13 ต.ค. เวลา 00:38 • ข่าว

📢 วิกฤตน้ำเน่า "ต. หนองพยอม" อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร

จุดสะท้อนการจัดการน้ำที่ล้มเหลว: ถึงเวลาที่รัฐต้องใช้ "กฎหมาย" นำ "การเฉลี่ยทุกข์" แบบสากล?
💡เมื่อชาวบ้านต้อง "ขุดทางน้ำ" เอง หลังน้ำท่วมขังนานนับเดือน
เหตุการณ์ที่ ตำบลหนองพยอม อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ซึ่งมีน้ำท่วมขังนานกว่าหนึ่งเดือนจนน้ำเริ่มเน่าเสีย และชาวบ้านต้องรวมตัวกันใช้เครื่องมือส่วนตัวเพื่อขุดทำทางระบายน้ำออกจากชุมชน เนื่องจากความพยายามเจรจาขอความช่วยเหลือไม่เป็นผล คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของ ความล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำ ในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำท่วมตามฤดูกาล แต่เป็นเรื่องของ การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งส่งผลให้ชุมชนลุ่มต่ำต้องแบกรับภาระที่หนักหน่วงเกินกว่าจะรับได้
💡ปัญหาที่ล้มเหลว: เมื่อ "ทางน้ำ" ถูกเปลี่ยน แต่ "ภาระ" ไม่ถูกแบ่ง
จากการรายงานข่าว พบว่าหนึ่งในสาเหตุสำคัญของปัญหาน้ำท่วมขังและระบายช้าในพื้นที่หนองพยอม คือ สิ่งปลูกสร้าง หรือโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่ขวางทางระบายน้ำตามธรรมชาติ นี่คือจุดที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมครั้งใหญ่ ที่เกิดขึ้นได้ในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยมีประเด็นที่เกี่ยวข้องคือ
1. ผู้สร้างปัญหา: โครงการพัฒนาที่ดินซึ่งก่อสร้างในพื้นที่ทางน้ำไหล หรือที่ลุ่มต่ำ ทำให้การระบายน้ำตามธรรมชาติถูกปิดกั้น
2. ผู้รับภาระ (เฉลี่ยทุกข์): ชุมชนที่อยู่หลังสิ่งกีดขวางต้องกลายเป็นพื้นที่รับน้ำ (แก้มลิง) โดยปริยาย ถูกน้ำท่วมขังนานกว่า 30 วัน จนเกิดปัญหาน้ำเน่าเสียและโรคระบาด
3. การเยียวยาที่ไม่สมดุล: รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเพียงเงินเยียวยาตามระยะเวลาที่ถูกน้ำท่วม (เช่น 5,000-9,000 บาท) ซึ่งไม่เพียงพอต่อความเสียหายต่อทรัพย์สิน, สุขภาพ, และโอกาสในการประกอบอาชีพที่สูญเสียไป
หลักการ "เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข" จึงควรจะถูกนำมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำ โดยรัฐควรยกระดับการจัดการให้เป็นไปตามแนวทางสากล ที่เน้นทั้งการแบ่งปันภาระด้านกายภาพและด้านการเงินอย่างเป็นธรรม โดยผู้ที่อาศัยในชุมชนที่ไม่โดนน้ำท่วมเนื่องจากการกั้นทางระบายน้ำ ควรมีส่วนร่วมในการจ่ายเงินชดเชยเข้ากองทุนผู้ประสบภัยในทุกๆ ครั้งที่เกิดอุทกภัยในลักษณะนี้ เพื่อให้สามารถใช้เงินในกองทุนมาบริหารจัดการช่วยเหลือคนที่อาศัยในเขตน้ำท่วมได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่
💡 ก้าวข้ามความขัดแย้ง: บทเรียนการ "เฉลี่ยทุกข์" จากต่างประเทศ
นานาชาติที่ประสบปัญหาอุทกภัยได้พัฒนามาตรการเพื่อจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ โดยใช้กฎหมายและกลไกทางการเงินเข้ามารองรับภาระที่ประชาชนต้องแบกรับ:
1. การแบ่งปันภาระด้านกายภาพ: กำหนดพื้นที่รับน้ำพร้อม "การชดเชยที่เป็นธรรม"
ประเทศที่พัฒนาแล้วมีการใช้ ผังการใช้ที่ดิน (Floodplain Zoning) ที่เข้มงวด โดยรัฐบาลจะกำหนดอย่างชัดเจนว่าพื้นที่ใดเป็น พื้นที่รับน้ำหลาก (Retention Area) และมีมาตรการการจำกัดการก่อสร้างในพื้นที่เหล่านั้น ไม่ใช่ใครอยากจะสร้างอะไรก็สร้างแค่ยื่นเอกสารขอก่อสร้างพอเป็นพิธีเท่านั้น
แนวทางการปฏิบัติ: รัฐบาลควรทำแผนผังน้ำที่ชัดเจน กำหนดพื้นที่ที่ต้องเป็น "แก้มลิงธรรมชาติ" หรือ "ทุ่งรับน้ำ" อย่างเป็นทางการ
หลักประกันความยุติธรรม: สิ่งสำคัญที่สุดคือ รัฐต้องชดเชย (Compensation) ให้กับเจ้าของที่ดินที่เสียสละพื้นที่ เช่น การซื้อที่ดินคืนตามราคาที่เป็นธรรม (Buyout Programs) หรือจ่ายค่าชดเชยในการจำกัดสิทธิ์การใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อให้การ "เสียสละ" เป็นไปอย่างสมัครใจและยุติธรรม ไม่ใช่การผลักภาระให้กับประชาชนเจ้าของที่ดินที่ถูกน้ำท่วม
2. การแบ่งปันภาระด้านการเงิน: ตัวอย่าง เช่น ภาษี/ค่าธรรมเนียมสำหรับผู้สร้างปัญหา เช่น ภาษีน้ำฝน หรือ Rain Tax ในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี และบางรัฐใน สหรัฐอเมริกา มีการใช้ ภาษีน้ำฝน หรือ ค่าธรรมเนียมการระบายน้ำ (Stormwater Fee) ที่คิดจาก:
*** พื้นที่ผิวที่ไม่สามารถซึมซับน้ำได้ (Impervious Surface) โดย
ผู้ที่มีพื้นที่คอนกรีต หลังคา หรือพื้นผิวแข็งที่ขวางการซึมซับน้ำมาก จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงกว่า ผู้ที่มีพื้นที่ผิวแข็งที่ขวางการซึมซับของน้ำน้อยกว่า
*** วัตถุประสงค์: เพื่อนำเงินที่จัดเก็บได้จากผู้ที่สร้างปัญหาให้เกิดน้ำหลาก มาใช้ในการปรับปรุงระบบระบายน้ำ การบำรุงรักษาคลอง และเป็นกองทุนเพื่อการบรรเทาภัยพิบัติให้กับผู้ประสบภัย
นี่คือรูปแบบการ "เฉลี่ยทุกข์" ที่เป็นธรรมทางเศรษฐศาสตร์ เพราะผู้ที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบระบายน้ำก็ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการแก้ไขและป้องกันร่วมกับชุมชน
💡ข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานรัฐ: ยกระดับสู่ธรรมาภิบาลน้ำท่วม
วิกฤตน้ำเน่าที่ตำบลหนองพยอม คือสัญญาณเตือนว่าการจัดการน้ำของไทยต้องก้าวข้ามจากการใช้เพียงมาตรการฉุกเฉินและการเยียวยาเล็กน้อย ไปสู่ ธรรมาภิบาลน้ำท่วม (Flood Governance) อย่างจริงจัง
บังคับใช้ผังน้ำและกฎหมายที่ดิน: รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขตทางน้ำและการใช้ที่ดินอย่างเด็ดขาดกับสิ่งปลูกสร้างที่ขวางทางน้ำไหล หากเกิดความเสียหายจากสิ่งปลูกสร้างใหม่ ต้องมีกลไกที่ให้ผู้ก่อสร้างรับผิดชอบ
ยุติธรรมในการชดเชย: ออกระเบียบหรือมาตรการพิเศษเพื่อชดเชยผู้ที่เสียสละพื้นที่รับน้ำอย่างเต็มที่ ให้สมเหตุสมผลกับความเสียหายในระยะยาว
พิจารณา "ค่าธรรมเนียมบรรเทาอุทกภัย": ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากพื้นที่ที่มีการพัฒนาและสร้างพื้นที่ผิวที่ไม่ซึมน้ำสูง (คล้าย Rain Tax) เพื่อสร้างกองทุนถาวรสำหรับลงทุนในระบบระบายน้ำ การบำรุงรักษา และการชดเชยที่ดินอย่างยั่งยืน
การแก้ไขปัญหาในระยะยาว ไม่ใช่เพียงการขุดคลองเพิ่ม แต่คือการ สร้างความยุติธรรมในการแบ่งปันภาระความเสี่ยง ให้ทุกคนในสังคมมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อความยั่งยืนของระบบนิเวศทางน้ำร่วมกัน คุณๆ คิดว่า วิธีการแบบนี้จะช่วยผู้ประสบภัยได้ดีกว่าเดิมหรือไม่ ร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้เลย เผื่อจะมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐเข้ามาพบและนำไปปฏิบัติกันต่อไป
โฆษณา