Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Introverted investor
•
ติดตาม
14 ต.ค. เวลา 07:17 • หนังสือ
บทสรุปบางส่วนจากหนังสือ “GROWTH LECTURE : ขุดหุ้นเติบโตได้ในเล่มเดียว” ‘วรรณกรรมแห่งโลกการลงทุน
⛅ตามทัศนะส่วนตัว คิดว่าคงไม่ได้พูดจาจนเกินเลยไปนัก ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้คือหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นที่บอกเล่าเรื่องราวการลงทุนส่วนตัว จะบอกว่ามันเป็นหนังสือ ‘How to’ ก็ได้ ที่เจนจัด ชัดเจนมากที่สุด เท่าที่ประสบการณ์การอ่านหนังสือหุ้นของผมในรอบหลายปีที่ผ่านมาจะพึงมี เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เสมือนการกุมมือเดิน จับมือทำ เหมาะกับนักลงทุนมือกลาง กล่าวคือเพิ่งเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นมาไม่นาน พอมีพื้นฐานเล็กน้อยจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากหนังสือเล่มนี้
...
ไม่ว่าคุณจะเรียกเขาว่า ‘เบส’ ‘กิตติศักดิ์’ หรือ ‘ลงทุนศาสตร์’ ก็ตาม เรื่องชื่อชั้นสำหรับคนในวงการตลาดหุ้นไทยเขาคงไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว (หรืออาจไม่จำเป็นต้องพิสูจน์) สำหรับคุณผู้อ่านที่กำลังมองหาหนังสือหุ้นสักเล่มหนึ่งที่เขียนโดยคนไทย อ่านง่าย ชัดเจน มีหลักการ ไม่เลื่อนลอย ประยุกต์ใช้ได้ ไม่โปรยคำสวยหรูที่ห่างไกลความจริง ผมแนะนำหนังสือเล่มนี้อย่างยิ่งครับ
คุณผู้อ่านจะได้มากกว่าแง่คิด (ซึ่งหนังสือหุ้นส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น) แต่เราจะได้หลักการ ขั้นตอน เพื่อนำไปพลิกแพลงให้เป็นท่วงท่าอันงดงามของปัจเจกชน อันแตกต่างหลากหลาย เป็นขั้น เป็นตอน ท่ามกลางโลกแห่งการลงทุนที่แสนพร่ามัว
.
🩷หนังสือเล่มนี้ช่วยขจัดความพร่ามัวเหล่านั้นได้มากพอสมควรทีเดียว ไม่เสียดายเงินและเวลาครับ
📌จากนี้ไปขอเชิญพบกับบทสรุปบางส่วนจากหนังสือ “GROWTH LECTURE : ขุดหุ้นเติบโตได้ในเล่มเดียว” ‘วรรณกรรมแห่งโลกการเงินที่กลั่นกรองจากประสบการณ์ลงทุนในหุ้นเติบโตเป็นเวลากว่าสิบปีเต็มของลงทุนศาสตร์’
.
📎(เนื้อหาบางส่วนในหนังสือที่มีการคำนวณเชิงตัวเลขยิบย่อย เดี๋ยวผมจะทำโพสต์แยกต่างหากหลังจากนี้ ซึ่งเน้นการคำนวณโดยเฉพาะ พร้อมแจกไฟล์ Excel ใส่สูตรคำนวณล้อเรียงไปกับหนังสืออีกครั้ง เพื่อให้คุณผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่ายๆ และนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีนะครับ)
🟢นิยามของหุ้นเติบโต : ให้ความสำคัญกับธุรกิจ ลงลึกกับการดำเนินกิจการ (Scuttlebutt) ใส่ใจสินค้า/บริการของบริษัท เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นของบริษัทย่อมมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้นเช่นกัน (Philip Fisher, 1958)
.
🟢นิยามของการลงทุน : การดำเนินธุรกิจ มีมุมมองระยะยาว แสวงหาบริษัทที่เปรียบเสมือน ‘เครื่องจักรผลิตเงินสด’ ผลิตกระแสเงินสดได้มากขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง มีศักยภาพในการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิ หากพื้นฐานทางธุรกิจแข็งแกร่งเราก็ไม่จำเป็นต้องซื้อๆขายๆหุ้นบ่อยจนเกินไป
.
🟢ซื้อหุ้นของธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคายุติธรรม ดีกว่าซื้อธุรกิจธรรมดาๆ ในราคาถูก มองหาหุ้นที่มีพื้นฐานเชิงคุณภาพดี และมีราคาเชิงปริมาณถูก (Warren Buffett, 1989)
.
🟢‘หุ้นเติบโต’ คือหุ้นที่มีแนวทางการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิอย่างเด่นชัด มักได้รับความนิยมสูงจากหมู่นักลงทุน และมีราคาแพงเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินทั่วไป อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตดีหรือบริษัทมีความโดดเด่นบางอย่างซึ่งสร้างการเติบโตได้ในระดับสูง มีสินค้า/บริการโด่งดังเป็นที่นิยมของผู้บริโภค มีแนวโน้มขยายตลาดได้อีกมากในอนาคต ถึงแม้เราจะเข้าซื้อหุ้นมาในราคาแพง แต่ในระยะยาวหุ้นเติบโตจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างคุ้มค่า (เมื่อประเมินมูลค่าได้อย่างเหมาะสม)
.
🟢‘หุ้นเติบโต’ คือหุ้นที่มีรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง สิ่งที่ต้องสนใจคือการเติบโตของรายได้และกำไร นั่นคือการทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อนาคตที่มีแบบแผนบางอย่าง ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับเฉลี่ยต่อปีมีค่าเท่ากับอัตราการเติบโตของกำไรบริษัท แถมยังมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลต่างหากอีกด้วย ให้ความสำคัญกับผลตอบแทนในอนาคตมากกว่าผลตอบแทนปัจจุบันอันคาดเดาและควบคุมได้ยาก
.
🟢เราจะสนใจหุ้นเติบโต เมื่อหุ้นเติบโตได้ตามความคาดหวังของเราเท่านั้น ไม่ใช่ ‘ตลอดไป’ เราสามารถลงทุนหุ้นเติบโตภายในช่วงเวลาที่กำหนดได้ ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นยาวเสมอไป ประเด็นหลักของการเติบโตไม่ใช่เวลา แต่คือความสามารถในการเติบโตของกิจการ
🟢หลักการลงทุนในหุ้นเติบโต
.
☑️การคำนวณอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังไม่จำเป็นต้องใช้สมการที่ซับซ้อน คุณอาจใช้ตัวเลขอ้างอิงจากแผนเกษียณหรือเป้าหมายทางการเงินส่วนตัวของคุณเอง สุดท้ายสิ่งต้องทำคือหาหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยทบต้นให้สูงกว่าตัวเลขผลตอบแทนที่คาดหวังของตัวคุณเองให้ได้
...
☑️ควรมีตัวเลขอัตราผลตอบแทนคาดหวังของตนเองให้เบ็ดเสร็จตั้งแต่เริ่มต้นลงทุน (จากเป้าหมายทางการเงินส่วนตัวนั่นแหล่ะ ไม่ต้องไปคิดอะไรให้ซับซ้อน) แล้วคุณจะทำงานง่ายขึ้นมาก
...
☑️ซื้อหุ้นที่ราคาไม่แพงตั้งแต่ต้น อาจยอมซื้อหุ้นแพงได้บ้าง หากคิดจะถือครองยาวๆ หรือหุ้นนั้นมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงมาก ก็อาจคุ้มค่ากว่าการไม่ได้ซื้อหุ้นเลย
...
☑️หากคุณเริ่มมีประสบการณ์การลงทุนในหุ้นจนเชี่ยวชาญระดับหนึ่งแล้ว ควรศึกษาเรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นโดยละเอียดให้มากที่สุด สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนในหุ้นเติบโตอย่างมาก
...
☑️หุ้นเติบโตส่วนใหญ่จ่ายเงินปันผลน้อย หรือไม่จ่ายเลย และ P/E สูง ต่อให้บริษัทไม่จ่ายเงินปันผลแต่ก็อย่าลืมว่าเงินก้อนนั้นก็จะมีสถานะเป็นกำไรสะสมเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจนั่นแหล่ะ เมื่อกำไรในอนาคตสูงขึ้น ผลตอบแทนการลงทุนในอนาคตของเราก็สูงขึ้นตามไปด้วย แถมประหยัดภาษีเงินปันผลอีกต่างหาก
🟢The 5 Factor Model of PE (หลักการกำหนดอัตราส่วน P/E ที่เหมาะสม)
.
☑️อัตราส่วน P/E เกิดจากปัจจัย 3 ส่วนหลัก
.
☑️ปัจจัยภายใน: แนวโน้มในอดีตของกิจการ คุณภาพพื้นฐานของกิจการ และแนวโน้มในอนาคตของกิจการคือส่วนหลักในการกำหนด P/E ที่เหมาะสม
...
🔸แนวโน้มในอดีตนั้นศึกษาหาข้อมูลง่ายที่สุด เพ่งความสนใจไปที่รายได้และกำไรสุทธิ หากผันผวนน้อยและเติบโตขึ้นตลอดทางยิ่งสมควรซื้อขายกันใน P/E สูง ลองย้อนดูงบการเงินย้อนหลังสัก 5 ปี เป็นกรอบเวลาที่น่าจะสะท้อนพื้นฐานปัจจุบันมากที่สุด
เหมาะกับกิจการที่มีแนวโน้มในอนาคตใกล้เคียงกับอดีต และพื้นฐานปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักจากอดีต ตลาดมักสะท้อนพื้นฐานที่เหมาะสมในระยะยาวไปแล้ว ควรมองภาพเฉลี่ยระยะยาว หลีกเลี่ยงการหยิบใช้ P/E ในช่วงที่กิจการหรือตลาดหุ้นอยู่ในภาวะผิดปกติ (ข้อมูล P/E ย้อนหลังบริษัทในตลาดหุ้นทั่วโลก:
https://companiesmarketcap.com/
)
.
🔸คุณภาพพื้นฐาน คือความสามารถในการทำกำไร การสร้างกระแสเงินสด และสถานะทางการเงินอันแข็งแกร่ง มุ่งเน้นเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เริ่มต้นจากการศึกษาค่าเฉลี่ย P/E ของอุตสาหกรรม เพื่อนำมาปรับเพิ่มลดตามคุณภาพของบริษัท เราสามารถเพิ่ม P/E ไปตามความแข็งแกร่งของกิจการได้ อาจบวกลบอยู่ในช่วง 0-25% ของค่าเฉลี่ย ลองนำไปเปรียบเทียบกับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ 10 อันดับแรกร่วมอุตสาหกรรมเดียวกันในตลาดหุ้น
การที่บริษัทมีอัตราส่วนทางการเงินสำคัญสูงโดดเด่นกว่าอุตสาหกรรม แสดงถึงความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย P/E ที่เหมาะสมก็ควรสูงกว่าค่าเฉลี่ย อาจศึกษาค่าเฉลี่ย P/E ของอุตสาหกรรมในระยะยาวแล้วนำมาปรับเพิ่มลดตามความเหมาะสมกับพื้นฐานกิจการ
.
🔸แนวโน้มในอนาคตของกิจการ คือการเติบโตของกำไรซึ่งสำคัญที่สุด หากจะประเมิน P/E ที่เหมาะสมด้วยวิธี ‘PEG’ (P/E = %G) ซึ่งมีแนวคิดว่า P/E จะเท่ากับอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยทบต้นในอนาคต ควรใช้การคาดการณ์ประมาณ 3-5 ปี
.
🔸สุดท้ายอาจคำนวณง่ายๆด้วยการนำ P/E ที่เหมาะสมที่ได้จากการวิเคราะห์ทั้ง 3 วิธี (อดีต พื้นฐาน อนาคต) มาถัวเฉลี่ยตามความเหมาะสม เช่น หากเราคิดว่าเรื่องพื้นฐานกิจการนั้นสำคัญที่สุด ก็ให้น้ำหนักตัวเลขดังกล่าวมากที่สุดสำหรับการประเมินและถัวเฉลี่ย P/E ที่เหมาะสม
☑️ปัจจัยแวดล้อม: สภาพอุตสาหกรรม คือส่วนเสริมในการกำหนด P/E ที่เหมาะสม
...
🔸โดยทั่วไป P/E ของบริษัทจะมีแนวโน้มใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม หากเราไม่มีตัวเลขในใจก็สามารถใช้ค่าเฉลี่ย P/E อุตสาหกรรมมาตั้งต้น แล้วปรับเพิ่มลดไปตามความแข็งแกร่งของกิจการเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม หากคุณเชี่ยวชาญแล้วอาจประเมิน P/E ที่เหมาะสมจากโครงสร้างธุรกิจโดยไม่สนใจอุตสาหกรรมเลยก็ได้
.
🔸ปัจจัยภายนอก: สภาพตลาดหุ้น ส่งผลให้ P/E ที่เหมาะสมผันแปรไปตามสถานการณ์ เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการซื้อขายหุ้น
.
🔸เรื่องที่ควรศึกษาติดตามข้อมูลก็คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ว่าด้วยเรื่องผลตอบแทนที่คาดหวังของนักลงทุน, P/E ตลาดหุ้นบ่งชี้สภาวะอารมณ์ของนักลงทุน, ความมีประสิทธิภาพของตลาด, ความโปร่งใสของหุ้น การทุจริตต่างๆ
🟢‘ว่าด้วยเรื่องการเติบโต’
...
⚠️เชิงคุณภาพ: หุ้นจะโตเพราะอะไร? ต้องใส่ใจเป็นอันดับแรก โตหรือไม่? โตเพราะอะไร? โตจริงไหม? หากมั่นใจแล้วค่อยทำการบ้านต่อ ว่าส่งผลอย่างไรต่อกิจการ
...
☑️7 Ladders of Profit Growth: วิเคราะห์การเติบโตเชิงคุณภาพ มองหาการเติบโตไปทีละขั้นบันได จาก 1 ไป 7 เรียงตามลำดับความสำคัญ ยิ่งบันไดขั้นต้นๆดี การเติบโตดังกล่าวก็มีแนวโน้มมีคุณภาพมาก
.
🔸ราคา/ปริมาณ คือการเติบโตจากขอบเขตความชำนาญเดิม ซึ่งดีที่สุด คาดเดาง่าย จะเติบโตง่ายต่อเมื่อตลาดยังเติบโตสูง หรือส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทยังน้อย ต้องทำความเข้าใจเรื่องอุปสงค์และอุปทาน นั่นคือจำนวนความต้องการซื้อและขาย (ในภาพรวมของตลาด) การเปลี่ยนแปลงของปริมาณสินค้า/บริการในตลาดจะกลายมาเป็นการเติบโตของกิจการ รายได้ย่อมผันแปรไปตามจำนวนสินค้า/บริการที่ขายได้ หากอุปสงค์และอุปทานในตลาดเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลต่อรายได้ของกิจการทันที
.
▪️เมื่อความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการขายเท่าเดิม ผลลัพธ์คือทั้งราคาและปริมาณซื้อขายปรับตัวสูงขึ้น
.
▪️เมื่อความต้องการซื้อลดลง ขณะที่ความต้องการขายเท่าเดิม ผลลัพธ์คือทั้งราคาและปริมาณซื้อขายก็ลดลง
.
▪️เมื่อความต้องการซื้อเท่าเดิม ขณะที่ความต้องการขายเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์คือราคาซื้อขายลดลง แต่ปริมาณซื้อขายปรับตัวสูงขึ้น
.
▪️เมื่อความต้องการซื้อเท่าเดิม ขณะที่ความต้องการขายลดลง ผลลัพธ์คือราคาซื้อขายเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณซื้อขายลดลง
.
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการเติบโตโดยตรง หน้าที่ของนักลงทุนคือมองหาโอกาส/ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ราคาหรือปริมาณเพิ่มสูงขึ้น หากลงทุนในประเทศกำลังพัฒนานั้นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีจะเป็นพวกกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพ แต่หากเป็นประเทศที่ประชากรมีรายได้สูงนั้นธุรกิจที่เติบโตดีมักเป็นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและธุรกิจบริการต่างๆ เราสามารถจับภาพใหญ่ของประเทศเพื่อหาโอกาสลงทุนได้
.
ธุรกิจที่อยู่ในประเทศที่มีจำนวนประชากรกำลังเพิ่มขึ้นและมีค่าเฉลี่ยอายุน้อย ย่อมมีแนวโน้มการเติบโตของรายได้ดีกว่า เมื่อเริ่มต้นศึกษาธุรกิจใด คำถามแรกที่ต้องหาคำตอบคือ ‘ราคา’ และ ‘ปริมาณ’ ของธุรกิจนี้คืออะไร ค่อยมาคิดต่อว่า ราคาสินค้า/บริการของกิจการนี้จะโตไหม? มันเพิ่ม คงที่ หรือลด กระจายเป็น 3 กรณีแล้วค่อยมาหาแนวโน้มต่อ ธุรกิจที่มีแนวโน้มราคาและปริมาณเติบโตจะเป็นธุรกิจที่ดี
.
ราคาเพิ่ม/ปริมาณเพิ่ม: ดีมาก!!! ขายได้มากขึ้น ขายได้แพงขึ้น ในเวลาเดียวกัน รายได้จะเติบโตทวีคูณ ธุรกิจมักอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตดี หรือมีความต้องการซื้อแข็งแรงมาก
.
ราคาเพิ่ม/ปริมาณคงที่: ดี!! มักเป็นธุรกิจที่มีความจุ (Capacity) จำกัด หากอยากขยายธุรกิจก็ต้องใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลานาน วิเคราะห์ต่อว่าหากขยายกำลังการผลิตจะมีแนวโน้มอย่างไร? ทั้งในแง่รายได้และค่าใช้จ่าย
.
ราคาคงที่/ปริมาณเพิ่ม: ดี!! ขายได้มากขึ้น แต่ขึ้นราคาไม่ได้ เพราะผู้บริโภคอ่อนไหวต่อราคา เน้นขายเยอะ แล้วค่อยปรับราคาขึ้นช้าๆตามสภาพเศรษฐกิจ
🔸สินค้า/ตลาด คือการเติบโตจากขอบเขตความชำนาญใหม่ บริษัทอาจขายสินค้าใหม่ในตลาดเดิม หรือขายสินค้าเดิมในตลาดใหม่ สิ่งแรกที่เราต้องคิดคือเขาจะทำสำเร็จไหม? ไม่ใช่จะโตเท่าไหร่
.
▪️สินค้าใหม่ในตลาดเดิม: เราจะเน้นวิเคราะห์ตัวสินค้า ก่อนอื่นต้องเข้าใจสินค้าเดิม ตลาด ลูกค้า คู่ค้า คู่แข่ง ของบริษัทอย่างลึกซึ้งก่อน แล้วลองนำสิ่งที่บริษัทบอกเราเรื่องสินค้าใหม่มาเชื่อมโยงกับตลาดจริง มองดูว่ามีโอกาสแค่ไหนที่สินค้าใหม่จะประสบความสำเร็จ?
.
เป็นสินค้าที่แก้ไขปัญหาให้ผู้บริโภคไหม?: ยิ่งเป็นปัญหาสำคัญต่อชีวิตมากเท่าไหร่ ลูกค้ายิ่งยอมจ่ายเงินซื้อมากขึ้นเท่านั้น
.
มีตลาดรองรับใหญ่พอไหม?: ตลาดต้องใหญ่เพียงพอ มีความต้องการซื้อชัดเจน
.
ราคาสินค้าแข่งขันได้ไหม?: ราคาต้องสัมพันธ์กับคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ มีอัตลักษณ์ ช่วยแก้ไขปัญหา หากไม่มีอะไรแข่งขันได้นั้นการตลาดและสงครามราคาจะกลายเป็นเรื่องสำคัญ
.
สินค้ามีอัตลักษณ์ชัดเจนไหม?: โดดเด่น แตกต่างจากตลาด หากตลาดสนใจก็มีโอกาสสูงที่จะมีความต้องการซื้อมาก เพราะไม่มีสิ่งอื่นมาทดแทนได้
.
สินค้าลอกเลียนแบบได้ง่ายไหม?: เป็นเรื่องของความสามารถในการกีดกันผู้เล่นรายใหม่
หากธุรกิจเดิมไม่แข็งแรงก็ควรวิเคราะห์สินค้าใหม่ไปเลย แต่บริษัทควรต้องแข็งแกร่งอยู่เดิมก่อนแล้ว ก่อนที่จะเลือกเปลี่ยนแปลงสินค้าเพื่อสร้างการเติบโต
🔸สินค้าเดิมในตลาดใหม่: ต้องใส่ใจสภาพตลาด ต้องศึกษาบริษัทใหม่ทั้งหมด เริ่มด้วยการวิเคราะห์ Business Model Canvas (BMC) (
https://www.timeconsulting.co.th/what-is-business-model
...)
.
▪️จุดเด่นสินค้า/บริการ (Value Proposition) มีคุณค่าอะไรต่อลูกค้า ต้องแก้ปัญหาบางอย่างในชีวิตได้ หากไม่มีข้อนี้ก็เตรียมล้มเหลวได้เลย
.
▪️กลุ่มลูกค้า (Customer Segments) เราต้องมองเห็นให้ชัดเจน แยกแยะจากความชอบหรือความสนใจเชิงปัจเจกหรือกลุ่มคนจะเหมาะสมกว่า
.
▪️ความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship) หากลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์สูง ย่อมขยายตลาดและประสบความสำเร็จได้ในตลาดใหม่
.
▪️ช่องทางการสื่อสารและการจำหน่าย (Channels) บริษัทจะไปเติบโตในตลาดใหม่อย่างไร ดูเรื่องการกระจายสินค้า พาร์ตเนอร์ ร้านค้าปลายทาง
.
▪️พันธมิตร (Key Partners) เมื่อบุกตลาดใหม่ พาร์ตเนอร์หลักนั้นบ่งชี้ความสำเร็จของกิจการ เพราะกิจการไม่มีความเชี่ยวชาญในตลาดใหม่มาก่อน
.
▪️กิจกรรมหลัก (Key Activities) กลยุทธ์ในการได้มาซึ่งรายได้ต้องทำอะไรบ้าง กิจกรรมนั้นง่ายหรือยากอย่างไร
.
▪️ทรัพยากรหลัก (Key Resources) อะไรคือสิ่งที่ทำให้บริษัทแข็งแกร่งและโดดเด่นในการเติบโต โดยเฉพาะความแตกต่างจากเจ้าตลาด เช่น แบรนด์ ความต้องการซื้อที่มีคุณภาพ ความสามารถในการผลิต
.
▪️โครงสร้างต้นทุน (Cost Structure) ต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขาย/บริหาร ดอกเบี้ยจ่าย ภาษี สำคัญที่สุดสำหรับการบุกตลาดใหม่คือค่าการตลาด
.
▪️กระแสรายได้ (Revenue Streams) รูปแบบการรับรู้รายได้ ลักษณะรายได้ที่ได้รับ
.
☑️ธุรกิจ/บริหาร คือการเติบโตจากขอบเขตความชำนาญใหม่ ความเสี่ยงสูง คือการเปลี่ยนธุรกิจ เปลี่ยนทีมบริหาร บริษัทไม่ควรกระจายธุรกิจไปหลายอุตสาหกรรมมากเกินไปและไม่ควรเปลี่ยนทีมบริหารบ่อยจนขาดเสถียรภาพ
🔸เมื่อบริษัทเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมใหม่: เราต้องมองหาความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเก่าเป็นอันดับแรก ว่ามีห่วงโซ่อุปทานใดเชื่อมโยงกันอยู่บ้าง อุตสาหกรรมใหม่แข่งขันกันดุเดือดไหม โดยใช้หลักการวิเคราะห์ ‘Five Forces Model’ เพื่อทำความเข้าใจพื้นฐานอุตสาหกรรมก่อน แล้วค่อยกลับมาดูเรื่อง 5 คำถามที่ทำให้สินค้าประสบความสำเร็จสำหรับสินค้าใหม่ และ ‘Business Model Canvas’ เพื่อดูแนวโน้มความสำเร็จในอุตสาหกรรมใหม่
...
☑️‘Five Forces Model’
.
🔸ภาวะแข่งขันในอุตสาหกรรม: ตลาดที่เหมาะกับการกระโดดเข้าไปแข่งขันมากที่สุดคือ ตลาดที่ลูกค้ารับรู้ความแตกต่างได้ผ่านการตลาด กลยุทธ์การทำธุรกิจมีผลสูง ยิ่งเก่งยิ่งแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดได้มาก มองให้ออกว่าบริษัทมีอะไรโดดเด่นพอจะอย่างส่วนแบ่งตลาดมาได้ โดยอาจศึกษา ‘Business Model Canvas’ ประกอบไปด้วย
.
🔸ภาวะคุกคามจากผู้แข่งขันรายใหม่: บริษัทมีต้นทุนอะไรที่เหนือกว่าผู้เล่นเดิม โดยเฉพาะเงินลงทุนต่างๆ ไปจนถึงต้นทุนการได้มาซึ่งส่วนแบ่งตลาด ค่าใช้จ่ายเหล่านี้มันกดดันกำไรและกระแสเงินสด มองให้ออกว่าบริษัทสามารถแบกรับภาระได้นานแค่ไหน
.
🔸ความสามารถในการต่อรองของคู่ค้า: ถ้าคู่ค้ามีอำนาจต่อรองมาก จะทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันต่ำ ตั้งกำไรได้ไม่สูง มักเกิดกับบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่าคู่ค้า มองให้ออกว่าบริษัทมีอำนาจต่อรองอะไรที่เหนือกว่าอุตสาหกรรมไหม สามารถตั้งราคาและสร้างกำไรได้คุ้มค่ากับเงินทุนหรือเปล่า
.
🔸ความสามารถในการต่อรองของลูกค้า: หากลูกค้าต่อรองได้ ธุรกิจจะไม่แข็งแรงโดยธรรมชาติ อัตรากำไรขั้นต้นต่ำ กำไรสุทธิต่ำ มีโอกาสทำกำไรได้เสมอตัวกับเงินลงทุน ยิ่งลูกค้ามีขนาดใหญ่กว่าบริษัท ยิ่งมีอำนาจต่อรองมาก การทำธุรกิจกับรายย่อย (B2C) จึงดีกว่า บริษัทมีอำนาจต่อรองสูง
.
🔸ความกดดันจากสินค้าทดแทน: หากบริษัทต้องการเข้าสู่ตลาดใหม่ ควรเลือกตลาดที่ปลอดภัย มีอายุขัยยาวนาน เมื่อกระโดดเข้าสู่ตลาดใหม่ก็แปลว่าบริษัทเองไม่มีความเชี่ยวชาญมากนัก มุมมองและความคาดหวังของผู้บริหารอาจผิดจากความเป็นจริงได้มาก
🔸การเปลี่ยนแปลงเชิงธุรกิจที่มักส่งผลมากคือการเปลี่ยนตัวผู้บริหารมืออาชีพ ที่มีระบบครอบครัวในองค์กรน้อย หากมีความเป็นครอบครัวสูง ผู้ถือหุ้นจะกระจุกตัวอยู่กับตระกูลเดิม การเปลี่ยนผู้บริหารมักไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กิจการที่พึ่งพาผู้บริหารมากเกินไปนั้นน่ากังวลกว่า ควรย้อนดูผลงานเก่าๆของผู้บริหาร สำคัญที่สุดควรรอดูผลประกอบการจริงเลยดีกว่า ไม่ต้องรีบร้อน
.
🔸การควบรวมกิจการ การเติบโตด้วยการซื้อกิจการมันยากที่จะคุ้มค่า หากบริษัทมุ่งเน้นมากเกินไปก็อาจหลุดจากความมุ่งมั่นในธุรกิจหลัก การซื้อกิจการที่ดีมักมาพร้อมจังหวะเวลาที่เหมาะสม มากกว่าความพยายาม
.
🔸เราต้องคิดให้ดีว่าประโยชน์ที่ได้รับจะเป็นไปตามที่ผู้บริหารบอกหรือไม่ หากคิดว่าเป็นไปได้ก็ต้องติดตามผลตัวเลขสำคัญต่อไปในอนาคต หากเราคิดแล้วว่าไม่สมเหตุสมผลด้วยตรรกะพื้นฐานก็ควรหลีกหนีไปให้ไกล
🔸บริษัทเอาเงินจากไหนมาควบรวมกิจการ?
.
▪️เงินสะสม: โดยปกติจะอ้างอิงต้นทุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี และโดยปกติผลตอบแทนจากการลงทุนมักเกินดอกเบี้ยจ่ายอยู่แล้ว การใช้เงินสดซื้อกิจการก็ค่อนข้างเป็นเรื่องดี
.
▪️เงินกู้ยืม: บริษัทควรกู้ตอนตนเองมีหนี้สินน้อยๆ และการใช้เงินกู้มาซื้อกิจการมักให้ความคุ้มค่าระดับปานกลาง
.
▪️เพิ่มทุน: ทำลายมูลค่าบริษัทมากที่สุด ต้นทุนสูงมาก มีความคาดหวังสูงจากนักลงทุน ค่าเสียโอกาสของเงินก้อนนี้มักตีความให้เท่ากับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นประมาณ 10-12% มักจะเป็นมุมมองแง่ลบมากกว่า
.
▪️การควบรวมกิจการไม่ใช่งานหลัก มันจะมีคุณค่าต่อเมื่อบริษัทที่ซื้อเข้ามานั้นสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือผสานพื้นฐานกับธุรกิจเดิมจนกลายเป็นจุดแข็ง หากซื้อมาแล้วได้แต่กระแสเงินสดอิสระก็ไม่ค่อยน่าสนใจ
🔸การลดค่าใช้จ่าย/ต้นทุนขาย ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะทำได้แค่ระดับเดียว กิจการจำเป็นต้องจ่ายเพื่อขับเคลื่อนกิจการ บริษัทที่หมกมุ่นกับการลดค่าใช้จ่ายมักติดหล่มสภาวะบริษัทไม่โตแล้ว
.
▪️อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate) : เป็นตัวเลขสำคัญในการศึกษาหุ้นกลุ่มโรงงานและกลุ่มที่มีต้นทุนคงที่สูง ยิ่งตัวเลขดังกล่าวสูงก็จะเกิดการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) และแสดงออกมาในอัตรากำไรขั้นต้น นี่คือคูเมืองอันแข็งแกร่งของธุรกิจผลิต (ในตลาดที่ลูกค้าอ่อนไหวต่อราคา) ส่วนใหญ่อัตราการใช้กำลังการผลิตจะเริ่มคุ้มทุนที่ 60% และแสดงความประหยัดจากขนาดออกมา แต่ในชีวิตจริงจะไม่ค่อยเห็นแตะ 80% เพราะบริษัทจะเริ่มขยายกำลังการผลิตต่อ
🔸กิจกรรมทางการเงิน หากบริษัทหมกมุ่นการเติบโตด้วยวิธีนี้มากเกินไปนั้นไม่ดี ผู้บริหารควรใส่ใจธุรกิจมากกว่า สิ่งเดียวที่รับได้และดีคือ การซื้อหุ้นคืน เราต้องมองความคุ้มค่าเป็นหลัก ผลตอบแทนจากการซื้อหุ้นคืนสูงกว่าต้นทุนของเงินทุนไหม เงินที่เอามาซื้อนั้นบริษัทเอามาจากไหน ถ้าเป็นเงินสดที่อยู่ในบริษัทอยู่แล้วแบบนี้มีโอกาสคุ้มค่าสูง
.
⚠️เวลาวิเคราะห์ว่าหุ้นใดมีแนวโน้มจะเติบโตบ้าง ก็สามารถไล่หัวข้อตามลำดับได้เลย จะทำให้เราเก็บประเด็นการเติบโตได้ครบถ้วนหลายแง่มุม การเติบโตจากการเพิ่มรายได้นั้นดีที่สุด มีเสถียรภาพ ยิ่งเติบโตจากความเชี่ยวชาญหลักของบริษัทหรือธุรกิจหลักมากแค่ไหนก็ยิ่งดี เป็นการเติบโตที่มีคุณค่า
🟢เชิงปริมาณ: หุ้นจะโตเท่าไร? หัวใจสำคัญคือ รายได้และกำไรสุทธิ เมื่อประเมินการเติบโตเชิงคุณภาพเสร็จแล้ว
...
☑️การประเมินรายได้กิจการ
.
🔸จากความเห็นผู้บริหาร: ใช้ตัวเลขการเติบโตจากเป้าหมายของผู้บริหารโดยตรงที่ปรากฎในวันประชุมผู้ถือหุ้น, OppDay, เอกสารบริษัท, ข่าวที่ผู้บริหารออกสื่อต่างๆ มันไม่ใช่เป้าหมายลอยๆ ผู้บริหารจะนำไปใช้ในองค์กรจริงๆ แต่บางบริษัทอาจเป็นเพียงลมปาก ต้องตรวจสอบโดยการดูข้อมูลย้อนหลังว่า สิ่งที่ผู้บริหารเคยพูดไว้ในอดีตเกี่ยวกับการเติบโตนั้นทำได้จริงหรือไม่ หากทำไม่ได้ มีเหตุผลรองรับเพียงพอไหม
.
🔸จากการเติบโตของตลาด: เป็นวิธีที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่มากในอุตสาหกรรมและเป็นผู้นำตลาด ส่วนบริษัทเล็กและมีส่วนแบ่งตลาดน้อยนั้นการใช้เป้าหมายจากผู้บริหารจะเหมาะสมกว่า การเลือกตัวเลขการเติบโตของตลาดมาใช้ต้องเฉพาะเจาะจงให้ลึกมากที่สุดว่ามันสะท้อนภาพธุรกิจนั้นๆได้จริง
.
🔸จากประเทศที่อุตสาหกรรมก้าวหน้ากว่า: คือการจินตนาการว่าธุรกิจที่เราสนใจจะเป็นอย่างไรในอนาคต ลองศึกษาธุรกิจนั้นๆในประเทศที่อุตสาหกรรมนั้นก้าวหน้ากว่า ปกติการเติบโตทางเศรษฐกิจขนาดเล็กไปขนาดใหญ่จะมีรูปแบบคล้ายๆกัน เพียงระวังพื้นฐานอันแตกต่างกัน เช่น สังคม การเมือง เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม มองให้ออกก่อนว่าความแตกต่างนั้นมีนัยสำคัญไหม ตัวอย่างที่หยิบยกมามันสมเหตุสมผลไหม
.
⚠️อนาคตที่มองเห็นในประเทศอื่นอาจไม่เกิดขึ้นกับประเทศเราก็ได้ หากมีเทรนด์ที่ใหญ่กว่าเข้ามาแทรก การใช้วิธีนี้ต้องมองภาพระยะยาวมากๆในอนาคต เหมาะกับการใช้วิเคราะห์ว่าบริษัทจะมีแนวโน้มเติบโตไปได้อีกเท่าไหร่จึงจะอิ่มตัว ขนาดตลาด ขนาดอุตสาหกรรมและรายได้กิจการมีโอกาสเติบโตอีกมากแค่ไหน เป็นเป้าหมายระยะยาวอย่างน้อย 5-10 ปี
🔸จากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม: มองธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ยังโตไม่เต็มที่และมีโอการเติบโตไปถึงค่าเฉลี่ยได้ หากมีบริษัทที่เป็นคู่เปรียบเทียบเหมาะสมต่อการใช้เป็นจุดอ้างอิงมากกว่าก็สามารถทำได้ คำถามสำคัญคือบริษัทที่สนใจจะเติบโตไปเทียบเท่าจุดอ้างอิงจริงหรือเปล่า ต้องระวังการไปหยิบหุ้นแย่ราคาถูกในอุตสาหกรรม แล้วหวังว่าวันหนึ่งมันจะโตไปเท่าหุ้นเก่งในอุตสาหกรรมได้
.
🔸จากผลประกอบการของบริษัทเอง: หากบริษัททำธุรกิจปกติไม่มีอะไรแปลกใหม่ ตัวเลขที่น่าเชื่อถือมากที่สุดคือผลประกอบการที่บริษัทเคยทำได้ในอดีตที่ผ่านมา บริษัทก็มักใช้ผลประกอบการในอดีตเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว เมื่อทำการตลาดแบบเดิม แบรนด์เดิม การทำธุรกิจเหมือนเดิม เช่น ค้าปลีก ร้านอาหาร ปล่อยกู้ อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า โรงพยาบาลที่กำลังขยายโรงพยาบาลใหม่
.
🔸จากสินทรัพย์หมุนเวียน: เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) คือเงินทุนระยะสั้นเพื่อดำเนินกิจการภายในบริษัท สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆก่อนที่รายได้จะเข้ามา คำนวณจากสินทรัพย์หมุนเวียนหักออกด้วยหนี้สินหมุนเวียน เราสามารถใช้คาดการณ์ยอดขายในอนาคตได้ หากบริษัทตั้งเป้าว่ายอดขายจะเติบโตมากก็ต้องสำรองเงินทุนหมุนเวียนไว้ให้เพียงพอ มันสะท้อนมุมมองผู้บริหารต่อยอดขายในอนาคต
.
สินค้าคงคลังเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในการทำนายอนาคต ตั้งเป้าจะโตมากก็ต้องเตรียมของไว้ขายมาก เหมาะกับการทำนายธุรกิจาขายสินค้าที่จับต้องได้ โดยเฉพาะกลุ่มรับจ้างผลิต ตัวเลขนี้ช่วยทำนายยอดขายในรอบบัญชีถัดไป
.
🔸จากสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน: สะท้อนเป้าหมายการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในอาคาร ที่ดิน และอุปกรณ์ สังเกตเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Capital Expenditures : CAPEX) เพื่อมองภาพการเติบโตในอนาคต เหมาะกับธุรกิจที่ใช้อาคาร ที่ดิน อุปกรณ์ เป็นปัจจัยหลักในการสร้างรายได้ ยอดขายจะสัมพันธ์กับสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เช่น โรงงาน โรงพยาบาล ร้านค้าปลีก โครงสร้างพื้นฐาน
.
🔸จากตัวเลขชี้วัดสำคัญของกิจการ: ทุกอุตสาหกรรม ทุกบริษัท มีตัวชี้วัดทางธุรกิจ (Key Factor) เราต้องทำความเข้าใจโครงสร้างธุรกิจและหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวชี้วัดกับรายได้ให้เจอ เราสามารถใช้การประเมินรายได้จากตัวชี้วัดควบคู่กับวิธีอื่นๆก่อนหน้า ต้องศึกษาให้ลึกว่าตัวชี้วัดสำคัญต่างๆเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอย่างไร บ่งชี้รายได้ในอนาคตและแม่นยำแค่ไหน
.
🔸จากตัวเลขทางเศรษฐกิจ: มีความแม่นยำน้อย เพราะคือภาพใหญ่ เราต้องศึกษาความสัมพันธ์ของตัวเลขนั้นกับรายได้ของบริษัทก่อนด้วยวิธีวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้น (Linear Regression) เหมาะกับบริษัทขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ ส่วนตัวเลขทางเศรษฐกิจก็เลือกตามลักษณะอุตสาหกรรม
.
🔸จากการเติบโตในอดีต: ไม่แม่นยำ เพราะทุกสิ่งมีขีดจำกัด ต้องเข้าใจว่าแต่ละธุรกิจมีวงจรชีวิต (Business Life Cycle) เป็นของตนเอง ตัวเลขการเติบโตในอดีตพอจะสะท้อนว่าผู้บริหารขับเคลื่อนธุรกิจไปในทิศทางใด หากเป้าผู้บริหาร ณ ปัจจุบันแตกต่างไปจากอดีตมาก ต้องตั้งคำถามว่าทำไม พื้นฐานใดในบริษัทที่เปลี่ยนไป เหมาะกับบริษัทที่อิ่มตัว หากเชื่อว่าบริษัทจะยังรักษาการเติบโตได้แบบเดิม หลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขการเติบโตในปีที่ไม่ปกติ มีสถานการณ์พิเศษอันทำให้ผลประกอบการผิดเพี้ยนไป
.
⚠️ไม่มีสูตรตายตัวว่าการประเมินรายได้วิธีไหนดีที่สุด ต้องวิเคราะห์เอาเองว่าวิธีการใดเหมาะกับหุ้นบริษัทนั้นๆมากที่สุด อาจมีวิธีนอกเหนือจากนี้อีกมากมาย แต่แค่เพียงที่กล่าวไปข้างต้นก็สามารถลงทุนและเอาชีวิตรอดอยู่ในตลาดหุ้นได้แล้ว
☑️การประเมินกำไรสุทธิกิจการ ผลลัพธ์สุดท้ายอาจจริงหรือเท็จก็ได้ เราต้องมองให้ออกว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญมากกว่าสูตรคำนวณคือ ตัวเลขที่นำมาใส่สมการมีความน่าเชื่อถืออย่างไร
...
🔸จากความเห็นผู้บริหาร: เขามีตัวเลขของกิจการทุกอย่างในมือ และพยายามทำให้สำเร็จนั่นแหล่ะ แต่เราเองที่ต้องย้อนกลับไปศึกษาพื้นฐานเชิงคุณภาพให้มากขึ้น แล้วตอบให้ได้ว่าเป็นไปได้ไหมที่กำไรจะโตตามที่ผู้บริหารบอก เริ่มจากดูเป้าหมายรายได้ หากน่าเชื่อถือ เป้าหมายกำไรสุทธิก็มีน้ำหนัก
.
🔸จากสูตรทางการเงิน: ไม่ค่อยเห็นด้วยมากนักกับวิธีนี้ เพราะเป็นข้อมูลในอดีต
.
▪️ROA: เหมาะกับบริษัทที่เน้นเติบโตจากสินทรัพย์เดิม กำไรที่หามาได้แต่ละปีจะทบกลายเป็นสินทรัพย์ในปีหน้า ทำให้อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์กลายเป็นตัวเลขการเติบโตนั่นเอง สามารถใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลังสัก 5 ปีของกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) และสินทรัพย์รวม เพื่อลดความผันผวนและสะท้อนภาพการเติบโตได้ดีขึ้น
.
▪️ROE: เหมาะกับบริษัทที่เน้นลงทุนในบริษัทอื่น เช่น บริษัทประกัน หรือเน้นควบรวมกิจการ มีมุมมองว่าการเติบโตมาจากกำไรสะสมใหม่คูณด้วยอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น อาจเลือกใช้ค่าเฉลี่ยตัวเลขย้อนหลังหลายๆปีมาคำนวณเพื่อความอนุรักษ์นิยม
.
▪️ROC: อัตราผลตอบแทนจากเงินทุน ใช้ประเมินศักยภาพของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนจากส่วนเงินทุนหลัก แนวคิดนี้มองว่าการเติบโตจะมาจากการลงทุนเพิ่ม ดังนั้นอัตราการเติบโตของกำไรจะขึ้นอยู่กับอัตราการลงทุนต่อ เหมาะกับบริษัทที่การเติบโตสัมพันธ์กับการลงทุนใหม่ รายได้มาจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและเงินทุนหมุนเวียน
...
☑️3 วิธีสุดท้ายที่แนะนำ มากกว่าวิธีด้านบน เพราะเวลาลงทุนจริงเราต้องติดตามทั้งรายได้และกำไร
.
🔸จากสมมติฐานอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ต้องประเมินรายได้ก่อน แล้วก็จับมาคูณกับ NPM ได้เลย แม้จะมีความละเอียดน้อย แต่ถ้ามั่นใจว่าตัวเลขนั้นสมเหตุสมผลก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน ส่วนตัวเลขก็หาได้จากหลากหลายที่มา เช่น เป้าหมายผู้บริหาร งบการเงินในอดีต ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ท้ายที่สุดคือต้องมีเหตุผลรองรับ เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ของบริษัท อาจเฉลี่ยตัวเลขโดยประมาณก็ได้ อย่าลืมว่านี่คือการประมาณการเท่านั้น
⚠️ติดตาม NPM อย่างใกล้ชิดเมื่องบการเงินออกมาใหม่ ดูว่ารายได้และ NPM เป็นไปตามสมมติฐานเราไหม เพื่อประเมินว่าระยะยาวผลประกอบการจะสัมพันธ์ไปกับสมมติฐานที่เราตั้งไว้
.
🔸จากบัญชีบริหาร: ดูที่การบริหารต้นทุนเป็นหลัก นั่นคือ ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) เพื่อประเมินกำไรสุทธิ
ต้นทุนคงที่ จะไม่ผันแปรไปตามการค้าขายหรือรายได้ แต่อัตราส่วนต้นทุนคงที่ต่อรายได้จะผันแปรเมื่อเกิดการประหยัดจากขนาด
ต้นทุนผันแปร จะผันแปรไปตามการค้าขายหรือรายได้ แต่อัตราส่วนต้นทุนผันแปรต่อรายได้จะคงที่
.
สิ่งสำคัญคือเราต้องไปวิเคราะห์จำแนกอย่างละเอียดว่าสิ่งใดคือต้นทุนคงที่หรือผันแปร เหมาะกับบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในช่วงลงทุนมาก หรือปริมาณการลงทุนไม่ได้มีนัยสำคัญ ตัวเลขจึงจะมีความน่าเชื่อถือ เหมาะกับบริษัทที่ต้นทุนคงที่เยอะและกำลังจะเกิดการประหยัดจากขนาดในอนาคต
อย่าลืมว่าทุกการประเมินมูลค่าในตลาดหุ้น “หากเราใส่ขยะเข้าไป ย่อมได้ขยะออกมา” หากใส่ตัวเลขที่น่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์การประเมินที่ได้ย่อมแม่นยำเท่านั้น
.
⚠️เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะคาดการณ์ตัวเลขทางการเงินได้อย่างแม่นยำ 100% เราทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ ‘ประมาณการ’ เท่านั้น ต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของตัวเลขอย่างรอบคอบ กระจายความเสี่ยงในการลงทุนและซื้อหุ้นที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย
🟢หลักการประเมิน ‘คุณภาพของการเติบโต’
...
☑️ยิ่งคิดจะถือครองหุ้นยาวนานมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพการเติบโตเท่านั้น ว่ากันต่อด้วยหลักการประเมินคุณภาพการเติบโต ‘2M 2S 2Q’
...
🔸วิเคราะห์การเติบโตของตลาด (Market Growth): ธุรกิจต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อกับการเติบโต (การเติบโตของรายได้ ลบกับ การเติบโตของขนาดตลาด เท่ากับ การเติบโตเทียบตลาด) การเติบโตที่ดีควรมีการเติบโตเมื่อเทียบกับตลาดแล้วเป็นบวก รายได้เติบโตมากกว่าการเติบโตของตลาด นั่นคือ บริษัทสามารถแย่งส่วนแบ่งจากตลาดมาได้
.
▪️มองหาอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นที่นิยม ดูดี มีอนาคต มองภาพออกว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้านั้นตลาดยังคงอยู่และเติบโตต่อไปได้
.
▪️หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง มีความเสี่ยงสินค้าทดแทนชัดเจน แม้การเติบโตเมื่อเทียบตลาดจะเป็นบวก แต่หากอยู่ในอุตสาหกรรมแย่ๆ ก็อาจไม่ใช่เรื่องดี
🔸วิเคราะห์ส่วนแบ่งตลาด (Market Share): ธุรกิจควรมีส่วนแบ่งตลาดเป็นแนวโน้มขาขึ้น ต้องทำความเข้าใจว่าหุ้นที่เราสนใจวางตัวอยู่ตรงไหนในตลาด ธุรกิจขนาดใหญ่มักมีการประหยัดจากขนาดเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่น
.
▪️ธุรกิจควรอยู่ในตลาดที่เติบโตต่อเนื่อง และอยู่ในสถานะที่สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในอนาคต ดีที่สุดคือบริษัทผู้นำตลาดที่มีเจ้าใหญ่ไม่มาก และแย่งส่วนแบ่งจากรายยิบย่อยเป็นหลัก ‘เป็นผู้นำตลาด ตลาดเติบโตดี ยังมีช่องว่างให้โตต่อนั่นเอง’
.
▪️สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ ตั้งคำถามว่าการเติบโตที่ว่า จะชะลอตัวลงเมื่อไหร่
🔸วิเคราะห์ความเชี่ยวชาญเฉพาะ (Specialty): บริษัทควรเติบโตจากความเชี่ยวชาญหลัก กิจกรรมหลัก มันมีคุณค่ามากกว่ากำไรอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก
.
🔸วิเคราะห์ความยั่งยืนระยะยาว (Sustainability): คือความสามารถในการแข่งขันระยะยาว มองหาอุตสาหกรรมที่มีระยะการเติบโตยาวนาน บริษัทมีภาพระยะยาวชัดเจน ไม่มีสินค้าทดแทนที่เป็นภัยคุกคาม การแข่งขันในอุตสาหกรรมไม่หนักเกินไป เราต้องมองหาทั้งอุตสาหกรรมที่ดีและบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ต้องตั้งคำถามเสมอว่า การเติบโตที่ได้มายั่งยืนในระยะยาวไหม
🔸วิเคราะห์คุณภาพของตัวเลข (Quality of Number):
.
▪️รายได้ควรเติบโตไปพร้อมกับกำไรสุทธิ เมื่อกำไรโต สิ่งที่ต้องดูต่อมาคือรายได้โตในทิศทางเดียวกันไหม รายได้ควรเติบโตจากงวดก่อนหน้า
.
▪️อัตรากำไรขั้นต้นควรสูงมากขึ้น ไม่ควรลดลง ตัวเลขนี้บ่งบอกการประหยัดจากขนาด ถ้าต้นทุนขายเป็นต้นทุนผันแปรทั้งหมดก็สามารถบอกความสามารถในการตั้งราคา
.
▪️อัตรากำไรสุทธิควรเพิ่มขึ้น ท่องไว้เสมอว่ากำไรเพิ่มง่ายกว่ารายได้
.
▪️กำไรสุทธิต้องพิจารณาว่าเติบโตตามคาดหมายไหม ใกล้เคียงการประมาณการหรือไม่ สูงกว่าผลตอบแทนคาดหวังของเราไหม
.
ต้องมองภาพใหญ่ประกอบด้วย หาเหตุผลว่าตัวเลขแต่ละตัวมีเงื่อนไขใดอยู่เบื้องหลัง มองให้ออกว่าตัวเลขแย่ๆคือปัญหาระยะสั้นหรือยาว
🔸วิเคราะห์ความน่าสงสัยของการเติบโต (Questionable Growth) บริษัทโปร่งใส ไม่มีข้อสงสัย หรือเปล่า งบการเงินแต่ละบรรทัดสอดคล้องกันและสอดคล้องไปกับเรื่องราวเชิงคุณภาพของกิจการด้วย รอให้หุ้นโตก่อนค่อยซื้อก็ได้ เห็นงบการเงินแสดงออกมาชัดเจนระดับหนึ่งก่อน เรายังมีเวลาซื้อหุ้นอีกมาก เรื่องราวโปร่งใส งบการเงินสะอาด หากมีอะไรน่าสงสัย ไม่มั่นใจ ก็ทิ้งหุ้นนั้นไปเถอะ
...
🟢หุ้นที่สมบูรณ์แบบนั้นไม่มี เราอาจค้นเจอหุ้นดีมาก ดีน้อย แต่ก็สามารถกระจายความเสี่ยงการจัดพอร์ตไปตามความเหมาะสมได้ หากเราไม่ชอบเปลี่ยนหุ้นบ่อยๆ การเลือกซื้อหุ้นที่กำไรเติบโตก็ช่วยทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนหุ้นบ่อย กำไรโต ราคาหุ้นก็โต เพียงแค่ติดตามกิจการไปเรื่อยๆ กินอิ่ม นอนหลับ การลงทุนมันเรียบง่ายเพียงเท่านี้
📌สิ่งสำคัญต่อการลงทุนในหุ้นเติบโตคือ ‘ความเชื่อ’
🟢สรุปหลักการลงทุนในหุ้นเติบโต
...
☑️ค้นหาหุ้นตามหลักการ ‘7 Ladders of Profit Growth’
.
☑️หาตัวเลขการเติบโตของกำไรสุทธิ
.
☑️เลือกหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิทบต้นระยะยาว สูงกว่าผลตอบแทนคาดหวังของตัวเราเอง
.
☑️ซื้อหุ้นที่ P/E ต่ำกว่า P/E เหมาะสม ตามหลักการ ‘The 5 Factor Model of PE’
.
☑️ติดตามผลการเติบโตของกำไรสุทธิ ตามหลักการ ‘2M 2S 2Q’
📍แล้วจะนำไฟล์ Excel พร้อมสูตรคำนวณต่างๆในหนังสือเล่มนี้มาฝากคุณผู้อ่านอีกครั้ง ฝากติดตามด้วยนะครับ
✴️ขอบคุณบางส่วนจากหนังสือ “GROWTH LECTURE : ขุดหุ้นเติบโตได้ในเล่มเดียว”
.
‘วรรณกรรมแห่งโลกการเงินที่กลั่นกรองจากประสบการณ์ลงทุนในหุ้นเติบโตเป็นเวลากว่าสิบปีเต็มของลงทุนศาสตร์’
🖋️ผู้เขียน : ลงทุนศาสตร์
📖สำนักพิมพ์ : 13357, พิมพ์ครั้งที่ 1, 2024
...
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊
หุ้น
การลงทุน
1 บันทึก
2
2
1
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย