วันนี้ เวลา 05:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ผ่าทางรอดเศรษฐกิจไทย พร้อมมองโอกาสลงทุนหุ้น รับอานิสงส์ Quick Big Win

SCB WEALTH มองรัฐบาลใหม่เผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยโตต่ำ คาด GDP ทั้งปีโตเพียง 1.8% แนะรัฐบาลเร่งเรียกความเชื่อมั่น ขณะที่โอกาสลงทุน รับอานิสงส์ Quick Big Win
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ มองประเมินเศรษฐกิจไทยเติบโตนระดับต่ำ โดย SCB EIC คาดการณ์ GDP ปี 2568 เติบโตเพียง 1.8% โดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ถึง 1%
เนื่องจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลัก คือการบริโภคและการลงทุน อ่อนแรง ส่วนในปี 2569 คาดว่าการส่งออกอาจติดลบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบเต็มปี
SCB WEALTH มองรัฐบาลใหม่เผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยโตต่ำ คาด GDP ทั้งปีโตเพียง 1.8% และไตรมาส4 คาดว่าโตไม่ถึง1% แนะรัฐบาลควรดำเนินการ 3S เรียกความเชื่อมั่นกลับมา ขณะที่โอกาสลงทุน แนะหุ้นค้าปลีก ท่องเที่ยว ก่อสร้าง รับอานิสงส์ Quick Big Win
ดังนั้น จึงมองว่ารัฐบาลควรดำเนินการ 3 ด้าน หรือ 3S พร้อมกัน ได้แก่ สร้างความมีเสถียรภาพ (Stability) กระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulate) และปฏิรูปโครงสร้าง (Structure Reform)
สำหรับ มาตรการระยะสั้น ดร.ฐิติมา ระบุว่า ต้องเน้นเรียกความเชื่อมั่นผู้บริโภค นักลงทุน และนักท่องเที่ยว, เร่งการเบิกจ่ายงบประมาณ, กระตุ้นอุปสงค์ผ่านชุดนโยบายต่างๆ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส, เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มขึ้น , การลดค่าครองชีพผ่านค่าเดินทางและพลังงาน เช่น น้ำมัน แก๊สหุงต้ม รวมถึงการแก้หนี้อย่างช่วยหนี้รายย่อยในระบบไม่เกิน 100,000 บาท ได้ประมาณ 1 ล้านคน และเพิ่มสภาพคล่องให้ SME
มาตรการระยะยาว การประกาศเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี, ปฏิรูปกฎหมาย, แก้ปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า และอำนวยความสะดวกการลงทุนต่างชาติ
ซึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลมีความตั้งใจจะเร่งดำเนินนโยบายเพื่อให้เกิดผล Quick (กระตุ้นสั้น) Big (ได้ผลยาว) Win (กระจายตัวทั่วถึง) ทั้ง 3 ด้านพร้อมกัน แต่รัฐบาลจะอยู่เพียง 4 เดือน จากนั้นจะยุบสภา และอาจรักษาการต่ออีก 4 เดือน จึงต้องจับตาว่าจะเห็นผลทางเศรษฐกิจได้มากเพียงใด
เพราะรัฐบาลมีข้อจำกัดทั้งกระสุนทางการคลัง การขาดดุลงบประมาณสูงต่อเนื่อง ที่อาจทำให้หนี้สาธารณะเกินเพดาน 70% ภายในปี 2570 และกำลังซื้อฐานรากยังอ่อนแอ ทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจได้ผลจำกัด
ส่วนความเสี่ยงจากต่างประเทศ เจอทั้ง US Government Shutdown ที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ไทยได้รับผลกระทบผ่านการส่งออกและตลาดการเงิน
ด้านนายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า InnovestX มองว่า เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2569 อยู่ระหว่าง 1,350–1,400 จุด โดยใช้ P/E Ratio ประมาณ 14.5 เท่า ซึ่งอยู่ในกรอบค่าเฉลี่ยในอดีต (14–16 เท่า) เพราะการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอย่างรวดเร็วช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดหุ้นได้
โดยปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยคือ
ปัจจัยภายนอก : ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ , เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ย ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า ส่งเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย
ปัจจัยในประเทศ : อัตราเงินเฟ้อในระกับต่ำ, ภาวะเศรษฐกิจโตต่ำ, นโยบายการเงินที่ กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยลง จะทำให้ต้นทุนการเงินต่ำลง ทำให้มีการประเมินราคาหุ้นเพิ่มขึ้น (P/E expansion) ได้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มหุ้นอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลใหม่ คือ ค้าปลีก–พาณิชย์–เครื่องดื่ม–ร้านอาหาร : ได้ประโยชน์จากมาตรการคนละครึ่งพลัสและนโยบายการแก้หนี้
ขณะที่การพักชำระหนี้อาจช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ให้ประโยชน์กับภาคการเงิน ส่วนมาตรการด้านท่องเที่ยว การกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรองและการให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนำเงินที่ปรับปรุงกิจการ (Renovate) มาลดหย่อนภาษีได้ จะเป็นผลบวกต่อ กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม และค้าปลีก
ด้านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Land Bridge) และรถไฟรางคู่ ด้วยอายุรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่ยาว ทำให้รัฐบาลอาจเป็นเพียงผู้วางกรอบ ให้รัฐบาลถัดไปสานต่อมากกว่า จึงเป็นประโยชน์ในเชิง Sentiment ต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
แนวโน้มค่าเงิน
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets (SCB FM) ธนาคารไทยพาณิชย์ มอง แนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนค่าเร็วในช่วงนี้ เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่
ตลาดให้ความสำคัญตัวเลขเศรษฐกิจภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่ออกมาดี ทำให้ Bond Yield สหรัฐฯ ปรับขึ้น และเงินดอลลาร์แข็งค่า การซื้อทองคำ โดยปกติเมื่อราคาทองคำปรับขึ้น นักลงทุนมักขายทำกำไรถือเงินบาท แต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ลงทุนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เมื่อราคาทองคำปรับขึ้น
กลับเข้าซื้อทองคำเพิ่ม เพราะมองว่าราคาจะขึ้นต่อ จึงกดดันเงินบาทอ่อนค่า โดยระยะสั้น หาก US Government Shutdown ยืดเยื้อเงินบาทอาจแตะระดับทดสอบ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ระยะยาว เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทย - สหรัฐฯ ที่แคบลง และเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดเอเชีย
ตลาดหุ้นไทยเริ่มมี Sentiment บวก จากการเข้ามาของผู้นำใหม่
น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยมุมมองการลงทุนในประเทศไทยและตลาดโลก โดยระบุว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มมี Sentiment บวก จากการเข้ามาของผู้นำใหม่ ประกอบกับ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนเริ่มหยุดปรับลด ทำให้มีโอกาสปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นโลก หลังจากก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยยังเป็น Laggard เมื่อเทียบกับตลาดโลก
ในส่วนของ ตลาดตราสารหนี้ไทย ปีนี้ถือเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนดี โดยราคาสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยไปค่อนข้างมาก แม้ว่าช่วงสั้น Bond Yield จะปรับขึ้นเล็กน้อยหลัง Fitch ปรับมุมมองของไทยเป็นลบ แต่ยังคง Rating เดิม จากความกังวลเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้า หากดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับลดลงในอนาคต ยังคงสนับสนุนการลงทุนในตราสารหนี้ไทย แม้โอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากราคาอาจไม่สูงมาก
สำหรับการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) น.ส.นิสารัตน์แนะนำให้นักลงทุนให้น้ำหนักหลักไปที่ ตลาดหุ้นและตราสารหนี้โลก เนื่องจาก GDP และการเติบโตของกำไรบริษัทในตลาดโลกสูงกว่าตลาดไทย นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดโลกยังเปิดโอกาสเข้าถึง แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural Change) เช่น ธุรกิจ AI, Data Center และ Cloud ซึ่งเป็นธุรกิจสำหรับอนาคต ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในไทยมีสัดส่วนในด้านนี้น้อย แต่ยังสามารถลงทุนตลาดหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตหลักได้
ด้าน ตลาดตราสารหนี้โลก ยังคงน่าสนใจ โดยดอกเบี้ยของ Fed อยู่ในระดับสูง 4–4.25% ทำให้นักลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยสูง พร้อมโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Capital Gain) หาก Bond Yield ปรับลดตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ภายในปีนี้และปีหน้า
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนส่วนเพิ่ม SCB CIO แนะนำให้พิจารณา:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: เน้นธีม AI ที่มีโอกาสเติบโตสูง
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น: ได้ประโยชน์จากการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและผู้นำใหม่
ตลาดเกิดใหม่เอเชีย: ได้ประโยชน์จากเงินดอลลาร์อ่อนค่า
ตลาดหุ้นไทย: ระยะสั้นควรเลือกกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล เช่น กลุ่มค้าปลีกและการเงิน ส่วนระยะยาวเหมาะกับ หุ้นปันผลสูง
หรือ REITs ที่มีอัตราเงินปันผลเฉลี่ย 8–9%
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเน้นการลงทุนในตลาดโลกเป็นหลักเพื่อรับผลตอบแทนจากการเติบโตระยะยาวและโอกาสทางเทคโนโลยี พร้อมใช้ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทยเป็นส่วนเสริมเพื่อสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยง
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา