนั้น “ราชินีฮอฮวังอ๊ก” อาจไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าลอย ๆ
แต่เป็น “สัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรม” ที่เกิดขึ้นจริงในยุคโบราณ
บทที่ 6: เมื่อประวัติศาสตร์มาพบตำนาน
แม้นักประวัติศาสตร์จะยังถกเถียงกันว่า พระนางมีตัวตนจริงหรือไม่
แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ “ตำนานของเธอ” มีพลังอย่างมหาศาล
ในเมือง กิมแฮ มี สุสานของกษัตริย์ซูโรและราชินีฮอฮวังอ๊ก ซึ่งได้รับการบูรณะอย่างงดงาม
ทุกปีจะมีพิธีรำลึกและบวงสรวงขึ้นที่นั่น โดยเฉพาะในวันที่ 27 เมษายนของทุกปี ซึ่งชาวเมืองถือว่าเป็น “วันแห่งราชินีฮอ”
นอกจากนี้ ยังมี พิพิธภัณฑ์กิมแฮ (Gimhae National Museum) จัดแสดงเรื่องราวของพระนางอย่างละเอียด
รวมถึง “สะพานอนุสรณ์ราชินีฮอฮวังอ๊ก” ที่สร้างเชื่อมมิตรภาพระหว่างเกาหลีใต้กับอินเดีย
บทที่ 7: อินเดียตอบรับตำนาน
ในปี 2001 รัฐบาลอินเดียได้สร้าง “สวนอนุสรณ์ราชินีฮอ (Queen Heo Memorial Park)” ขึ้นที่เมือง อโยธยา (Ayodhya)
โดยมีหินอนุสรณ์จารึกภาษาฮันกึล (เกาหลี) และภาษาฮินดี เพื่อรำลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองอารยธรรม
ต่อมาในปี 2018 ระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี (Narendra Modi) และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มุน แจอิน (Moon Jae-in) ทั้งสองผู้นำได้ร่วมวางศิลาฤกษ์ปรับปรุงสวนอนุสรณ์แห่งนี้
โมดีถึงกับกล่าวว่า
“ราชินีฮอฮวังอ๊กคือสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพที่เก่าแก่ที่สุดระหว่างอินเดียกับเกาหลี”
ตั้งแต่นั้นมา เมืองอโยธยาและเมืองกิมแฮก็ถือเป็น “เมืองพี่เมืองน้อง” อย่างเป็นทางการ
มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม นักศึกษา และการแสดงศิลปะต่อเนื่องทุกปี
บทที่ 8: นักวิชาการว่าอย่างไร?
แน่นอนว่าเรื่องราวของเจ้าหญิงจากแดนไกลไม่ได้รอดพ้นจากการตรวจสอบของนักวิชาการสมัยใหม่
มีสองทัศนะใหญ่ที่ยังคงถกเถียงกันมาจนทุกวันนี้
ทัศนะที่ 1: เธอมีตัวตนจริง
นักประวัติศาสตร์บางกลุ่ม โดยเฉพาะในเกาหลีใต้และอินเดีย เชื่อว่า พระนางเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์
หลักฐานที่มักถูกยกขึ้นมาคือ
การขุดพบเครื่องประดับแบบอินเดียในบริเวณสุสานคิมกวันกายา
การพบหินและเครื่องรางที่คล้ายกับ “พิโระซก”
และตระกูล “คิมแห่งกิมแฮ” ที่มีเอกสารตระกูลเก่าระบุสายสืบเชื้อสายจากพระนางอย่างชัดเจน
พวกเขาเชื่อว่า พระนางอาจเป็นเจ้าหญิงจากอินเดียใต้ (อาจมาจากแคว้นทมิฬ) ที่เดินทางทางเรือมายังคาบสมุทรเกาหลีเพื่อการทูต
ทัศนะที่ 2: เธอคือสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรม
ขณะที่นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งมองว่า ราชินีฮอฮวังอ๊กอาจเป็นเพียง “สัญลักษณ์” ของการติดต่อระหว่างอารยธรรมเท่านั้น
คำว่า “อายูธยา” อาจไม่ได้หมายถึง “อโยธยา” จริง ๆ แต่เป็นคำเรียกเชิงตำนาน หมายถึง “เมืองแห่งความศักดิ์สิทธิ์”
ดังนั้น เรื่องราวของเจ้าหญิงอาจเป็นการเปรียบเปรยถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ไม่ใช่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดยตรง
บทที่ 9: ความเชื่อและอิทธิพลที่ยั่งยืน
ไม่ว่าจะเป็นตำนานหรือความจริง ราชินีฮอฮวังอ๊กก็กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของเกาหลี
ซีรีส์เกาหลีบางเรื่องนำตำนานนี้ไปดัดแปลง เช่น “King Suro (คิงซูโร)” ที่ออกอากาศในปี 2010 ได้ถ่ายทอดความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์อย่างโรแมนติกและยิ่งใหญ่
เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของ หญิงผู้กล้า เดินทางข้ามทะเลเพื่อชะตาแห่งรักและหน้าที่
ในเกาหลีใต้ ปัจจุบันยังมีตระกูลกว่า 6 ล้านคนที่เชื่อว่าตนเองคือ “ลูกหลานของราชินีฮอฮวังอ๊ก”
และในอินเดียเอง หลายคนมองเธอเป็น “เจ้าหญิงแห่งอโยธยาที่หายไป”
บทที่ 10: ร่องรอยทางทะเลที่อาจเป็นจริง
นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยโซลและมหาวิทยาลัยมทัย (Madurai) ของอินเดีย ได้ทำการศึกษาร่วมกันในช่วงปี 2017–2023
พบว่า เส้นทางการค้าโบราณระหว่างอินเดียใต้กับจีนผ่านคาบสมุทรมลายูและเกาหลี อาจมีอยู่จริงตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 1
สิ่งนี้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ “กษัตริย์ซูโร” และ “ราชินีฮอฮวังอ๊ก” ถูกบันทึกในตำนานพอดี
ทำให้หลายคนเริ่มมองว่า “เรื่องราวของเธอ” อาจเป็นตำนานที่ตั้งอยู่บน “รากฐานของความจริง”
บทที่ 11: ตำนานที่กลายเป็นสายสัมพันธ์ทางการทูต
กว่า 2,000 ปีผ่านไป ตำนานของราชินีฮอฮวังอ๊กได้กลายเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างแท้จริง
อินเดียมองเกาหลีใต้ในฐานะมิตรเก่าแก่จากกาลอดีต
เกาหลีใต้ก็มองอินเดียในฐานะ “บ้านเกิดของมารดาแห่งอารยธรรมของตน”
ปัจจุบันมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การศึกษา และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แม้โลกจะเปลี่ยนไปไกลจากยุคของกษัตริย์ซูโร แต่ชื่อของราชินีฮอฮวังอ๊กยังคงอยู่ในหัวใจของผู้คนสองชาติ
บทที่ 12: สตรีผู้ฝ่าคลื่นแห่งกาลเวลา
ในมุมหนึ่ง เธออาจเป็นเพียงชื่อในตำนาน
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เธอคือแรงบันดาลใจให้ผู้คนเชื่อในพลังของ สตรี, ความรัก, และ ความกล้าในการก้าวข้ามพรมแดน
ราชินีฮอฮวังอ๊ก ไม่ได้เพียงเดินทางข้ามทะเล
เธอเดินทางข้าม “กำแพงของวัฒนธรรม” และ “ขอบเขตของประวัติศาสตร์”
เพื่อกลายเป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตกแห่งเอเชีย
บทสรุป: ตำนานที่ยังไม่จบ
“บางเรื่องราวไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐาน หากมันยังทำให้ผู้คนเชื่อในความดีและความงามของจิตใจมนุษย์”
ไม่ว่าเธอจะเป็นเจ้าหญิงที่มีเลือดเนื้อจริง หรือเป็นเพียงภาพในตำนาน
ราชินีฮอฮวังอ๊ก ก็ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในใจผู้คนทั่วเอเชีย
เธอคือตำนานที่ยังคงมีชีวิต
คือลมหายใจแห่งมิตรภาพที่พัดพาความศรัทธาระหว่าง อโยธยาแห่งอินเดีย และ กิมแฮแห่งเกาหลี
และตราบใดที่ผู้คนยังเล่าขานชื่อของเธอ
“ราชินีฮอฮวังอ๊ก” ก็จะไม่มีวันกลายเป็นเพียงตำนาน
เรื่องเล่า
ความรู้รอบตัว
ชีวิต
บันทึก
3
1
1
3
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย