15 ต.ค. เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์

“โจโฉ (Cao Cao): ขุนนางที่ซื่อสัตย์หรือทรราชย์?”

บทนำ: ชายผู้มีสองภาพในประวัติศาสตร์
ในหน้าประวัติศาสตร์จีน มีไม่กี่คนที่ชื่อเสียงจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งเท่ากับ “โจโฉ” (曹操; Cáo Cāo) — ผู้ที่บางคนยกย่องว่าเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ นักปฏิรูป และนักการเมืองอัจฉริยะที่กอบกู้ราชวงศ์ฮั่นในยุคเสื่อมโทรม ขณะที่อีกฝ่ายกลับตราหน้าเขาว่าเป็น “ทรราชย์ผู้โหดเหี้ยม” ผู้หักหลังเจ้านายและแย่งอำนาจจากจักรพรรดิ
คำถามว่า “โจโฉเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์หรือทรราชย์กันแน่” จึงไม่ใช่เพียงการถกเถียงเชิงศีลธรรม หากแต่เป็นการสำรวจโลกทัศน์ของประวัติศาสตร์จีนระหว่าง “ความซื่อสัตย์ต่อราชสำนัก” กับ “ความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน” — ซึ่งสองสิ่งนี้ไม่ได้ตรงกันเสมอไป
บทที่ 1: กำเนิดแห่งยุคปั่นป่วน
โจโฉเกิดในปี ค.ศ. 155 (สมัยปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก) ที่เมืองเป่ยจู้ มณฑลอันฮุย ปู่ของเขาเป็นขันทีในราชสำนัก ส่วนบิดาเป็นขุนนางที่มีอำนาจพอสมควร เขาเติบโตในช่วงที่บ้านเมืองสั่นคลอนจากการคอร์รัปชันของขันทีและเจ้าขุนมูลนาย
ยุคสมัยนั้น คือ “ยุคปลายฮั่น” ที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามของราชสำนัก ขุนนางใหญ่กอบโกยผลประโยชน์ ชนชั้นสูงย่ำยีราษฎร ขณะที่โจโฉกลับมีบุคลิกเฉียบแหลม ฉลาดหลักแหลม และกล้าแสดงออก เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคนมีสติปัญญาไว ปากคม และไม่เกรงใจผู้มีอำนาจ
โจโฉเริ่มต้นอาชีพราชการด้วยตำแหน่งเล็ก ๆ แต่ก็สร้างชื่อเสียงจากความเด็ดขาดในการปราบโจรและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เขาเป็นคนที่ “เห็นกฎหมายสำคัญกว่าความสัมพันธ์” — ลักษณะนี้เองที่กลายเป็นรากฐานของภาพลักษณ์ “ทรราชย์” ในสายตาผู้คนภายหลัง
บทที่ 2: จากขุนนางสู่ผู้นำกองทัพ
เมื่อเกิดเหตุการณ์ “กบฏโพกผ้าเหลือง” (ค.ศ. 184) ที่นำโดยเตียวก๊ก (張角) บ้านเมืองวุ่นวาย โจโฉได้อาสาเข้าปราบ และเริ่มสร้างชื่อในฐานะแม่ทัพที่มีความสามารถ เขาไม่เพียงแต่มีฝีมือทางการทหาร แต่ยังมีความเข้าใจในจิตใจมนุษย์ รู้จักใช้คน และรู้จักเวลา
หลังจากกบฏถูกปราบ ความอ่อนแอของราชสำนักยิ่งชัดเจนขึ้น เหล่าขุนศึกเริ่มตั้งตนเป็นใหญ่ทั่วแผ่นดิน — รวมทั้ง “ตั๋งโต๊ะ” (董卓) ขุนนางที่เข้ายึดอำนาจจากฮ่องเต้และปกครองด้วยความโหดเหี้ยม
โจโฉเป็นหนึ่งในผู้กล้าที่ลุกขึ้นต่อต้านตั๋งโต๊ะ เขาเชื่อว่าตนกำลัง “กอบกู้ราชวงศ์ฮั่น” การกระทำนี้สะท้อนถึงความภักดีในช่วงแรก แต่โชคชะตาและสถานการณ์ทางการเมืองได้บีบให้เขากลายเป็นผู้ถืออำนาจเองในที่สุด
บทที่ 3: “ข้าทำเพื่อแผ่นดิน” หรือ “ข้าทำเพื่อตนเอง”?
หลังจากตั๋งโต๊ะตาย ประเทศจีนเข้าสู่ภาวะ “ยุคสามก๊ก” ที่ขุนศึกแต่ละฝ่ายช่วงชิงอำนาจ โจโฉรวบรวมกำลังในแถบภาคเหนือ สร้างฐานอำนาจแข็งแกร่งและขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากขุนศึกอื่นคือ “แนวคิดทางการเมือง” — โจโฉไม่ได้เพียงแค่สู้รบเพื่ออำนาจ แต่เขามีเป้าหมายชัดเจนในการ “ฟื้นฟูความสงบและความมั่นคงของแผ่นดิน”
เขาเป็นคนแรก ๆ ที่ประกาศนโยบาย “屯田制 (หมู่บ้านทหารเกษตร)” ให้ทหารปลูกข้าวและผลิตอาหารเอง แก้ปัญหาการขาดแคลนเสบียงในยุคสงคราม ถือเป็นการปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง โจโฉก็บังคับใช้กฎหมายอย่างโหดเหี้ยม — เขาสั่งประหารคนที่สงสัยว่าคิดกบฏโดยไม่ลังเล และมักกำจัดศัตรูทางการเมืองอย่างไร้ความปรานี ผู้คนจำนวนมากจึงมองว่า “เขาเป็นปีศาจผู้กระหายอำนาจ”
บทที่ 4: โจโฉในสายตาวรรณกรรมสามก๊ก
เมื่อ “หลอกว้านจง” เขียน สามก๊ก (三国演义) ในสมัยราชวงศ์หมิง ภาพของโจโฉที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็น “ตัวร้าย” อย่างชัดเจน เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของความเจ้าเล่ห์ โหดเหี้ยม และอำมหิต
บทร้อยกรองตอนหนึ่งที่โด่งดังที่สุดคือ
“宁教我负天下人,休教天下人负我”
(ข้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนทั้งโลกทรยศต่อข้า)
ประโยคนี้กลายเป็น “ตราประทับแห่งความชั่วร้าย” ของโจโฉตลอดพันปี แต่หากพิจารณาเชิงวรรณศิลป์ — ประโยคนี้ไม่ได้มาจากเอกสารประวัติศาสตร์จริง หากแต่เป็นการตีความของหลอกว้านจงเพื่อสร้างความแตกต่างกับเล่าปี่ (刘备) ผู้เป็น “วีรบุรุษแห่งคุณธรรม”
วรรณกรรม สามก๊ก จึงเป็น “สนามแห่งคุณธรรมกับอำนาจ” — เล่าปี่เป็นตัวแทนแห่ง “เต๋าและคุณธรรม” ส่วนโจโฉคือ “อำนาจและปัญญาแบบโลกีย์” ผลคือ โจโฉถูกทำให้กลายเป็นทรราชย์ เพื่อเน้นความดีของฝ่ายตรงข้าม
บทที่ 5: โจโฉในสายตาประวัติศาสตร์จริง
หากย้อนกลับไปดูเอกสารจริง เช่น สามก๊กจื้อ (三国志) ของ “เฉินโซ่ว (陳壽)” เราจะพบว่า โจโฉถูกบันทึกไว้อย่างเป็นกลางกว่ามาก เฉินโซ่วยกย่องว่า “เขาเป็นคนมีสติปัญญา กล้าหาญ และมองการณ์ไกล”
โจโฉยังมีความสามารถด้านวรรณกรรมอย่างยิ่ง เขาเขียนบทกวีจำนวนมากซึ่งสะท้อนจิตใจของนักปกครองที่ห่วงแผ่นดิน บทกวี “观沧海 (ชมทะเล)” ของเขา แสดงถึงความทะเยอทะยานและความโดดเดี่ยวของผู้นำที่ต้องแบกโลกไว้บนบ่า
“东临碣石,以观沧海。水何澹澹,山岛竦峙。”
(ข้าแลไปยังทะเลใหญ่ คลื่นสาดซัด ภูเขายืนตระหง่านกลางผืนน้ำ...)
กวีเหล่านี้เผยให้เห็นว่า โจโฉไม่ได้เป็นเพียงแม่ทัพ แต่เป็นนักคิดและศิลปินที่เข้าใจความไม่เที่ยงของอำนาจ เขามีทั้งความแข็งแกร่งและความเปราะบางในจิตใจ
บทที่ 6: ความโหดเหี้ยมที่มาพร้อมกับเหตุผล
แม้โจโฉจะมีเจตนาดีในหลายด้าน แต่เขาก็ใช้ความรุนแรงโดยไม่ลังเลในสถานการณ์ที่เขาเห็นว่า “จำเป็น” เพื่อรักษาความมั่นคง เขาเคยสังหารหมู่ชาวเมืองที่สงสัยว่าทรยศ เช่น การสังหารครอบครัวของลูปู้ (吕布) และการประหารขุนนางฝ่ายตรงข้ามจำนวนมาก
นักประวัติศาสตร์บางคนมองว่า นี่คือ “เหตุผลของรัฐ” (raison d’état) — การกระทำที่อาจผิดศีลธรรมแต่จำเป็นเพื่อความอยู่รอดของประเทศ ในสายตาโจโฉ “แผ่นดินสำคัญกว่าคน”
นี่จึงเป็นรอยต่อระหว่าง “ขุนนางที่ซื่อสัตย์” กับ “ทรราชย์ที่จำเป็น” — สองคำที่อาจมีเส้นบาง ๆ คั่นไว้เท่านั้น
บทที่ 7: การปะทะของสองโลก — เล่าปี่กับโจโฉ
ใน สามก๊ก การเผชิญหน้าระหว่างเล่าปี่กับโจโฉคือแก่นของเรื่อง เล่าปี่ถูกวาดให้เป็น “ผู้มีคุณธรรม” ส่วนโจโฉคือ “อำนาจแบบปัญญาชน”
แต่ในแง่หนึ่ง ทั้งสองต่างก็มีสิ่งที่อีกฝ่ายขาด — เล่าปี่มีคุณธรรมแต่ขาดกลยุทธ์ ส่วนโจโฉมีสติปัญญาแต่ขาดศรัทธาในมนุษย์
จูเหลียง (ขงเบ้ง) เคยกล่าวถึงโจโฉในเชิงเคารพว่า “เขาคือบุรุษอันยากจะหาใครเทียบในแผ่นดิน” — ซึ่งสะท้อนว่า แม้ศัตรูยังยอมรับในความสามารถของเขา โจโฉจึงเป็น “อัจฉริยะที่คนกลัว” มากกว่า “ทรราชย์ผู้บ้าคลั่ง”
บทที่ 8: มรดกทางการเมืองและความคิด
หลังโจโฉตาย (ค.ศ. 220) บุตรชายของเขา “โจผี (曹丕)” สถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แห่งวุยก๊ก และยุติราชวงศ์ฮั่นอย่างเป็นทางการ — นั่นทำให้หลายคนมองว่า โจโฉคือผู้ปูทางสู่การล้มราชวงศ์
แต่ในอีกด้านหนึ่ง รัฐวุยที่เขาวางรากฐานไว้มีระบบบริหารจัดการมั่นคง มีเศรษฐกิจเข้มแข็ง และเป็นต้นแบบให้ราชวงศ์ต่อมาในยุคจิ้นและสุย–ถัง นั่นหมายความว่า “ทรราชย์คนนี้” ได้สร้างระบบที่นำไปสู่ความมั่นคงในภายหลัง
ในวรรณกรรมจีนยุคหลัง โจโฉจึงค่อย ๆ ได้รับการตีความใหม่ — จาก “คนชั่ว” กลายเป็น “รัฐบุรุษที่กล้าทำในสิ่งที่คนดีไม่กล้า”
บทที่ 9: การตีความในยุคใหม่
นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของจีน เช่น เหอซูเปิง (何蜀平) และลั่วกวนจง (ในมุมการวิเคราะห์วรรณกรรม) ต่างชี้ว่า การมองโจโฉเป็น “ทรราชย์” นั้นสะท้อนอุดมการณ์ยุคศักดินา ที่ยกย่องความซื่อสัตย์ต่อจักรพรรดิเป็นสูงสุด แต่ในโลกสมัยใหม่ การมองโจโฉในมิติ “นักปฏิรูปและผู้นำที่มีวิสัยทัศน์” กลับได้รับการยอมรับมากขึ้น
ในสาธารณรัฐประชาชนจีน โจโฉถูกมองว่าเป็น “ผู้นำทางยุทธศาสตร์” ผู้กล้าคิดกล้าทำ และเป็นตัวแทนของ “รัฐนิยม” ที่มีเหตุผลทางการเมืองเหนือศีลธรรมส่วนบุคคล
มีคำกล่าวหนึ่งในยุคใหม่ที่สะท้อนแนวคิดนี้ว่า
“โจโฉไม่ใช่คนดีในนิทาน แต่เป็นคนจำเป็นในประวัติศาสตร์”
บทที่ 10: บทสรุป — เส้นบาง ๆ ระหว่างวีรบุรุษกับทรราชย์
สุดท้ายแล้ว โจโฉคือบุคคลที่ไม่อาจจัดอยู่ในหมวดใดหมวดหนึ่งได้อย่างแน่นอน เขาคือ “คนจริง” ที่มีทั้งคุณธรรมและความโหดเหี้ยม มีความฝันเพื่อความสงบแต่ใช้วิธีแห่งสงคราม เขาเป็นทั้ง “ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน” และ “ทรราชย์ต่อผู้คน” ในเวลาเดียวกัน
หากมองจากปรัชญาจีน — “เต๋า” กล่าวถึงความสมดุลของหยินและหยาง โจโฉจึงอาจเป็นตัวแทนของ “หยางที่แรงกล้า” — พลังแห่งการกระทำที่ทำให้โลกหมุน แต่ก็ทำให้หลายชีวิตต้องดับสูญ
คำพูดที่เหมาะจะสรุปภาพของเขาที่สุดอาจไม่ใช่คำกล่าวในวรรณกรรม แต่เป็นบทร้อยกรองของเขาเอง ที่เขียนไว้ในบั้นปลายชีวิตว่า
“老骥伏枥,志在千里;烈士暮年,壮心不已。”
(แม้ม้าชราอยู่ในคอก ก็ยังคิดจะวิ่งพันลี้ / แม้วีรชนยามชรา ใจก็ยังไม่สิ้นไฟ)
ในบั้นปลายชีวิต โจโฉมิได้แสวงหาอำนาจอีกต่อไป แต่แสวงหาความเข้าใจว่า “สิ่งที่เขาทำทั้งหมดเพื่อใคร” — และบางที คำตอบนั้นอาจไม่ใช่เพื่อตนเอง หรือเพื่อฮ่องเต้ หากแต่เพื่อ “แผ่นดินที่เขารัก”
สรุปท้ายบท
โจโฉจึงเป็นตัวแทนของความจริงในประวัติศาสตร์ — โลกที่ความดีและความชั่วไม่อาจแยกจากกันอย่างชัดเจน เขาอาจเป็นทรราชย์ในสายตาของกวี แต่เป็นขุนนางผู้ภักดีในสายตาของผู้ปกครองที่เข้าใจโลก
“ประวัติศาสตร์อาจไม่ยุติธรรมกับโจโฉ แต่แผ่นดินจีนยังคงยืนอยู่ได้ ก็เพราะมีคนอย่างเขาเกิดขึ้นในยามวิกฤต”
โฆษณา