เมื่อวาน เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“คนละครึ่งพลัส”เครื่องยนต์จุดไฟเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายปี 2568

  • รัฐบาลออกมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 โดยจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน 20-26 ต.ค. และใช้สิทธิ์ได้ถึง 31 ธ.ค. 2568
  • โครงการมีเป้าหมายเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และเพิ่มยอดขายให้ร้านค้ารายย่อย โดยรัฐบาลยืนยันว่าจะมีการเปิดเฟส 2 สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนไม่ทัน
  • นอกจากการกระตุ้นการใช้จ่าย โครงการยังมุ่งส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านการเงินและดิจิทัล (Upskill-Reskill) ให้กับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมด้วย
ในห้วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กำลังเดินหมากสำคัญด้วยมาตรการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ระยะสั้น ที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งกระทรวงการคลัง นำโดย เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เชิญชวนร้านค้ารายย่อยเข้าร่วมโครงการ ตามกำหนดการ ร้านค้าจะลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 15 ต.ค.-19 ธ.ค. 25
ส่วนประชาชนทั่วไปเปิดรับลงทะเบียน 20-26 ต.ค. ระหว่างเวลา 06.00–22.00 น. ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ขณะที่ร้านค้าและผู้ให้บริการ Food Delivery Platform ที่เข้าร่วมโครงการจะรับชำระผ่านแอปฯ “ถุงเงิน” โดยกรมบัญชีกลางจะโอนเงินร่วมจ่ายให้โดยตรง
ผู้ลงทะเบียนสำเร็จสามารถเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 7 พ.ย.-31 ธ.ค. 2568 ในช่วงเวลา 06.00-21.00 น. และที่สำคัญหากประชาชนบางส่วนตกหล่นในการลงทะเบียนรอบแรก รัฐบาลยืนยันจะเปิด “เฟส 2” เพื่อรองรับสิทธิ์เพิ่มเติม ไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
จุดที่น่าสนใจคือ โครงการนี้ไม่ได้มุ่งเพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชน และเพิ่มยอดขายร้านค้าเท่านั้น แต่รัฐบาลยังแฝงแนวทาง Upskill–Reskill ให้ร้านค้ารายย่อย อาทิ การเรียนรู้ทักษะการเงิน (Financial Literacy) ทักษะดิจิทัล (Digital Literacy) ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ AI ในการบริหารจัดการต้นทุน ซึ่งร้านค้าที่พัฒนาสำเร็จอาจได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษในอนาคต
บรรยากาศ “เศรษฐกิจไทย” หลังรัฐบาลใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เริ่มส่งสัญญาณบวก สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 56.0 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายน 2568 ที่จัดทำโดย ม.หอการค้าไทย อยู่ที่ 50.7 ซึ่งเป็นการฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน
ขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ก็ปรับเข้าสู่โซน “ร้อนแรง” โดยนักลงทุนมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น “คนละครึ่งพลัส” คือ แรงหนุนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568
“นายกฯ อนุทิน” ได้สั่งการชัดเจนให้ทุกกระทรวง โดยเฉพาะ “กระทรวงเศรษฐกิจ” เดินหน้ามาตรการ Quick Big Win ภายใน 4 เดือน เพื่อสร้างโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ ซึ่ง “คนละครึ่งพลัส” ถูกมองว่า เป็นหนึ่งในกลไกเร่งด่วนที่จะพลิกบรรยากาศการค้า การลงทุน และการจับจ่ายของประชาชนให้คึกคักขึ้นมาได้
“คนละครึ่งพลัส” จึงไม่ใช่เพียงมาตรการแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเดินเครื่องเศรษฐกิจไทยในยุครัฐบาลใหม่ ที่เชื่อมโยงการบริโภค การลงทุน และ การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อยอย่างรอบด้าน หากสามารถขับเคลื่อนได้จริง ย่อมเป็นมากกว่ามาตรการชั่วคราว แต่จะต่อยอดเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว
ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน คำกล่าวของ วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กลายเป็นที่จับตา เมื่อ ธปท. เอ่ยถึง “ภาวะเงินฝืด” อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกในแถลงการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งปัจจุบัน เงินเฟ้อทั่วไป ติดลบต่อเนื่อง 6 เดือน เพราะราคาพลังงานและอาหารสดร่วง ซึ่งมีน้ำหนักเกือบครึ่งหนึ่งของตะกร้าเงินเฟ้อ
แต่ในอีกด้าน เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) ยังอยู่ที่ 0.9% แสดงว่ายังมีแรงอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจอยู่เกือบ 1% จึงยังไม่ใช่ “เงินฝืด” ตามนิยามเศรษฐศาสตร์ที่ต้องเกิดจากอุปสงค์อ่อนตัวชัดเจนและราคาลดลงในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าฯ ธปท. มั่นใจว่า เงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบ 1-33% ในระยะกลาง ซึ่งถือว่าเหมาะสม แต่กำลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะใช้ระดับใดสำหรับปี 2569 ก่อนเสนอ ครม. อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% ต่ำเป็นอันดับ 3 ของโลก แม้จะลดลงไปแล้ว 1% ในรอบปี แต่ ธปท.ยังมี Policy Space เหลือ หากจำเป็นต้องลดเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ผลของการลดดอกเบี้ยมักใช้เวลา 6-12 เดือนจึงจะเห็นผลเต็มที่
ผู้ว่า ธปท.ยังอธิบายว่า มติ กนง. คงดอกเบี้ย 5 ต่อ 2 เสียง ไม่ใช่เพราะมองเศรษฐกิจต่างกันมาก แต่เป็นเรื่องของ จังหวะเวลา ว่าจะใช้เครื่องมือการเงินที่จำกัดในช่วงที่สำคัญ กรรมการบางส่วนจึงขอรอข้อมูลใหม่ก่อนตัดสินใจในรอบถัดไป และเห็นว่า การจัดการเศรษฐกิจไทย ไม่อาจพึ่งแต่นโยบายการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องผสมผสานกับมาตรการเฉพาะจุด เช่น การช่วยเหลือ SMEs บรรเทาภาระหนี้ และมาตรการดูแลรายกลุ่ม ซึ่งเปรียบเสมือนการต่อ “จิ๊กซอ” ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เพื่อรักษาเสถียรภาพและสร้างความยั่งยืน
น้ำเสียง ผู้ว่า ธปท. ครั้งนี้สะท้อนความระมัดระวังสูงสุดต่อเศรษฐกิจไทยที่กำลังอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างเงินเฟ้อต่ำกับความเสี่ยงเงินฝืด แต่ยังเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยมีแรงพยุง และการเดินเกม “ดอกเบี้ย-มาตรการเฉพาะจุด” อย่างผสมผสาน คือคำตอบในปีที่โลกไม่แน่นอน
โฆษณา