16 ต.ค. เวลา 13:07 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] The Life of Showgirl - Taylor Swift >>> ปัญหานางโชว์

-ไม่ได้แย่ แต่ก็น่าผิดหวัง นี่คืออัลบั้มของเทย์เลอร์ที่ชอบน้อยที่สุด สงสัยเป็นปัญหาที่ผมเองที่คาดหวังกับ context มากเกินไป เลยรู้สึกผิดหวังและไม่น่า Pre-Order ซีดีปกพิเศษไปเลย เพราะ The Life of Showgirl นั้นไม่ได้ตอบโจทย์การเป็นกระบอกเสียงเพื่อชีวิตศิลปินทั้งใหญ่และเล็กให้ได้ relate อย่างทั่วถึงมากนัก
-สิ่งที่ผมรับรู้ได้จากอัลบั้มนี้ก็มีแค่…การเป็นผู้สาวติดแกลมผู้มีทุกสิ่งจนแทบห่างไกล Swifties ระดับปถุชนไปแล้ว ความคลั่งรักกับ Travis Kelce คู่หมั้นคนปัจจุบันอย่างถึงที่สุด ความ FOMO หวั่นว่าบัลลังก์ป็อปสตาร์จะสั่นคลอน ทั้งๆที่เว้นช่วงจาก TTPD ได้ไม่นาน แค่ 1 ปีครึ่งเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้ The Life of Showgirl เป็นงานเพลงที่ยังไม่ตรงปกแบบคนที่ตกผลึกอย่างถี่ถ้วนมากนัก
-ยังดีครับที่ era ใหม่สมพรหวังให้กับผู้ฟังได้ 1 ประการก็คือ การเปลี่ยนทีมโปรดิวซ์เซอร์ (ซักทีโว้ย !!!) หลังจากที่ร่วมงานกับ Jack Antonoff และ Aaron Dessner อย่างต่อเนื่องถึง 5 อัลบั้มด้วยกัน ซึ่งทีมโปรดิวซ์รอบนี้ไม่ใช่หน้าใหม่ที่ไม่เคยร่วมงานมาก่อน แต่ยังเป็นคุ้นเคยอย่าง Max Martin และ Shellback ทีมที่เคยรีแบนด์ให้ Taylor Swift ตั้งแต่ชุด Red และ 1989 จนกลายมาเป็นป็อปสตาร์ที่โคตรพ่อโคตรแม่ประสบความสำเร็จจวบจนปัจจุบันนี้
-การกลับมาทำเพลงแบบ back to basic ที่ฟังง่ายขึ้นตามสูตรที่ทีมโปรดิวซ์เซอร์หนุ่มชาวสวีเดนที่เคยทำให้ Taylor และ ศิลปินคนอื่นๆมาโดยตลอด นั่นก็ทำให้ TLOSG อาศัยเวลาความถี่ในการเข้าถึงได้รวดเร็วกว่า TTPD งานชุดที่แล้ว
-แต่ทว่าเชฟสวีเดนทั้งสองท่านดันมีรสมือที่ไม่ถึงว่ะ ย่อยง่ายเสียจนผ่านแล้วผ่านเลย และที่สำคัญ lyrics ดันมีน้ำหนักความสลักสำคัญที่ไม่สามารถไปถึงแก่นคอนเซ็ปท์ได้อย่างลึกซึ้ง ความขาดกลายเป็นปัญหาที่การกลับมาในรอบนี้มีแต่ข้อกังขามากกว่าสมศักดิ์ศรี
-สิ่งที่น่าปวดหัวก็คือ การลงไปเล่นกับ Charli XCX ที่เป็นศิลปินเบอร์รองกว่าเธอ จากความ insecurity ที่ Charli ตัดพ้อถึงชื่อเสียงและความสำเร็จที่เธอไม่เคยได้ไปถึงผ่านเพลง Sympathy is a knife คงไปสั่นเครือความรู้สึก insecurity ให้กับ Taylor เข้าอย่างจังรึไงไม่ทราบเลยตอบโต้ผ่านเพลง Actually Romantic ในแบบที่ Stop talking dirty to me หยุดพูดจาสกปรกนะนังตัวดี (ด้วยสำเนียงพี่กะเทย) ประเด็นคือ ตัวเองก็ดันตอกกลับแบบสกปรกไม่มีวาทะศิลป์เสียเอง ไหนจะเปรียบเปรยถึงหมาชิวาว่าไล่เห่าจากกระเป๋าอีก 😩
-นอกจากจะเป็นการตอบโต้ที่ด่วนสรุปไปแล้ว เมื่อมองย้อนที่อัลบั้มตัวเอง TLOSG ก็ไม่มีแม้กระทั่งเฉดความแตกต่างจากผลงานของตัวเองที่ผ่านมาและในวงการเพลงป็อปเลยด้วยซ้ำ Taylor ยังคงมีมุกเดิมๆ และแอบหยิบสำบัดสำนวนความทะลึ่งจาก Sabrina Carpenter มาใช้อย่างสนุกปากลืมทำทรงเป็นสาววัย 35 ปี
-ไม่ว่าจะเป็น It's kind of making me wet ในเพลง Actually Romantic ที่แสดงให้เห็นว่า อุ้ย มาได้แค่นี้อย่ามาดีกว่า เขิลอ่ะ และเพลงเห่อมอยผัวอย่าง Wood ที่มาพร้อมกับท่อน His love was thе key that opened my thighs รักของเขาคือกุญแจที่ทำให้ชั้นแหกขารอได้เลย เพื่อนๆคุ้นมั้ยครับว่ามาจากเพลงอะไร ?…ใช่ครับ เพลง Tears ของยัยหนู Sabrina ลอยมาเลยทีเดียว
-จุดที่ผมชอบดันอยู่ที่ช่วงต้นอัลบั้มที่มีทั้งจริงจังและการหยอดคำหวานแบบพอประมาณ การเปรียบเปรยชีวิตของคนอื่นมาสะท้อนที่ตัวเองยังคงเป็นลายเซ็นต์ในการเล่าเรื่องที่ดีเสมอมา
-ไม่ว่าจะเป็น แม่นางโอฟิเลียตัวละครจากบทละครสุดคลาสสิค Hamlet ของ Williams Shakespeare ในเพลง The Fate of Ophelia ซึ่งเธอก็นำเรื่องแต่งโศกนาฏกรรมมาบิดให้จบแบบ happy ending ชีวิตรักที่พบพานความสมหวัง มีเจ้าชายมาปลดแอกให้เธอนั้นออกมาจากหอคอยได้
-Elizabeth Taylor เดินบีทจริงจัง บริบทก็จริงจังตาม หยอกเย้าชีวิตของนักแสดงสาวระดับตำนานที่ดันเป็นคู่ขนานกับชีวิตในวงการบันเทิงของ Taylor โดยเฉพาะประเด็นชีวิตรักที่ยาวเป็นหางว่าวพอกัน การถูกสังคมเข้าใจผิด ความโด่งดังที่ทำให้ชีวิตรักล้มเหลวมาแล้วหลายรอบ ต่อให้ถูกประโคมด้วยข่าวฉาว แต่ก็ยังไม่หยุดที่จะเติบโตในวงการบันเทิงได้โดยง่าย นางเอก Cleopatra ผู้ล่วงลับจึงได้กลายเป็นไอคอนที่เธอสามารถถอดบทเรียนได้ค่อนข้าง make sense
-Father Figure ย้อนความหลังถึงค่ายเพลงเก่า Big Machine Record ที่ตอนแรกทำทรงป๋าเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี แต่สุดท้ายทุกอย่างที่ทำมันไม่ใช่ความรัก แต่มันก็แค่ผลประโยชน์แอบแฝงเฉพาะตอนที่เธอฮอต พอถึงจุดที่อยากจะทวงลิขสิทธิ์เพลงทั้งๆที่แต่งเองแทบเป็นแทบตาย กลับยื่นเงื่อนไข ถ้างานเพลงใหม่ไม่มา กูก็ไม่ให้ แต่กลับขายให้คนที่เราเกลียดแทน
สุดท้ายแล้วเมื่อถึงจุด Turing point นังเด็กคนนี้เสือกเป็นคนใหญ่คนโตเสียจนชายแทร่ที่ชอบเป็นบอสเมื่อวันวานได้กลายเป็นเบี้ยล่างในตลาดอย่างน่าอดสูเสียเอง ผมว่าการมีเพลงนี้ในอัลบั้มถือว่าดี เป็นเสียงสะท้อนหนึ่งในความยากลำบากของ Showgirl ภายใต้สังคมชายเป็นใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิง เป็นความแดกดันที่พอมีเซนส์ป็อปในการคล้อยตามได้
-Opalite ก็ถือเป็นเพลงบรรยากาศสบายคลี่คลายเพราะได้พบรักใหม่ที่แปรเปลี่ยนให้ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีนิลให้กลายเป็นสดใสดั่งอัญมณีสีฟ้าน้ำนม ซึ่งกว่าจะเป็นอัญมณี Opal ได้ ไม่ใช่หาได้ตามธรรมชาติ แต่เป็น man made ที่ทำด้วยมนุษย์เอง กล่าวคือ เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องรอธรรมชาติคัดสรรมาให้ ถึงจะไม่หยุดคลั่งรัก แต่มุมมองที่ตกผลึกอยากให้ใจดีกับตัวเองเข้าไว้ก็ถือว่าโอเค
-ช่วงต้น 4 แทร็คถือว่าเก็บความเป็นสาววัย 35 ปีได้สมวัยวุฒิ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นไป อื้อหือ แผลเยอะเอาการ ไม่ใช่แผลทางการพบผ่านประสบการณ์แล้วมาสังเคราะห์บทเรียน แต่เป็นแผลที่ทำให้ขัด vibe อัลบั้มจนระคายเคือง Eldest Daughter ผมเสียดายเพลงนี้มากๆ โหมดเพลงบัลลาดเปียโนของ Taylor คือจุดขายสำหรับผมนะ มันคือเพลงเบรคอารมณ์เพื่อเข้าถึงความเป็นส่วนตัว
ทว่าท่อนฮุค But I'm not a bad bitch / And this isn't savage เป็นการใช้แสลงได้ผิดเวลาสุดๆ ไม่สมกับการเป็นพี่สาวคนโตที่ดูน่าเห็นใจ มันเลยเป็นความประชดประชันแปร่งเกินกว่าที่จะฟังความในใจด้วยความใจเย็น
-Ruin The Friendship เป็นการนึกย้อนถึงสิ่งที่ไม่ได้ทำในอดีตแล้วมันยังคงเสียใจจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนั่นก็คือความรักในสมัยวัยรุ่นที่อยากจะก้าวข้ามเฟรนด์โซน แต่ใจเจ้ากรรม..การที่ไม่จูบเขาเมื่อมีโอกาสกลับเป็นสิ่งที่พลาดมาก เพราะเขาดันจากไปเสียก่อน เหมือนหลุดออกมาจากอัลบั้ม Red
-โหมดความแค้นก็ยังไม่เลิกราในเพลง CANCELLED! ที่เหมือนหลุดจาก reputation แล้วเอามาพูดซ้ำด้วยท่วงท่าซ้ำเดิม มันคือการตั้งการ์ดตัวเองให้เอาตัวรอดโดยที่ไม่ได้แตะขอบเขต freedom of speech ที่เป็นปัญหาของ Cancel Culture ได้อย่าง realistic มากนัก แตะแค่ปัญหาไฮโซเหม็นขี้หน้าเศรษฐีนีก็เท่านั้น
-ความคลั่งรักในอัลบั้มกลายเป็นปัญหามากกว่าการแซวด้วยความรักหรือแสดงความยินดี สิ่งที่เธอทำนั้นมันแทบไม่ต่างอะไรจากการขายฝันด้วยการฉายฉากจูบตอนแข่งขัน NFL เมื่อปีที่แล้วซ้ำอยู่อย่างนั้น คนมีคู่ไม่น่าจะซื้อกับการโชว์หวานในหลายบทเพลงมากขนาดนั้น เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะห่างไกลความเป็นคู่รักในฝันติดแกลมซะเหลือเกิน
-นั่นจึงทำให้ Wi$h Li$t ที่บอกว่า “ไม่ต้องการรางวัลชื่อเสียงเงินทองใดๆ แต่ฉันต้องการแค่เธอและลูกที่หน้าตาเหมือนๆเธอ” กลายเป็นความ cringe เชยระเบิดที่ทำลายอุดมการณ์แห่งการหลีกหนีความวัตถุนิยมสุดฟุ้งเฟ้อ แม้แต่ประโยค “They deserve what they want” ก็ไม่สามารถปลอบประโลมให้ใจชื้นขึ้น
จากคนที่ได้รางวัลแกรมมี่ “Album of the Year” มาแล้วถึง 4 ครั้ง เจ้าของสถิติยอดขายอัลบั้มอันดับ 1 หลายสัปดาห์ต่อเนื่อง ในขณะที่การไต่เต้าความสำเร็จของคนอื่นเป็นเรื่องที่ยากชิบหาย โดยเฉพาะวงการบันเทิงที่ความสามารถอย่างเดียวไม่พอ มันต้องพึ่งคอนเนคชั่น เครื่องมือการตลาดที่ดึงดูดมากพอ Wi$h Li$t คงทำหน้าที่เพียงเพลงงานแต่งพวก elite และลูกเจ้าสัวก็เท่านั้น
-Honey เพลงโชว์หวานปานน้ำผึ้ง another one ที่เธอเลือกที่จะสื่อสารกับ Travis มากกว่าการแชร์ความรักให้กับ Swifties ที่อยู่เคียงข้างเธอมาอย่างยาวนาน และพวกเขาก็ไม่ได้ treat เธอให้เป็น sweet heart แบบพร่ำเพรื่อด้วย มีแต่คำว่า “คลั่งรัก” ในหัวมากกว่าจะรู้สึกคลี่คลายไปตามท่วงทำนองด้วยท้องเรื่องการผ่านความยากลำบากในการเดินทางไปด้วยกันอย่างที่ควรจะเป็น ฆ่าเวลาสุดๆ
-ปิดท้ายด้วยไตเติ้ลแทร็ค The Life of Showgirl เป็นเพลงที่ดูเหมือนส่งต่อทายาท legacy โดยกลายๆที่ซ่อนเรื่องแต่งของติ่งพี่สาวท่านนึงที่เป็นแฟนคลับของ showgirl ที่ชื่อ Kitty ผู้มีภาพลักษณ์เฉิดฉายด้วยคาแรคเตอร์แห่งความแก่นเซี้ยว (ชวนระลึกถึง Sabrina ได้อย่างไม่ห่างไกล)
ทั้งคู่เจอกันหลังจบโชว์พร้อมทั้งเผยความในใจถึงความเหนื่อยล้าที่สาว showgirl ผู้นี้ต้องเจอ ซึ่ง outsiders ไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่า ภายใต้ใบหน้าสละสลวย ความรู้สึกภายในของพวกเธอช่างมีเป็นหมื่นล้านคำ
ภูมิหลังของ Kitty ก็ไม่ได้มาจากครอบครัวที่อบอุ่นมากนัก พ่อติดหรี่ แม่ติดยาและเล่นเทนนิสไปวันๆ การรอแมวมองเอเจนซี่จึงเป็นโอกาสแห่งโชคในการถีบตัวเองออกจากชีวิตครอบครัวที่ย่ำแย่ แต่ก็ต้องยอมขายวิญญาณและสูญเสียความดั้งเดิมของตัวเอง สุดท้าย Kitty ก็รู้สึกปรับตัวได้แล้ว ยอมแต่งงานกับการทำงานหนักต่อไป
เพลงนี้เกือบดีแต่ก็แอบคิดว่า มีความจำเป็นต้องสรุปอัลบั้มด้วยเรื่องแต่งอีกทีนึง ในเมื่อ Taylor และ Sabrina สามารถหยิบบทเรียนความยากลำบากของตัวเองมาตกผลึกก็ได้ไม่ใช่หรอ? มันเป็นวิธีที่ทำให้คนฟังใกล้ชิดกับบทเพลงมากกว่าการเอาเรื่องของคนอื่นมากั้นอีกชั้นนึง มันเลยกลายเป็นเพลงที่ไม่สามารถ wrap up สิ่งที่อัลบั้มนี้อยากจะเป็นตามชื่อได้เลย เป็นการคลี่คลายที่ง่ายดายจนไม่ได้อิ่มเอมตาม
โมเมนต์ที่ดีที่สุดของเพลงนี้จึงเป็นคลิปเสียงปิด Outro ที่ย้อนรำลึกโมเมนต์รุ่นพี่ขอบคุณรุ่นน้องที่ขึ้นมาร่วมแจม The Eras Tour ที่อบอุ่นอย่างเป็นจริง ราวกับพวกเธอส่งต่อแรงบันดาลใจให้กัน และ Sabrina ก็ไม่ทำให้เสียของด้วยความเจื้อยแจ้วของนางที่ไม่มีมุมขี้เล่นปน
-จะบอกว่าเป็นรีวิวที่ใช้คำว่า “คลั่งรัก” ได้เปลืองสุดๆ ทั้งๆที่ “ชีวิตของโชว์เกิร์ล” ควรจะมีแง่มุมอะไรให้ขบคิดและน่าเห็นใจมากกว่านี้ ไม่ได้คาดหวังให้เธอต้องจมอยู่กับความรู้สึกเศร้าแล้วเค้นความดาร์คหรอกนะครับ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับผมเลยก็คือ อัลบั้มนี้ไร้ทิศทางจนไม่สามารถเป็นตัวแทนอะไรใดๆเลย
-ไม่มีใครปฏิเสธว่า Taylor คือศิลปินที่เก่งกาจในการสร้างคาแรคเตอร์สาวช่างฝันที่มีเซนส์ป็อปที่แข็งแรง ต่อให้พร่ำพรรณนาถึงคนรักเก่าได้น้ำเน่ามากแค่ไหนก็ตาม การทำให้ความน้ำเน่าและความหวานเลี่ยนให้น่าคล้อยตาม แบบนี้ผมเรียกว่าเก่ง แต่อัลบั้มนี้กลับมีเพลงส่วนใหญ่ที่ตื้นเขิน ขายฝันมากกว่าการปลอบประโลมอย่างเข้าอกเข้าใจ หนำซ้ำการกลับมาร่วมงานกับ Max Martin และ Shellback ไม่ได้ช่วยให้อุ้มชูจนโดดเด่นและลุ่มลึกขึ้นมาได้
-ดรอปยิ่งกว่า reputation ที่ยังพอมีเพลงให้พึงพอใจระดับ guilty pleasure การไต่ระดับ character development อีสาวสู้คน ดรอปยิ่งกว่า TTPD ที่อาจจะฟังยากก็จริง แต่อย่างน้อยก็อ้าแขนรับความท้าทายด้วยการฝึกใช้ภาษาให้ละเอียดละออ และมันก็มีบางเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน พอทีอะไรให้ลุ่มลึกดีพอที่จะเป็นเพลงหน้าบี Lover ที่คลั่งรักหนักมาก แต่ก็มีมิติความสดใสใหม่ทั้งศิลปินและ Jack Antonoff ที่รู้ nature ได้ดีอย่างตรงปก
-เรามี Drake เป็นตัวอย่างศิลปินที่ปล่อยผลงานถี่ปีต่อปีที่สุดท้ายแล้วไม่สามารถกลับไป classic ได้อีกเลย กระแสอัลบั้มมาไวไปไว เจอหน้ากันบ่อยจนขาดความน่าค้นหา กลายเป็นกรณีศึกษาสุดคลาสสิคในแง่ของความถี่ที่ขาดทั้ง space and time ระหว่างศิลปินและคนฟัง และสิ่งสำคัญคือการขาดเวลาในการคัดกรองตกผลึกได้ดีพอ
-เมื่อดูตามไทม์ไลน์ ตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มคู่ยกระดับบาร์ folklore และ evermore ตั้งแต่ 2020 เราเจอหน้าเธอทุกปีมาเป็นเวลา 6 ปีต่อเนื่องแล้วนะ เมื่อไม่นับผลงาน re-record ที่มาคั่นเวลา นับเฉพาะ new original ก็ห่าง 1-2 ปี ก็ถือว่าถี่เกินไปล่ะ
-ไหนๆเตรียมเข้าสู่ชีวิตแต่งงานแล้ว เบรค 3-4 ปีต่อจากนี้ไปเลย พวกเรารอได้อยู่แล้วครับ Swifties ทั้งหลายก็อย่าไปเร่งรัดให้ปล่อยอะไรใหม่ในปีต่อๆไป ให้ความคิดถึงและเวลาส่วนตัวของ Taylor มาบรรจบเป็นความโหยหาน่าจะดีกว่า เริ่มจะใกล้เคียงความเป็น Drake วงการเพลงป็อปเข้าไปทุกที หวังว่าเราคงไม่เห็นเธอวีนแตกเอาตอนที่ถอนตัวไม่ทันแล้ว
เชื่อผม สถิติยอดขายไม่บ่งบอกความ timeless เสมอไป
Top Tracks: The Fate of Ophelia, Elizabeth Taylor, Opalite, Father Figure
Give 5.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา