17 ต.ค. เวลา 03:51 • ปรัชญา
1. หากเราจะสนทนากันในบริบทคำสอนทางพระศาสนา การไปชี้ว่า การติดความสุข หรือความสงบมากเกินไป เป็นสิ่งไม่ดี นั่นแปลว่า เราเข้าใจคำว่าธรรมะไม่ถูกต้อง เพราะที่จริงแล้ว การที่เราติดความสุข ติดความสงบ นับเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องที่จะไปชี้ถูกชี้ผิด ไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่ไม่เคยติดสุข หรือติดสงบได้สักคน เพราะทุกคนล้วนติดอยู่ในวิสัยโลก และทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เป็นไปตามวิสัยโลกก็เรียกว่า "ธรรมะ" ทั้งสิ้น
2. คำว่า ติด หรือยึดติด (The attachment) นั้น ไม่ใช่เพียงศาสนาพุทธที่สอน ทุกศาสนาล้วนสอนให้มนุษย์ไม่ยึดติดกับสิ่งใดทั้งสิ้น และทุกศานาก็ให้เหตุผลไว้ไม่ต่างกันเลย นั่นก็คือ ทุกสิ่งที่เราไปยึด ไปติด ไปข้องกับมัน ส้วนเป็นสิ่งชั่วคราว (Temporary, Not Permanent) เป็นเหตุผลที่ไม่มีมนุษย์หน้าไหนกล้าปฏิเสธได้เลย แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เรียนรู้ครั้งแรกจากพวกดาบสทั้งหลาย ในเรื่องนี้
3. พระสงฆ์หลายรูป เวลาสอนสมาธิ ก็มักใช้คำว่า "อย่าไปติดสุข ติดสงบ (คือไปห้ามนั่นนี่โน่นอยู่นั่นแล้ว)" ทั้งที่ท่านควรจะสอนว่า "การติดสุข ติดสงบ ย่อมเกิดขึ้นได้เป็นปกติ เป็นธรรมะ เราก็แค่พิจารณาว่า ที่เรากำลังไปยึดไปติดอยู่นั้น มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไปไหม หรือมันจะเกิดขึ้นประเดี่ยวประด๋าว และที่สุดมันก็ต้องดับไป ไม่เหลือเลยไหม"
สรุปก็คือ
มนุษย์ทุกคนเมื่อติดสุขมากเข้า
ต่อมาก็ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายในสุข
ต่อมาก็ใฝ่หาความตื่นเต้น ประสบการณ์ใหม่ในชีวิต
จนเมื่อได้เรียนรู้ว่า ความตื่นเต้นที่ตามหา
มีแต่นำพาซึ่งทุกข์มาให้
ที่สุด มนุษย์ก็จะดิ้นรนกลับไปหาสุขอีก
วนเวียนไปอย่างนี้ เพราะเหล่านี้ คือธรรมะทั้งสิ้น
...........................
ขอเพียงเราใคร่ครวญตัวเองไปเรื่อยๆ
เพียรละคลายจากการยึดติด ยึดข้อง
โดยไม่ไป Greedy ว่าจะบรรลุ มรรค นิพพาน อะไรนั่น
...............
นี่คือการปฏิบัติธรรมที่สูงสุด
และได้บุญมากที่สุดแล้วค่ะ
โฆษณา