13 ต.ค. เวลา 01:00 • การตลาด

PLUS เร่งเครื่องโกยออเดอร์ส่งออกสหรัฐฯ มั่นใจยอดขายโต 10-15% เข้าเป้า

  • PLUS คงเป้าหมายการเติบโตของยอดขายปี 2568 ไว้ที่ 10-15% หรือประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการน้ำมะพร้าวในตลาดต่างประเทศ
  • ตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกหลักที่สำคัญ มีสัดส่วนยอดขายกว่า 40-50% ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนยอดขายรวมของบริษัท
  • บริษัทมีแผนเจรจาปรับขึ้นราคาขายปลีกในตลาดสหรัฐฯ ประมาณ 10% และทำสัญญาระยะยาวกับคู่ค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของรายได้และลดความเสี่ยง
นายกิตติ วชิรจิรากร รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานบริษัทในช่วงไตรมาส 4/2568 คาดว่ายังคงมีการขยายตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการบริโภคน้ำมะพร้าวที่ยังคงมีอยู่มาก
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดในแถบอเมริกาตอนใต้เพิ่มเติม คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนภายในปี 2569 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาสนับสนุนผลการดำเนินงานให้มีการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวไปยัง 7 ภูมิภาค 11 ประเทศทั่วโลก โดยน้ำหนักส่วนใหญ่กว่า 40 - 50% อยู่ในตลาดอเมริกาตอนเหนือ ขณะที่ 35 % อยู่ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง 8% และกลุ่มยุโรปอีกประมาณ 8 - 9% ของยอดขายทั้งหมด
ปัจจุบันบริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของยอดขายไว้ที่ 10-15% หรือแตะที่ระดับประมาณ 1,500 - 1,600 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ราว 1,430 ล้านบาท โดยมองว่าความต้องการบริโภคน้ำมะพร้าวยังมีการขยายตัวที่ดี โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ ทำให้บริษัทยังได้รับออเดอร์ใหม่ๆ จากทั้งลูกค้ารายเดิมและรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีความมั่นใจว่าการเติบโตของยอดขายรวมในปี 2568 จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 10-15% จากเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ไม่น้อยกว่า 15 - 20% และ 5 - 10% ตามลำดับ
พร้อมกันนี้ บริษัทได้เตรียมแผนรับมือด้วยการเจรจาปรับราคาขายปลีกในตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ และไม่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค พร้อมทั้งเจรจาปรับโครงสร้างราคากับลูกค้ารายใหญ่
รวมไปถึงการทำสัญญาระยะยาว (Long-Term Contract) กับพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของรายได้ และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดแต่ละประเทศผ่านการขยายตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีความสนใจและเปิดโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Co-Brand ร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น (Local Partner) ในต่างประเทศใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อดีคือบริษัทไม่ต้องลงแรงไปทำการตลาดเอง สามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้กับบริษัท อีกทั้งยังช่วยให้พาร์ทเนอร์ขยาย Secment ได้เพิ่มอีกด้วย
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2569 นั้น ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับแผนงานใหม่เพิ่มเติม โดยเดิมวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายไว้ที่ไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะนำเรื่องเสนอต่อบอร์ดบริหารในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้
ด้านกำลังการผลิตเครื่องดื่มบรรจุขวดแก้วในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านขวดต่อปี และเครื่องดื่มบรรจุขวด PET ประมาณ 250 ล้านขวดต่อปี เมื่อรวมทั้งปีคาดว่ากำลังการผลิตจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 65% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตเครื่องดื่ม
ภาษีสหรัฐฯ ไม่กระทบ
ประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทยที่ระดับ 19% นั้น มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของบริษัท แม้ว่าสัดส่วนยอดขายกว่า 99% ของบริษัทจะมาจากการส่งออก แต่ผลจะตกกระทบโดยตรงกับลูกค้าต่างประเทศมากกว่า
แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้น่ากังวลนัก เนื่องจากด้วยค่าขนส่งสินค้า (Freight) ปรับตัวสูงขึ้นมากตั้งแต่ช่วงวิกฤตโรคระบาด แม้ในปัจจุบันจะปรับตัวลดลงแล้ว แต่ลูกค้าก็ยังมีกำไรจากส่วนต่างค่าระวางสินค้ามาชดเชยได้อยู่
ทั้งนี้ บริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอกใจและได้มีการวางแผนส่งเสริมการขาย รวมถึงการวางกลยุทธ์หาผู้ให้บริการขนส่งสินค้าที่หลากหลาย เพื่อช่วยเหลือลูกค้าในการลงต้นทุนร่วมด้วย
การที่สหรัฐฯ ปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจาก 36% เหลือ 19% ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อราคาขายและกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยบริษัทได้ประเมินความเสี่ยงล่วงหน้าและเตรียมความพร้อมรับมือไว้แล้ว
โฆษณา