เมื่อวาน เวลา 01:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สรุปไทม์ไลน์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ปี 2568 ภาษี-แร่หายาก-TikTok เดือด

● สงครามการค้าปะทุขึ้นอีกครั้งในปี 2568 หลังโดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้ารับตำแหน่ง โดยสหรัฐฯ เริ่มต้นด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจีน ซึ่งนำไปสู่การตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีและจำกัดการส่งออกแร่หายากจากจีน
● ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นตลอดทั้งปีผ่านการขึ้นภาษีตอบโต้กันหลายระลอก เช่น "ภาษีวันปลดแอก" และการขู่ขึ้นภาษีถึง 100% ซึ่งขยายวงกว้างไปสู่สงครามเทคโนโลยี การควบคุมซอฟต์แวร์ และการขึ้นบัญชีดำบริษัท
● ประเด็นสำคัญในการเผชิญหน้าครอบคลุมถึงการเจรจาเพื่อควบคุมกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ และการที่จีนใช้การจำกัดการส่งออกแร่หายากเป็นเครื่องมือต่อรองทางเศรษฐกิจ แม้จะมีความพยายามเจรจาหยุดยิงแต่ก็ไม่เป็นผลในระยะยาว
ตลอดทั้งปี 2568 โลกได้เห็นการฟื้นตัวของ “สงครามการค้า” ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ สหรัฐอเมริกาและจีนอีกครั้ง โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งกลับมารับตำแหน่งเป็นผู้นำของประเทศเป็นคนขับเคลื่อน เขาเริ่มต้นด้วยการโจมตีเศรษฐกิจจีนตั้งแต่วันแรกในตำแหน่ง โดยตั้งเป้าเพื่อ “ลดการขาดดุลทางการค้า” และ “ฟื้นฟูภาคการผลิตของอเมริกา” พร้อมกับประกาศจะจัดการกับปัญหาการค้ายาเฟนทานิลจากจีน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นด้านความมั่นคงที่ทรัมป์ใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองทางเศรษฐกิจ
ในเดือนมกราคมเพียงวันเดียวหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษี 10% จากสินค้านำเข้าจากจีน โดยอ้างว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด ก่อนที่ในเดือนกุมภาพันธ์ จีนจะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสำหรับถ่านหิน แอลเอ็นจี และน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ พร้อมทั้งจำกัดการส่งออกโลหะสำคัญ 5 ชนิด ที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและการป้องกันประเทศ ซึ่งทำให้สถานการณ์การค้าระหว่างทั้งสองประเทศเริ่มตึงเครียดขึ้นตั้งแต่ต้นปี
ในเดือนมีนาคม ทรัมป์ได้เพิ่มแรงกดดันอีกครั้ง ด้วยการปรับเพิ่มภาษีสินค้าจีนที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลเป็นสองเท่า ส่งผลให้จีนต้องตอบโต้ด้วยการห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐหลายรายการ และมีการจำกัดการลงทุนของบริษัทอเมริกันในจีน ซึ่งการตอบโต้กันเช่นนี้สร้างความวิตกกังวลไปทั่วโลกเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานและตลาดสินค้าเกษตรอย่างมาก
เดือนเมษายนถือเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก เมื่อทรัมป์ประกาศ “Liberation Day Tariffs” หรือชุดภาษีปลดแอก ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีจากสินค้าทั่วโลก โดยเฉพาะสินค้าจีนที่ถูกเก็บภาษีถึง 34% และยังยุติสิทธิ์การนำเข้าสินค้าราคาต่ำแบบปลอดภาษีจากจีนและฮ่องกง
สำหรับจีนเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย โดยตอบโต้ด้วยการตั้งภาษีตอบโต้สูงถึง 34% และควบคุมการส่งออกวัตถุดิบหายากที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก สถานการณ์ตึงเครียดนี้ทำให้จีนตัดสินใจห้ามนำเข้าภาพยนตร์จากฮอลลีวูด พร้อมกับขึ้นบัญชีดำบริษัทอเมริกันหลายแห่ง และยังเตือนประชาชนไม่ให้เดินทางไปยังสหรัฐฯ
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายเริ่มพูดคุยกันในเดือนพฤษภาคม และตกลงกันที่จะหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน โดยสหรัฐฯ ลดภาษีสินค้าจีนจาก 145% ลงมาเหลือ 30% ส่วนจีนก็ตกลงลดลงเหลือ 10% แต่ความสงบนี้กลับมีอายุสั้น เพราะในปลายเดือนพฤษภาคม สหรัฐฯ เริ่มเพิกถอนวีซ่านักศึกษาจีนจำนวนมาก และยังสั่งห้ามส่งออกอุปกรณ์เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ให้จีน ทำให้ข้อตกลงที่มีอยู่ดูเหมือนไร้ความหมาย
กลางปีมีสัญญาณดีเพียงชั่วคราว ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกลับมาเจรจากันที่ลอนดอนและสตอกโฮล์ม พร้อมขยายเวลาหยุดยิงออกไป แต่สถานการณ์ก็กลับมาแย่ลงอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม เมื่อจีนเริ่มส่งออกวัตถุดิบหายากบางส่วนได้ ในขณะที่สหรัฐฯ อนุญาตให้บริษัท Nvidia ส่งชิป H20 กลับไปขายในจีนได้อีก แต่ความหวังที่เกิดขึ้นกลับพังทลายลงเมื่อทรัมป์ออกมาขู่จะเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% กับประเทศที่เข้าร่วมกลุ่ม BRICS ซึ่งจีนก็เป็นสมาชิกด้วย
เดือนสิงหาคม ความตึงเครียดกลับมาปะทุอีกครั้ง โดยทรัมป์ได้เรียกร้องให้จีนเพิ่มการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ถึงสี่เท่า ก่อนที่จะขยายข้อตกลงหยุดยิงออกไปอีก 90 วัน ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงออกใบอนุญาตส่งออกชิปให้กับ Nvidia เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเจรจา จนกระทั่งถึงเดือนกันยายน ทั้งสองประเทศเริ่มหันมามุ่งเน้นไปที่เรื่อง “TikTok” ซึ่งได้มีการบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นให้ธุรกิจในสหรัฐฯ อยู่ภายใต้การควบคุมของอเมริกา และมีการเตรียมการให้ทรัมป์และสี จิ้นผิง พบกันแบบตัวต่อตัวที่เกาหลีใต้
ในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงตุลาคม สงครามการค้าก็ได้กลับมาอีกครั้งเมื่อทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนถึง 100% และประกาศควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์ที่สำคัญทั้งหมดในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจีนก็ไม่รอช้า ตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกหายากเพิ่มอีก 5 ชนิด พร้อมกับเริ่มการสอบสวนบริษัทสหรัฐฯ อย่าง Qualcomm ในขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายก็เตรียมที่จะเรียกเก็บ "ค่าธรรมเนียมท่าเรือ" ต่อเรือสินค้าที่มีความเชื่อมโยงกับฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมเป็นต้นไป
แม้ว่าจะมีการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และจีนเพื่อวางแผนการพบกันระหว่างผู้นำทั้งสองในปลายเดือนตุลาคม แต่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจก็ยังคงยืดเยื้อและมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในเรื่องภาษี สงครามเทคโนโลยี และการควบคุมการส่งออกสินค้าหายากที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
โฆษณา