Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะ คือ คุณากรณ์
•
ติดตาม
15 ต.ค. เวลา 21:12 • ปรัชญา
watthakhanun
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ถ้าหากว่าเป็นวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ก็จะเป็น "วันมหาวิปโยค" ที่ประชาชนชาวไทยนำโดยนิสิตนักศึกษา ได้ร่วมกันเดินขบวนขับไล่เผด็จการปกครองประเทศไทยในช่วงนั้นออกไป ทำให้ได้
ประชาธิปไตยคืนมาไม่ถึงครึ่งใบ ซ้ำยังมีผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก แล้วหลังจากนั้นอีกไม่ถึง ๓ ปีเต็ม ก็มีเหตุการณ์วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เรื่องพวกนี้เป็นบทเรียนทางการเมืองสำหรับผู้ที่ลืมตัวลืมตน ลืมไปว่าพลังประชาชนหนุนเสริมคุณได้ ก็สามารถที่จะดึงคุณลงจากบัลลังก์ได้เช่นกัน..!
แต่วันนี้ไม่คิดที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องที่คิดจะพูดก็คือว่า "คำสัญญา ๔ เดือนไม่มีจริงในโลก..!" โดยเฉพาะประเทศไทยของเราไม่มีเวลาให้ใครมาทดลองงาน ไม่มีเวลาให้ใครมาบิดเบือนกฎหมายบ้านเมือง ขนาดเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษาเด็ดขาดไปแล้ว ก็ยังพยายามที่จะเตะถ่วงและบิดเบือน โดยอาศัยอำนาจทางการเมืองที่พยายามไขว่
คว้ามา โดยไม่คิดว่าจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเท่าไร..!
เอาแค่เรื่องนำเอามุสลิมมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมก็ฉิบหายแล้ว..! เพียงวันแรกที่เข้าไป บรรดาข้าราชการต่าง ๆ ก็ต้องมา "ดุอา" ขอพรพระเจ้า แล้วก็ไม่ต้องไปหวังว่าเขาจะเมตตาต่อคนพุทธ..!
เนื่องเพราะว่าหน่วยงานไหนก็ตามที่มุสลิมเข้าไปเป็นใหญ่ อันดับแรกเลยก็คือย้ายโต๊ะหมู่บูชาและพระพุทธรูปออกพ้นหน่วยงานทันที เขาไม่เคยเกรงใจชาวพุทธซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่า ชาวพุทธของเรามักจะไปเกรงใจประชาชนส่วนน้อยเสมอมา เมื่อเขาสามารถจับจุดตรงนี้ได้จึงรุกเข้ามาทุกฝีก้าว แล้วท้ายที่สุด "ม้าอารี" อย่างชาวพุทธก็จะไม่มีคอกให้อยู่..!
เรื่องพวกนี้อย่าคิดว่าเขารับปากว่าจะอยู่แค่ ๔ เดือน ซึ่งไม่มีความเป็นจริงในคำว่า ๔ เดือนนั้น และต่อให้อยู่แค่ ๔ เดือน เวลาที่มีอำนาจของเขาก็เหลือเฟือเกินพอ ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับพรรคพวกของเขา ในขณะที่สร้างความเสียหายให้กับเราได้มากกว่าที่เราจะคิดถึง..!
แค่นั้นยังไม่พอ ท่านรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยังพูดเหมือนกับบุคคลที่ไม่รู้งาน ไม่เข้าใจแบบธรรมเนียมของพระพุทธศาสนา ถึงขนาดที่มีข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเช่นว่า จะแบ่งผู้เข้าบวชเป็นสองประเภท ก็คือประเภทแรกบวชตามประเพณี ประเภทที่สองคือบุคคลที่บวชแล้วอยู่ยาวไปเลย ซึ่งจะต้องมีการปฏิบัติการที่แตกต่างกัน
ฟังดูแล้วเป็นขั้นเป็นตอนน่าเลื่อมใสมาก แต่แสดงว่าท่านไม่เคยบวชมาก่อนเลยในชีวิต..! เลยไม่รู้ว่าพระครูวิลาศกาญจนธรรมที่บวชมา ๔๐ ปีนั้น ตั้งใจจะบวชแค่ ๗ วันเท่านั้นเอง..! แล้วท่านจะไปแยกแยะอย่างไรว่าใครจะบวชแล้วอยู่นาน ใครจะบวชแล้วอยู่สั้น ? กำหนดวิธีการต่าง ๆ มาก็ล้วนแล้วแต่มีความยากลำบากในการปฏิบัติทั้งสิ้น กลายเป็นว่าช่วยตัดตอนบอนไซให้พระภิกษุสามเณรเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ..!
โดยเฉพาะในเรื่องของการบริจาค ญาติโยมเห็นตู้ก็หยอดบริจาคทำบุญ เห็นคิวอาร์
โค้ดก็สแกนทำบุญ แต่ท่านจะให้มีเอกสารระบุว่าทำบุญอันนี้สำหรับเงินส่วนตัวของเจ้าอาวาส ทำบุญอย่างนี้เป็นเงินทำบุญในการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ต้องระบุเจตนารมณ์ให้ชัดเจน เป็นการถอดกางเกงผายลมชัด ๆ..! ไม่คิดเลยว่าบุคคลที่ขึ้นไปเป็นถึงขนาดเสนาบดี ถึงมีความคิดสั้น ๆ แค่นี้ ไม่เคยดูว่าความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร ?!
โดยเฉพาะที่จะมอบหมายให้ สตง.ทำการตรวจบัญชีวัดทุกปี กระผม/อาตมภาพยินดีมากที่ได้ยินอย่างนี้ แต่ท่านรัฐมนตรีได้ถาม สตง.หรือเปล่า ว่ามีกำลังพลเพียงพอที่จะมาตรวจบัญชีพระทุกวัดหรือไม่ ? แล้วขณะเดียวกัน บางวัดจะต้องเดินทางกันข้ามวันข้ามคืนกว่าที่จะเข้าไปถึง จะมี สตง.ที่ไหนยินดีสละความสุขส่วนตนเข้าไป เพื่อที่จะตรวจสอบบัญชีวัด ซึ่งทั้งปีแทบไม่มีรายได้เลยบ้าง ?
เมื่อได้ยินท่านทั้งหลายพูดในลักษณะนี้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ยังคิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมของพระพุทธศาสนาของเราแท้ ๆ แต่ละคนที่เข้ามา ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถที่จะ "เข้าใจ" และ "เข้าถึง" เลย แล้วจะไปพัฒนาพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ?
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๘
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย