เมื่อวาน เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ยักษ์เหล็กไทย พร้อมรบ CBAM มั่นใจรักษาตลาด 1.6 หมื่นล้าน

  • ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของไทยเตรียมพร้อมรับมือมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป (EU) โดยปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
  • เป้าหมายหลักคือเพื่อรักษาตลาดส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าไปยัง EU ซึ่งมีมูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาทในปี 2567
  • มาตรการ CBAM จะเริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2569 โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนกับสินค้านำเข้า ซึ่งอาจกระทบผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กที่ปรับตัวช้า
  • การปรับตัวลดคาร์บอนถูกมองว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายการส่งออกสินค้าคาร์บอนต่ำในระยะยาว
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 หรือนับถอยหลังอีกไม่ถึง 3 เดือนนับจากนี้ นโยบาย CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือ “กลไกปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน” ของสหภาพยุโรป (EU/อียู) จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ โดยจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนกับสินค้านำเข้าที่ปล่อยคาร์บอนสูงจากประเทศนอกอียู เพื่อให้มีความเท่าเทียมกับสินค้าที่ผลิตในอียู
โดยสินค้านำร่องที่อยู่ภายใต้ CBAM มี 6 รายการ ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า, อะลูมิเนียม, ซีเมนต์, ปุ๋ย, ไฟฟ้า และไฮโดรเจน และในอนาคตจะมีการขยายกลุ่มสินค้าเพิ่มเติม เช่น เคมีภัณฑ์, กระดาษ, สิ่งทอ และอาหารแปรรูป
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และอดีตประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ณ เวลานี้บริษัทผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่หลายโรงงานที่มีการส่งออกสินค้าเหล็กและเหล็กกล้าไปตลาดอียู ได้มีการเตรียมพร้อมรองรับกับมาตรการ CBAM เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดคาร์บอน ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสการส่งออกไปอียูได้มากขึ้นเมื่อมาตรการมีผลบังคับใช้
“เรื่อง CBAM นี้โรงงานเหล็กชั้นนำของไทย และชั้นนำของโลกที่ตั้งอยู่ในไทยหลายโรงได้เดินหน้าในการปรับลดคาร์บอนลงในกระบวนการผลิต รวมถึงบริษัทเหล็กที่เป็นซัพพลายเหล็กให้กับค่ายรถยนต์ก็ต้องปรับลดคาร์บอนลง เพื่อรับมือกับมาตรการ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันรถยนต์ส่งออกของไทย ที่เราห่วงคือโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กที่ส่งออกไปอียูจะปรับตัวช้า ซึ่งภาครัฐอาจต้องมีมาตรการจูงใจ”
นอกจากนี้หากไทยสามารถเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ได้ และมีการยกเลิกข้อจำกัดเรื่องโควตานำเข้าต่าง ๆ ก็จะยิ่งเป็นโอกาสที่เราจะส่งออกสินค้าไทยในภาพรวมไปตลาดอียูได้มากขึ้น(ปัจจุบันอียูเก็บภาษีนำเข้าเหล็กไทย 25%)
จากการตรวจสอบข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร ในปี 2567 ไทยมีการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าไปตลาดอียู มูลค่า 16,093 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน -0.8% ส่วนช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ส่งออกมูลค่า 12,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ในวิธีการเก็บค่าธรรมเนียม CBAM (ซื้อใบรับรอง CBAM credits) จะเก็บตามปริมาณคาร์บอนจริงที่ปล่อยออกมา โดยผู้นำเข้าสินค้าในอียูต้องซื้อใบรับรอง CBAM ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้า ซึ่งราคาของใบรับรองอ้างอิงจากราคาคาร์บอนใน EU ETS (ตลาดซื้อขายสิทธิการปล่อยคาร์บอนในอียู) อย่างไรก็ดี หากประเทศผู้ส่งออกมีระบบเก็บภาษีคาร์บอนของตนเองอยู่แล้ว ผู้นำเข้าสามารถขอลดหย่อนตามมูลค่าที่จ่ายไปแล้วได้
สำหรับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ต่อประเทศไทย
ด้านบวก จะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมไทยให้พัฒนาเทคโนโลยีสะอาด และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ลดคาร์บอน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกในระยะยาว และสร้างโอกาสทางการค้าสำหรับสินค้าคาร์บอนต่ำ
ส่วนผลกระทบด้านลบ จะมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น จากการต้องลงทุนในเทคโนโลยีลดคาร์บอน หรือระบบรายงานการปล่อยคาร์บอน หากไม่สามารถแสดงข้อมูลได้ อาจเสียเปรียบคู่แข่ง หรือถูกเก็บภาษีสูงขึ้น
โฆษณา